ตอนที่ 91 การทดสอบหรือทางเลือก

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

สิ้นเสียงคำประกาศของระบบ เบื้องหน้าหลิงหลานก็ปรากฏวังวนสีดำขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง และดูดเธอเข้าไปข้างใน

เชี่ย มาอีกแล้ว! หลิงหลานไร้ซึ่งคำพูด มิติการเรียนรู้จะอ่อนโยนหน่อยไม่ได้เลยหรือไง? แต่พอมีประสบการณ์ก่อนหน้านี้มาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้หลิงหลานก็ไม่ตกที่นั่งลำบากขนาดนั้นแล้ว

เธอยังคงไม่สามารถแน่ใจเรื่องเวลา หลิงหลานรู้สึกแค่เพียงเบื้องหน้าพลันส่องแสงสว่างวาบ ก็รู้แล้วว่าเธอถูกโยนออกไปแล้ว

เธอถูกสลัดไปที่บนอากาศเหมือนกับครั้งแรกจริงๆ แต่ครั้งนี้หลิงหลานเตรียมพร้อมไว้ดีแล้ว เธอย่อมร่วงลงมาในท่วงท่าที่สง่างาม หลิงหลานสรรเสริญการแสดงความสามารถอันโดดเด่นของตัวเองโดยไม่ลังเล

แน่นอนว่าการตรวจสอบก่อนที่จะลงสู่พื้นยังคงเป็นเรื่องที่จำเป็น หลิงหลานไม่ลืมความเจ้าเล่ห์ของมิติการเรียนรู้หรอกนะ…อืม แน่นอนว่าเจ้าเล่ห์จนถึงขีดสุด หลิงหลานที่เริ่มตกหลุมพรางอยู่บ่อยๆ ก็ได้เรียนรู้ถึงสัญชาตญาณว่าเวลาไหนต้องรักษาความระมัดระวังไว้

จุดที่หลิงหลานตกลงมาคือเนินเขารกร้างแห่งหนึ่ง ดินเหลืองที่เปิดเผยสู่โลกภายนอกไม่มีพวกพลังชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ ความสวยงามและความเจริญงอกงามในหุบเขา สุดท้ายต่างก็เป็นผืนดินเหลืองที่แห้งแตกระแหง บ่งบอกว่าแทบมองไม่เห็นสีเขียวของชีวิตเลย เมื่อมองไปแวบหนึ่งก็มีเพียงความอ้างว่างและเปล่าเปลี่ยว ถึงขนาดที่มีความรู้สึกสิ้นหวังจนแทบหายใจไม่ออก

สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ถนนเส้นเก่าที่ใช้สัญจรซึ่งผ่านโลกมาอย่างโชกโชนในนั้น เวลานี้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงโลหิต ซากศพกระจัดกระจายไปทั่ว

ผู้คนบางกลุ่มที่อยู่ไม่ไกลจากหลิงหลานกำลังวิ่งไปข้างหน้าด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดชีวิต ส่วนด้านหลังก็มีชายคลุ้มคลั่งกลุ่มหนึ่งไล่ตามพวกเขามาติดๆ จากทางด้านหลังพร้อมกับชูดาบและกระบี่ขึ้นมา

หลิงหลานรู้ว่านี่ย่อมเป็นฉากในแผ่นภาพที่สองแน่นอน เพียงแต่ไม่มีตัวเอกที่อยู่ในรูปภาพ แต่กลับเพิ่มหลิงหลานคนนี้เข้ามา

หรือนี่คือการทดสอบเหรอ? ดูว่าเธอจะเลือกอะไร เป็นผู้ทรงธรรมหรือว่าเป็นผู้เฝ้ามองอย่างเลือดเย็น?

ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเป็นเรื่องดี หลิงหลานคิดว่านี่คือพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ อย่างไรก็ตามนี่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขเบื้องต้น นั่นก็คือเธอมีความสามารถไปช่วยเหลืออีกฝ่ายหรือไม่ หรือว่าคนผู้นี้มีค่าพอให้เธอช่วยเหลือหรือไม่

ยกตัวอย่างเช่นคนพวกนี้ คนที่หนีมีค่าพอให้เธอลงมือไหม? แล้วพวกคนที่แบกอาวุธพวกนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน? เป็นคนดีหรือคนเลว?

