เกมบทกวีแห่งผู้กล้ามีสองตัวละครหลัก

 

 ตัวแทนจากฝั่งโลกมาร แซเฟียร์ แร็กนารอส จอมมารที่ทรงพลังและเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

 

 ตัวแทนจากฝั่งโลกมนุษย์ ล็อคค์ ผู้กล้าที่ได้รับการฟูมฟักจากพญามังกรควิเอียน

 

 เนื้อเรื่องเปิดตัวขึ้นในปี 513 เมื่อแซเฟียร์ได้รับภารกิจจากกระทรวงเกียรติยศของวังจอมมาร

 

 ในขณะเดียวกันการผจญภัยของล็อคค์เริ่มขึ้นในปี 514 เมื่อเขาออกจากวิหารที่ชุบเลี้ยงเพื่อออกเดินทางกอบกู้โลก

 

 ฤดูหนาวปลายปี 512 ย่างเข้าปี 513 แซเฟียร์ออกเดินทางขึ้นทิศเหนือเพื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

 

 ตอนท้ายของเนื้อเรื่อง ล็อคค์บุกมาดินแดนโลกมารพร้อมกำลังพล และสามารถคว้าชัยจากจอมมารได้ในท้ายที่สุด

 

 เช่นนั้นแล้ว ล็อคค์ในเวลาขณะนี้กำลังทำอะไรอยู่?

 

&

 

 อินกองหลับตาทบทวนเรื่องราว เบื้องหน้าของเขาเป็นชั้นหนังสือผุดขึ้น

 

 หนังสือทั้งหมดมีเพียงห้าเล่ม เมื่อเทียบกับขนาดของชั้นหนังสือแล้วจำนวนหนังสือมีน้อยจนน่าอับอาย แต่นั่นมิใช่เรื่องสำคัญ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นชั้นหนังสือที่ไม่มีผู้ใดสามารถพบเห็น

 

 หนังสือทั้งห้าเล่มต่างบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับมังกรบรรพกาล เป็นหนังสือที่อินกองอ่านพบจากหอสมุด

 

 อินกองนึกคิดถึงเนื้อหาในหนังสือ ก่อนภาพเนื้อหาที่เขาต้องการจะเผยขึ้นมา ราวกับสมุดภาพเหล่านี้ติดตรึงอยู่ในห้วงความคิดของเขา

 

 นี่มิใช่ ‘การจำเรื่องราวด้วยรูปภาพ’ ตามที่ผู้คนเรียกขาน ทว่าผลที่เกิดขึ้นอาจเรียกว่าไม่ต่างกัน

 

 หนังสือทั้งห้า ‘ตกอยู่ภายใต้อาณัติ’ ของอินกอง

 

 นั่นคือสาเหตุที่ทำให้อินกองสามารถเรียกดูข้อมูลจากหนังสือเหล่านี้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

 

‘เราแค่อ่านทั้งหมดอย่างผ่านๆ นี่มัน… เรียกว่าโกงก็ว่าได้เลย’

 

 อาชาแห่งอาณัติสามารถใช้พลังเข้าครอบงำปกครองทุกสิ่ง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นนามธรรมอย่างเคล็ดวิชา หรือรูปธรรมอย่างหนังสือเหล่านี้ เมื่ออินกองเข้าใจความสามารถนี้ เขาจึงกระตือรือร้นที่จะลองใช้มัน

 

 มีสิ่งใดที่เขาสามารถยึดครองไว้ใต้อาณัติได้อีก? หรือว่าเขาจะสามารถยึดครองได้ทุกสิ่งไว้ด้วยพลังนี้?