หลิงหลานที่กำลังยืนอยู่บนยอดเนินเขาสูงๆ มองฉากที่เต็มไปด้วยการนองเลือดด้านล่างด้วยสีหน้าเย็นชา ราวกับว่ามองไม่เห็นชีวิตที่ไหลผ่านไป

ทำไม คนพวกนี้เอาแต่คิดจะวิ่งหนี ไม่ไปสู้กลับเลยเหรอ? สีหน้าของหลิงหลานดูสับสนอยู่บ้าง เธอมองไปด้วยความรู้สึกสงสาร โกรธเคืองและผิดหวัง ความจริงแล้วจำนวนคนพวกนี้ก็ไม่ได้น้อยไปกว่าอีกฝ่ายเท่าไหร่เลย ถ้าอยากจะตอบโต้กลับจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเลย

หลิงหลานมองไปยังคนที่หันหน้าวิ่งหนี แววตาของคนผู้นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ จนถึงขนาดบ้าคลั่งไม่เสียดายที่จะแลกทุกอย่างเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งนี้ ทันใดนั้นเองหลิงหลานก็รู้สึกว่าตัวเองตระหนักอะไรบางขึ้นมาอย่างได้

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับช่วงเวลาเป็นตาย มนุษย์ต่างก็เลือกเส้นทางที่พวกเขาคิดว่าปลอดภัยและพึ่งพาได้มากที่สุดตามจิตใต้สำนึก ก็เหมือนอย่างตอนนี้ ในสถานการณ์ที่ทำให้คนรู้สึกสิ้นหวังแบบนี้ ขอเพียงเขาวิ่งได้เร็วกว่าคนอื่นสักนิด เขาก็สามารถหนีจากขอบเขตการโจมตีของคมดาบ หลังจากนั้นเขาก็มีความหวังที่จะรอดชีวิตต่อไปได้..

นี่คือสัญชาตญาณของมนุษย์ เป็นนิสัยเลวๆ ที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจ มันคือปีศาจที่ถูกปลดปล่อยออกมาในช่วงเวลาสิ้นหวังแบบนี้

หลิงหลานอดหัวเราะไม่ได้ มันแฝงไปด้วยความเยาะหยัน นี่ก็คือผู้แข็งแกร่งคือผู้ที่อยู่รอดในรูปแบบหนึ่งใช่ไหม?

น่าเสียดาย…สายตาหลิงหลานทอดมองไปยังผู้ร้ายพวกนั้น ความหยอกล้อและความเย้ยหยันในสายตาของพวกเขาชัดเจนแจ่มแจ้งขนาดนั้น สิ่งเหล่านี้ต่างก็พิสูจน์แล้วว่า ผู้หลบหนีจะพยายามอีกแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ ทุกคนต่างก็หลบหนีคมดาบในมือพวกเขาไม่พ้น เพียงแต่พวกเขากำลังสนุกสนานกับการเล่นเกมแมวจับหนูก่อนที่จะเข่นฆ่า รวมไปถึงมองดูพวกฝูงมดแสดงความเลวทรามของมนุษย์ออกมา

หลิงหลานนึกถึงสงครามที่กองทัพญี่ปุ่นบุกโจมตีประเทศจีนในชาติที่แล้วของเธอ กองทัพคันโตที่มีเพียงสองหมื่นคนสามารถบุกยึดมณฑลภาคทั้งสามมณฑลได้หมด ผลลัพธ์นี้น่าหัวเราะโดยไม่ต้องสงสัย ควรทราบว่าจำนวนประชากรในสามมณฑลเพียงอย่างเดียวก็สามารถกำราบพวกกองทัพคันโตได้หลายต่อหลายครั้งแล้ว ทำไมพวกเขาถึงได้สามารถบุกยึดครองได้ง่ายดายเพียงนั้นล่ะ? มีคนที่เลวทรามต่ำช้าอยู่ในนั้นเหมือนกันใช่ไหม?

หลิงหลานส่ายศีรษะเผลอหัวเราะออกมา ทิ้งความคิดที่กวนใจออกไป ตอนนี้หลิงหลานก็เป็นแค่หลิงหลานในชาตินี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับชาติก่อนแล้ว

ตอนนี้เอง ชายชราค่อนข้างสูงอายุที่อยู่รั้งท้ายสุดก็หลบดาบกระบี่ครั้งนี้ไม่พ้นในที่สุด เขาร้องโหยหวนล้มลงไปกับพื้น แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ผลักเด็กหนุ่มที่จูงเขาวิ่งมาตลอดทางให้ออกไป….

“เสี่ยงหลง วิ่งเร็วเข้า!” ชายชรารู้ว่าไม่มีหวังที่จะรอดชีวิตแล้ว ใน ช่วงเวลาที่เผชิญหน้ากับความตาย เขาก็เข้าไปกอดผู้ร้ายไล่ฆ่าคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเขาไว้แน่นๆ ใบหน้ามีความบ้าบิ่นจากการหลุดพ้น

เด็กหนุ่มคนที่ถูกผลักไม่กล้าหยุด เขาได้แต่น้ำตานองหน้าวิ่งไปอย่างสุดแรงเกิด เขาไม่สามารถทิ้งโอกาสรอดตายที่ญาติสนิทมอบให้เขาได้

ชายชราถูกฟันตายอย่างรวดเร็ว หนึ่งในผู้ร้ายหยุดมือพลางถุยน้ำลายใส่แรงๆ พูดอย่างดูถูกว่า “คิดจะรอดจากเงื้อมมือของพวกเราเหรอ? แม่งฝันเฟื่องจริงๆ”

ฝันเหรอ? มือขวาของหลิงหลานดึงกริชที่แหลมคมเล่มหนึ่งออกจากด้านข้างต้นขาตัวเองอย่างเงียบๆ เธอกุมด้ามกริชไว้โดยหนีบให้อยู่ตรงง่ามนิ้ว ส่วนมือซ้ายก็ชักมีดทหารสามคมขนาดสั้นมากที่สะพายอยู่ด้านหลังเอวออกมา เธอตัดสินใจว่าจะช่วยเคนที่หลบหนีพวกนี้ ความบ้าระห่ำก่อนตายของชายชราคนนั้นได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว หากแต่ไม่มีใครไปจุดประกายความกล้าและความเดือดดาลของพวกเขา

บางทีจิตสังหารของหลิงหลานอาจรุนแรงเกินไป ผู้ร้ายบางคนที่เดิมทีกำลังสนุกสนานกับการฆ่าฟันอยู่หันหน้าไปมองหลิงหลาน แน่นอนว่าหลิงหลานไม่ได้เลือกหลบซ่อน เธอมองฝ่ายตรงข้ามจากที่สูงกว่าแบบนี้ รอคอยให้พวกมันเคลื่อนไหว

คนผู้นั้นเห็นว่านี่เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาสังหารผู้ใหญ่มาเยอะแยะแล้ว รู้สึกเบื่ออยู่บ้าง บางทีกระต่ายน้อยที่น่าสงสารคนนี้อาจจะนำความสนุกสนานมาให้เขามากยิ่งขึ้นก็ได้ เขาชี้หลิงหลานให้คนที่อยู่ข้างๆ ดู สื่อว่าให้ไปพาเด็กคนนั้นมา

หนึ่งในชายเหล่านั้นวิ่งข้ามฝูงชนออกมามุ่งตรงไปที่หลิงหลาน หลิงหลานเห็นดังนั้นก็หันหลังวิ่งทันที การกระทำนี้ธรรมดาสามัญมากเกินไปแล้ว เวลาที่เด็กเห็นคนหรือของที่น่ากลัวต่างก็แสดงออกแบบนี้

การเคลื่อนไหวของหลิงหลานทำให้พวกคนที่วิ่งหนีอยู่สังเกตเห็นเช่นกัน หลิงหลานได้ยินเสียงร้องตกใจดังมาจากด้านในอย่างชัดเจน ถึงขนาดที่มีเสียงกรีดร้องย้ำเตือนเธอให้วิ่งเร็วขึ้นอีกหลายเสียง!

ต่อให้ความเป็นคนกำลังพังทลายอยู่รอมร่อ คนพวกนี้ก็ยังคงหลงเหลือศีลธรรมรักเด็กอยู่นิดหน่อยเหรอ? มนุษย์ช่างซับซ้อนสุดขีดอย่างที่คิดไว้จริงๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังปกป้องตัวเองได้ยากเลย แต่พอเห็นคนที่อ่อนแอกว่าก็อดส่งความห่วงใยของตัวเองออกไปไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เวลานี้หลิงหลานไม่สามารถคิดอะไรได้มากมาย เนื่องจากผู้ร้ายที่แยกตัวออกมานั้นไล่ตามเข้ามาแล้ว เขาวิ่งมาถึงเนินเขาสูง