 

 ทว่าความคิดเหล่านี้ต้องถูกหยุดลงไว้เสียก่อน ในตอนนี้อินกองเพ่งสมาธิไปที่เนื้อหาของหนังสือทั้งห้า

 

 เนื้อหาที่แตกต่างไปจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับมังกรบรรพกาล หนังสือแต่ละเล่มกล่าวถึงพญามังกรแต่ละตนต่างกันออกไป และข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียวคือมีเนื้อหาอีกมากที่มิได้ถูกจารึกเอาไว้

 

 ถึงกระนั้นก็มีหนึ่งสิ่งที่หนังสือทั้งห้าบันทึกไว้ตรงกัน

 

 การหายตัวไปอย่างลึกลับของเหล่าพญามังกรบรรพกาล… 

 

 ทรราชเอนคิดูผู้อาศัยในเทือกเขาจิชก้า ทิ้งทรัพย์สมบัติและรังไว้ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อราวหนี่งพันปีที่แล้วอ้างอิงจากเอกสารจารึกของเผ่าดวอฟ

 

 หัวรุนแรงไคทีนถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่สามารถระบุเวลาที่แน่ชัดได้เนื่องจากขาดหลักฐานยืนยันชัดเจน แต่ก็เป็นช่วงเวลาราวหนึ่งพันปีที่แล้ว

 

 บันทึกเกี่ยวกับพยานอันเคลถูกทำลายจนหมดสิ้น ด้วยความช่วยเหลือจากกรีนวินด์ทำให้อินกองรู้ความจริงว่า พญามังกรอันเคลถูกสังหารเมื่อเวลาหนึ่งพันปีก่อน

 

 ผู้พบเห็นจอมอํามหิตทาเลียครั้งสุดท้าย หลักฐานกล่าวอ้างอิงย้อนเวลาไปก่อนช่วงราวหนึ่งพันปีเสียอีก 

 

‘ยกเว้นก็แค่ควิเอียนสินะ’

 

 แน่นอนว่าจารึกเกี่ยวกับเทพพิทักษ์ควิเอียนก็มีน้อยเช่นกัน แต่อินกองรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพญามังกรตนนี้ดี ต้องขอบคุณบทกวีแห่งผู้กล้าเกมโปรดของเขา

 

 ในเวลาหนึ่งพันปีที่ผ่านมา เทพพิทักษ์ควิเอียนมีบทบาทสำคัญมากมายในด้านของโลกมนุษย์

 

 ใจความทั้งหมดคือห้าในหกพญามังกรบรรพกาลได้หายสาบสูญไปจากโลกนี้

 

 พยานอันเคลถูกสังหาร รังของหัวรุนแรงไคทีนถูกรุกล้ำ ทรราชเอนคิดูทิ้งรังไร้ร่องรอย จอมอำมหิตทาเลียหายสาบสูญ

 

 ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันคือเมื่อราวหนึ่งพันปีก่อน ข้อสันนิษฐานของอินกองก็คือเกิดการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น ทว่าผลกระทบจากการต่อสู้นี้รุนแรงมากจนทำลายหลักฐานอ้างอิงในหน้าประวัติศาสตร์

 

 ฝ่ายหนึ่งคือเหล่ามังกรบรรพกาล อีกฝ่ายก็คงไม่พ้นสี่ฑูตโลกาวินาศ… 

 

 และจตุรอาชาผู้เป็นตัวแทนของทั้งสี่

 

 อินกองพยายามคิดหาข้อมูลที่สามารถใช้ได้ในเหตุการณ์ในปัจจุบัน

 

‘รังของควิเอียนค่อนข้างจะเข้าถึงยาก… ถ้าเป็นทาเลียน่าจะพอเป็นไปได้?’

 

 เมื่อคิดวิเคราะห์ถึงเรื่องราวตำนานเกี่ยวกับพญามังกร รังของพญามังกรเหล่านี้ก็สามารถคาดเดาได้อย่างคร่าว

 

 ตำนานเกี่ยวกับจอมอำมหิตทาเลียค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ด้านทิศเหนือ ฉายาจอมอำมหิตก็มาจากการแช่แข็งศัตรูก่อนทรมานฆ่าอย่างเลือดเย็น สองข้อนี้ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่ารังของทาเลียอยู่บริเวณทิศเหนือ

 

‘เรียกว่าไม่ไกลเกินเอื้อม… เอาละเป้าหมายต่อไปก็สมบัติของทาเลียนี่ละ’

 