“กระต่ายน้อย หยุดวิ่งซะ ตามปู่กลับไปแต่โดยดี ให้พวกเราเล่นสนุกกันหน่อย…” ใบหน้าของชายคนนั้นดูตื่นเต้น เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากล่างของตัวเอง เขากำลังคิดอยู่ว่าจะใช้วิธีอะไรมาทรมานเจ้าเด็กที่ดูน่าเวทนามากคนนี้ ซึ่งเขาก็น่าเวทนามากจริงๆ นั่นแหละ

เดิมทีหลิงหลานอยากฆ่าอีกฝ่าย เนื่องจากเธอดึงอีกฝ่ายมายังจุดอับสายตาของทุกคนแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เธอก็เปลี่ยนความตั้งใจในชั่วพริบตา ตัดสินใจว่าจะไม่ทำสิ่งใดปล่อยให้อีกฝ่ายจับตัวเธออย่างสบายๆ

หลิงหลานไม่อยากปล่อยคนพวกนี้ เธออยากให้คนพวกนี้อยู่ที่นี่กันทุกคน เพื่อการนั้นมันไม่ง่ายนักเลย หลิงหลานไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้จะมีสิ่งที่สามารถส่งต่อข้อความได้ในทันทีหรือเปล่า ถ้าหากเธอทำการเคลื่อนไหวใดๆ ก็จะถูกคนที่มีปฏิกิริยาตอบสนองฉับไวส่งข้อมูลของเธอออกไป นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

หลิงหลานอยากจะช่วยคนที่น่าสงสารเหล่านี้ แต่เธอก็ไม่อยากก่อปัญหาใหญ่เช่นกัน ถ้าอยากจะหลีกเลี่ยงจุดนี้ เธอจำเป็นต้องสังหารศัตรูที่นี่ทั้งหมดในชั่วพริบตา ถ้าคนพวกนี้ไม่ได้เตรียมการป้องกัน เธอก็มั่นใจว่าเธอจัดการพวกมันในพริบตาได้ แต่จะทำอย่างไรให้พวกมันลดความระแวดระวังลงเพื่อให้เธอเข้าไปใกล้ได้…นี่คือปัญหาเพียงอย่างเดียวของหลิงหลาน และตอนนี้ปัญหานี้ก็ไม่มีแล้ว

หลิงหลานร้องตกใจขณะที่ถูกอีกฝ่ายคว้าตัวไว้ เธอดีดดิ้นสุดชีวิต แต่ร่างกายของเด็กเล็กๆ จะสลัดแรงป่าเถื่อนของผู้ใหญ่ออกได้อย่างไร? ชายคนนั้นหิ้วหลิงหลานเดินกลับไปด้วยความรื่นเริง มีดทหารในมือซ้ายของหลิงหลานที่อยู่ด้านหลังเขาถูกจ่อไปที่ตำแหน่งหัวใจของอีกฝ่ายแล้ว ขอเพียงมีการเคลื่อนไหวผิดแปลกไป มีดทหารก็จะแทงเข้าไปข้างในอย่างไร้ซึ่งความเมตตา

“หัวหน้า มีเจ้าหนูน้อยที่น่ารักด้วยแหละ” เดรัจฉานที่จับกุมหลิงหลานไว้โยนหลิงหลานไปยังเบื้องหน้าหัวหน้าของพวกเขา หลิงหลานมองพวกเขาด้วยสายตาหวาดหวั่นพรั่นพรึง

ส่วนพวกคนที่เดิมทีวิ่งหนีอยู่นั้น เวลานี้พวกเขาถูกผู้ร้ายคนอื่นๆ ล้อมเอาไว้แล้ว บีบพวกเขาให้เดินเข้ามาหาหลิงหลาน พวกเขาเป็นเพียงพวกคนน่าสงสารที่กำลังถูกหยอกล้อเท่านั้น แน่นอนที่สุด ทำให้พวกเขาเข้าใจผิดมาตลอดว่าพวกเขายังมีโอกาสรอดชีวิตต่อไปได้

จากมุมมองของหลิงหลานเห็นว่า พวกคนที่ถูกดาบกระบี่ต้อนกลับมานี้ต่างทำหน้าสิ้นหวังเป็นคนตาย จู่ๆ ความเร็วของศัตรูก็ระเบิดขึ้นมา ทำให้พวกเขารู้ว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความหวังอยู่เลยจริงๆ ดังนั้นพวกเขาเลยยอมแพ้แล้ว

ทำไมพวกเขาต้องยอมแพ้ด้วยล่ะ? แล้วไม่ยอมต่อสู้หน่อยเหรอ? หลิงหลานเกลียดความล้มเหลวและการยอมแพ้มากที่สุด ชีวิตเป็นของตัวเอง ต่อให้สุดท้ายมันต้องจบลง นั่นก็ควรให้ตัวเองเป็นคนเลือกไม่ใช่หรือไง?