 รังของเทพพิทักษ์ควิเอียนอยู่ในเขตแดนโลกมนุษย์ 

 

 ส่วนพญามังกรตนสุดท้ายบรรณารักษ์โทร่าไม่อาจเจาะจงตำแหน่งที่แน่ชัดได้ เนื่องจากมีตำนานเล่าขานกระจายตัวอยู่ทั่วทุกที่ราวกับไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง

 

 หลังจากคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับหกมังกรบรรพกาลเสร็จสิ้น อินกองก็ปิดหนังสือในหัวของเขาแล้วลืมตา

 

 แม้สายตายังไม่ชินกับแสงสว่างรอบตัว เสียงและกลิ่นอายก็สามารถบอกได้ว่าเขาอยู่กลางทุ่งราบสักแห่ง

 

 เอเวียงไม่มีค่ายกลข้ามมิติ นั่นทำให้คณะของอินกองต้องเคลื่อนย้ายไปยังบริเวณใกล้เคียง ก่อนจะเดินทางไปยังที่หมายด้วยตนเอง

 

 ผู้นำทางคณะของอินกองได้รับการเตรียมไว้เรียบร้อย คณะของอินกองต่างขนสัมภาระขึ้นรถลากที่ได้รับการจัดเตรียมเอาไว้ก่อนจะออกเดินทางสู่เอเวียง

 

 หนึ่งวันหลังจากเริ่มออกเดินทาง… 

 

 อินกองขี่หลังเมว่า เดรโก้ภาหนะที่หายหน้าไปนาน มือทั้งสองรวบรวมลมปราณและพลังเวท แสงสีขาวและเขียวเรืองขึ้นโคจรปะปนกันไป

 

‘ดีละ’

 

 อินกองหลับตาลงฝึกฝนลมปราณและเวทมนตร์ของเขา การควบคุมพลังทั้งสองสามารถทำได้ง่ายขึ้นอย่างมาก

 

 ยิ่งไปกว่านั้นนี่มิใช่การควบคุมพลังอย่างปกติทั่วไป พลังทั้งสองพยายามหักล้างกัน แต่กลับก่อเกิดการผสานขึ้นอย่างแปลกประหลาด

 

 ในยามที่อินกองใช้ทักษะพิเศษอย่างกระสุนสังหารหรือริวซากิก็ตามที เขาได้ใช้ทั้งลมปราณและพลังเวทไปด้วยโดยไม่รู้ตัว นั่นทำให้เขามีความคิดฝึกฝนการควบคุมพลังเหล่านี้

 

 สิ่งที่อินกองกำลังทำมิใช้การเค้นพลังเวทควบคุมธรรมชาติอย่างเวทมนตร์ทั่วไป เขาพยายามใช้พลังเวทนี้เสริมพลังให้กับลมปราณ

 

 ผลที่เกิดขึ้นเรียกได้ว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ การเสริมพลังนี้ทำให้สามารถใช้ทักษะที่พึ่งพาลมปราณได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

‘เสียดายที่ไม่มีโอกาสเจอตาลุงปราชญ์ดาบในเวลาแบบนี้’

 

 ปราชญ์ดาบได้กล่าวไว้ในวันที่มาเยือนคฤหาสน์ว่าจะพบอินกองอีกครั้ง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างปราชญ์ดาบเดินทางออกจากวังหลวงในวันถัดมา

 

 อินกองไม่รู้ถึงสาเหตุที่ชัดเจน แต่เขารับรู้มาว่าปราชญ์ดาบรีบร้อนผิดปกติ

 

 เมื่อนึกย้อนไปยังในที่ประชุมสภา จอมมารได้กล่าวเปรยเกี่ยวกับเขตศักดิ์สิทธิ์

 

 บางทีอาจเกิดเรื่องขึ้นที่เขตศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นได้

 

“ฉัตร”

 

“ครับ?”