“ดูไม่เหมือนคนจากหมู่บ้านพวกมันเลยนะ โตมาได้มีน้ำมีนวลจริงๆ” หัวหน้าสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างหลิงหลานกับคนอื่นๆ ได้ในทันที คิ้วของเขาขมวดมุ่นเล็กน้อย ในแววตาก็มีความงุนงงและสงสัยอยู่บ้าง

สีหน้าของหลิงหลานไม่ได้เปลี่ยนไป นอกจากความตื่นตระหนกแล้วก็ยังเป็นความตื่นตระหนกอยู่ดี แสดงออกถึงการตอบสนองของเด็กอายุหกขวบยามเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าและอันตรายออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบและชัดเจน… อืม ต้องขอบคุณอาจารย์หมายเลขห้าที่สอนของที่มีประโยชนและไร้ประโยชน์พวกนี้ และตอนนี้มันก็มีประโยชน์จริงๆ

“อาจจะเป็นเด็กในกลุ่มพ่อค้าก็ได้ เมื่อวานพวกเราปล้นฆ่ากลุ่มพ่อค้าที่ถนนเก่าไม่ใช่เหรอ?” หนึ่งในคนเหล่านั้นคัดค้าน ตอนที่ปล้นชิงจะมีปลาเล็ดรอดจากแหบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา

คำพูดของลูกน้องคลี่คลายความสงสัยของหัวหน้า แน่นอนว่าเดิมทีเขาก็ไม่ได้สงสัยมาก แค่รู้สึกงุนงงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงยังไงเด็กอายุห้าหกขวบจะทำเรื่องอันตรายอะไรได้? ต่อให้หยิบมีดทำครัวมาก็ได้แต่กังวลว่าเขาบาดตัวเขาเองหรือเปล่า

“ไม่ผิด ถ้างั้นเราก็มาสนุกกันเถอะ” คำพูดของหัวหน้าทำให้คนที่อยู่รอบๆ หัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ถึงขนาดที่มีหลายคนคันไม้คันมืออยากจะลงมือทรมานเจ้าหนูน้อยที่น่าสงสารนี้ด้วยตัวเอง ความหวาดกลัวสุดขีดบนใบหน้าของเด็กจะน่าสนใจไหมนะ?

ส่วนพวกคนอื่นๆ ที่ถูกไล่ต้อนให้เข้ามาดูก็ไม่กล้าส่งเสียงเลย พวกเขากลัวว่าถ้าตัวเองส่งเสียงออกมาเล็กน้อย คนที่ถูกทรมานสังหารอาจจะเป็นตัวเขาเองก็ได้

แน่นอนว่ามีหลายคนถึงขั้นมีความคิดชั่วร้ายว่า ถ้าหากเด็กคนนี้ทำให้พวกปีศาจเหล่านี้รู้สึกพอใจแล้ว พวกมันก็จะไม่ฆ่าพวกเขาใช่หรือเปล่า…

เดิมทีหลิงหลานก็ไม่ได้หวังกับคนพวกนี้อยู่แล้ว แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่า ในคนกลุ่มนี้จะมีคนที่เอ่ยปากขอร้องเพื่อเธอด้วย “ขอร้องล่ะ พวกนายปล่อยเขาไปเถอะ เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง…”

สายตาของเธอเห็นว่า คนที่พูดก็คือเด็กหนุ่มที่ถูกชายชราผลักคนนั้นนั่นเอง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิงวอน แน่นอนว่ามีความสิ้นหวังอยู่มากกว่า บางทีเขาอาจจะรู้ว่าเอ่ยปากไปก็ไม่ได้ผล แต่เขาก็ยังพูดไปเพื่อความหวังและความเป็นไปได้ที่แทบไม่มีอยู่

………………………………………………….