 

 อินกองลืมไปว่าเขามิได้อยู่ตามลำพัง เขาหันหน้าไปยังต้นตอของเสียงก่อนจะพบเคทลินควบสัตว์ภาหนะของนางเข้ามาใกล้

 

 เคทลินจ้องมองไปยังมือทั้งสองของอินกองก่อนกล่าวถาม

 

“นั่นมั่น เธอทำอะไรอยู่? หรือว่าใช้พลังเวทและลมปราณในขณะเดียวกัน?”

 

“ครับ”

 

 ดวงตาของนางลุกโชนขึ้นทันที เสียงพึมพำ ‘สุดยอด’ ดังขึ้นหลายครั้ง ก่อนนางจะถามต่ออย่างตื่นเต้น

 

“ฉัตร เธอพอจะบอกเคล็ดลับได้ไหม?”

 

 ตามปกติแล้วลมปราณและพลังเวทจะพยายามต่อต้านหักล้างกัน 

 

 อินกองยักไหล่ตอบคำถามของเคทลิน

 

“ไม่มีหรอกครับ ผมก็แค่… ทำมัน”

 

 คำตอบจากอินกองเรียกได้ว่าเป็นข่าวร้าย แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยมิได้ นั่นเพราะตัวอินกองก็ไม่รู้สาเหตุว่าเขาทำสิ่งนี้ได้อย่างไร

 

 เคทลินขมวดคิ้วก่อนหลับตาพยายามลองทำตาม เค้นลมปราณเข้าที่มือข้างหนึ่ง รวบรวมพลังเวทที่มืออีกข้างหนึ่ง พลังทั้งสองเรืองขึ้นก่อนจะพุ่งเข้าพยายามหักล้างกัน และพลังทั้งสองก็สลายตัวไปในเวลาต่อมา

 

 ลมปราณแทรกแทรงการทำงานของพลังเวท พลังเวทขัดชีพจรลมปราณ

 

 หลังจากพยายามอยู่สักพัก เคทลินก็ลืมตาถอนหายใจบ่นอุบอิบ

 

“ฉัตรแย่มาก”

 

“หา?”

 

“แย่ที่สุด”

 

 ท่าทางการบ่นของนางดูน่ารัก อินกองพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้แต่ก็ไม่เป็นผล

 

 มีเสียงพูดเสริมขึ้นมา

 

“ใช่แล้ว ฉัตรแย่มาก”

 

 เฟลิซีที่ขี่เดรโก้ตามอยู่ด้านหลังกล่าวขึ้น พร้อมเสียงสนับสนุนที่ดังขึ้นตามมา

 

“ใช่ แย่มาก”

 

“แย่มากๆ! แย่ที่สุด! แย่เกินไปแล้ว!”

 

 เสียงบ่นอันราวกับเหลืออดดังขึ้นจากแรคคูนตัวน้อยในอ้อมกอดของดาฟเน่

 

 อินกองพอเข้าใจเสียงบ่นจากเคทลิน เฟลิซี และอมิตาภา สิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือคารัค

 

‘ไม่ใช่กูหรอกเรอะที่ควรจะบ่นว่าไอออร์คแย่มาก?’

 

 อินกองหันไปมองเดเลีย เซร่า และกัมมะที่อยู่รายล้อมคารัค นั่นทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีบางอย่าง

 

‘อย่าบอกนะว่านาตาช่าก็จะเสร็จไอ้ออร์คนี่เหมือนกัน?’

 

 อินกองรู้สึกหวั่นเกรงอย่างบอกไม่ถูก อาจดูไม่มีเหตุผลแต่เขาก็อดระแวงไม่ได้

 

 กระทั่งตอนนี้อินกองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดกัน ทั้งเซร่า เดเลีย กัมมะ และแม้แต่ซีพิร่าถึงได้คลั่งไคล้คารัคนัก

 

‘ม ไม่หรอก นาตาช่าต้องไม่หลงเสน่ห์มันแน่นอน’

 

 ล็อคค์เป็นผู้กล้าตามตำราเรียกได้ว่ารายลอมไปด้วยสาวงาม ในทางกลับกันจอมมารตามตำราที่โหดเหี้ยมอย่างแซเฟียร์ย่อมรายล้อมไปด้วยขุนพลที่ชั่วร้าย นาตาช่าจึงเรียกว่าเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของอินกอง

 

 ระหว่างที่คิดถึงนาตาช่า อินกองก็นึกถึงปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้

 

‘เอ่อ แล้วเราจะใช้ข้ออ้างอะไรไปตลาดค้าทาสละเนี่ย?’

 

 หากอินกองมาเพียงผู้เดียว เขาก็สามารถไปกับคารัคได้โดยไร้ปัญหา ทว่าในตอนนี้ทั้งเฟลิซีและเคทลินต่างก็ติดตามเขามาด้วย เขาต้องคิดหาข้ออ้างที่ฟังขึ้นเพื่อหลบเลี่ยงสายตาเย็นชาจากทั้งสอง

 

‘จะว่าไปแล้วเราก็มีพวกของเหลือใช้หลงเหลืออยู่’

 

 บรรดาสมบัติที่อินกองรวบรวมมาจากโบราณสถาน

 

 รวมไปถึงอาวุธชุดเกราะของดวอฟที่รวบรวมมาได้จากบริเวณเทือกเขาจิชก้า แม้นี่เป็นโอกาสคว้าตัวนาตาช่าไว้ แต่ก็เป็นโอกาสอันดีในการเปลี่ยนสมบัติเหล่านี้เป็นทุนทรัพย์

 

‘ใช่ว่าในตลาดประมูลจะมีแต่ทาสซะอย่างเดียว’

 

 ของวิเศษปลุกเสก ยุทโธปกรณ์ เครื่องช่วยชีวิต วัตถุดิบล้ำค่า น้ำยาพระเวท และสิ่งของมากมายที่สามารถหาซื้อได้หากมีเงินมากพอ

 

 อินกองชำเลืองมองโล่ของคารัค ต้องขอบคุณที่เขาสามารถดึงตัวอมิตาภามาได้ เพราะนั่นทำให้คณะของพวกเขามีอุปกรณ์ชั้นยอด ทว่าในตอนนี้มีเพียงโล่ของคารัคเท่านั้น พวกเขายังคงขาดแคลนอาวุธ

 

‘แล้วก็… ’

 

 วัตถุดิบที่ในตอนนี้มีเพียงแผ่นหนัง เขี้ยว กระดูก เกล็ด หรือก็คือวัตถุดิบจากมังกรทมิฬกับงูทะเลยักษ์ แม้จะเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ แต่ความหลากหลายค่อนข้างต่ำไป

 

 หากมีวัตถุดิบที่หลากหลายมากกว่านี้ อมิตาภาย่อมสามารถสร้างของวิเศษที่มีตัวเลือกสรรพคุณได้มากมาย

 

 อมิตาภาตัวสั่นขึ้นมาในทันทีราวกับรับรู้ถึงความคิดชั่วร้ายของอินกอง

 

‘ไหนๆก็แวะไปตลาดประมูล เราน่าจะหาดูเผื่อมีวัตถุดิบอะไรดีๆบ้าง’

 

 หลังจากคิดหาข้ออ้างที่พอฟังสมเหตุสมผล อินกองก็พยักหน้าอย่างยินดี ส่วนเคทลินก็ยังคงพยายามผสานพลังเวทกับลมปราณอยู่อีกหลายครั้ง

 

 อินกองมองไปที่นางพลางพยายามคิดหาคำปลอบ… 

 

‘นายท่าน มีกลุ่มคนมุ่งหน้ามาทางพวกเราจากด้านหน้า’

 

 เสียงของกรีนวินด์ดังขึ้นเตือน อินกองรวบรวมลมปราณไปที่ตาเพิ่มทัศนวิสัย ห่างออกไปด้านหน้ามีบางอย่างจำนวนมากกำลังพุ่งตรงมายังพวกเขาด้วยความเร็ว

 

 เจ้าออร์คได้แต่ส่ายหน้า… ราวกับเป็นไปตามคาด

 

 

สองปีผ่านไปแล้ว ยังแปลไปไม่ถึงไหนเลย (。╯︵╰。)