ตอนที่ 92 ทำการเข่นฆ่า!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

“ฮ่าๆ ไอ้หนู พูดได้น่าฟังจริงๆ ถ้างั้นนายก็มาตายแทนเขาก่อนเลยไหม?” หัวหน้ามองไปที่เด็กหนุ่มด้วยสีหน้าสนุกสนาน เขาอยากเห็นว่าจะมีคนยินดีใช้ชีวิตตัวเองไปช่วยคนแปลกหน้าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องเลยสักนิดจริงๆ หรือไม่

นี่จะเป็นไปได้ยังไง! หลิงหลานรู้ดีว่าตัวเธอก็ทำแบบนี้ไม่ได้แน่นอน เธอเองก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนที่สามารถเป็นแม่พระจนถึงขั้นยินดีแลกชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนแปลกหน้าเหมือนกัน แต่คำตอบของชายหนุ่มทำให้หลิงหลานตะลึง จนถึงขนาดที่เธอคิดว่าตัวเองหูฝาดไป

เด็กหนุ่มคนนั้นเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมาจริงๆ ว่าเขายินดีแลกชีวิต

เชี่ย! มิติการเรียนรู้ที่น่ารังเกียจ ทำฉากให้มันปกติหน่อยไม่ได้หรือไง? หลิงหลานเผลอวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า พริบตาที่ได้ยินคำตอบนี้ หัวใจเธอก็เต้นถี่กระชั้นขึ้น บางทีเธอไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่าจะมีไอ้โง่แบบนี้อยู่ในมิติแห่งนี้ได้ยังไง?

“ฮ่าๆ เจ้าหนูน้อย ดูท่าโชคของนายจะไม่เลวจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนยอมไปตายแทนด้วย” หัวหน้าตบหน้าหลิงหลานเบาๆ แหงนหน้าหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “นายควรจะขอบคุณพี่ชายคนนั้นให้ดีใช่ไหมล่ะ?” การตอบกลับที่เหนือความคาดหมายของเด็กหนุ่มทำให้หัวหน้าสนุกขึ้นมาแล้ว ในที่สุดก็ทำให้เขารู้สึกถึงความแปลกใหม่ได้บ้าง แน่นอนว่าเขายินดีไปทำลายเพื่อทำให้สองคนตรงหน้าเขาสิ้นหวังไปโดยสิ้นเชิง

“มา นายต้องยิ้มมองดูเขาถูกลูกน้องของฉันค่อยๆ เฉือนเนื้อของเขาลงมาเพื่อเป็นการขอบคุณนะ…” หัวหน้าหันหัวของหลิงหลานไปที่เด็กหนุ่มคนนั้นด้วยความป่าเถื่อน ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้นก็ถูกชายร่างใหญ่าสองคนพยุงไว้ ยังมีอีกคนกำลังเลียดาบสั้นที่ส่องประกายในมือ ราวกับกำลังใคร่ครวญว่าจะเริ่มลงมือที่ส่วนไหนของเด็กหนุ่ม

บรรดาคนที่ถูกคุมตัวให้คุกเข่าเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น มีหลายคนถึงขั้นไม่อาจเชื่อได้ บางทีพวกเขาอาจจะไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงอยากช่วยเหลือเด็กแปลกหน้าคนหนึ่ง และยังต้องทรมานอย่างโหดร้ายแบบนี้ก่อนตายเพื่อเรื่องนี้ด้วย

ทางด้านผู้ร้าย สายตาของทุกคนต่างเพ่งมองไปที่ตัวของเด็กหนุ่ม พวกเขารู้สึกสนุกกับฉากแบบนี้ เมื่อเห็นคนผู้หนึ่งอ้อนวอนก่อนตายด้วยความทุกข์ทรมานผิดหวังทำให้พวกเขาตื่นเต้นมากๆ กระทั่งหัวหน้าคนนั้นก็ยังให้ความสนใจไปที่เด็กหนุ่มคนนั้น โดยลืมหลิงหลานที่อยู่ในมือไป

นี่เป็นโอกาส! เมื่อความสนใจของทุกคนต่างมุ่งไปที่ตัวของเด็กหนุ่ม หลิงหลานก็รู้ว่าโอกาสดีที่สุดที่เธอจะลงมือได้มาถึงแล้ว

ศีรษะของหลิงหลานไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่แขนของเธอกลับบิดไปยังองศาที่แปลกประหลาดสุดขีด ทำลายขีดจำกัดการเคลื่อนไหวที่ยืดหยุ่นของร่างกายของมนุษย์ กริชในมือกวัดแกว่งไปหาหัวหน้าซึ่งกำลังบีบดวงหน้าของเธอโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

หัวหน้ากำลังหัวเราะเสียงดังขณะมองลูกน้องเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มคนนั้นช้าๆ เขามองเด็กหนุ่มดิ้นรนสุดชีวิตอย่างเปี่ยมล้นไปด้วยความสนใจ เขากำลังรอฉากที่จิตใจของเด็กหนุ่มคนนี้พังทลาย โหวกเหวกร้องไห้ว่าเขานึกเสียใจแล้ว…ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกว่าลำคอเย็นเยียบ หลังจากนั้นก็เห็นภาพที่เขาสามารถมองเห็นได้กำลังหมุนวน

เขาเห็นลูกน้องของเขา และก็เห็นพวกมดที่พวกเขาเตรียมจะฆ่าทิ้ง ถึงขนาดยังมองเห็นเจ้าหนูน้อยที่น่าสงสารในมือเขา ร่างกายที่อยู่ด้วยกันนั้นดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาดมาก แน่นอนว่าสิ่งที่แปลกพิกลมากที่สุดคือ ร่างกายนั้นไม่มีหัว…

หัว? คุ้นตา? นั่นไม่ใช่ตัวเขาเหรอ? เขาหวาดหวั่นและก็สติแตกแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

หลิงหลานโจมตีสำเร็จในครั้งเดียวโดยที่ไม่มีความลังเลใดๆ บิดฝ่ามือที่บีบเธอไว้จนหัก จากนั้นก็กระโจนเข้าไปที่ผู้ร้ายหลายคนที่อยู่ใกล้เธอมากที่สุด พวกเขายังไม่ทันสังเกตเห็นว่าหัวหน้าตัวเองถูกกำจัดทิ้งแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังมองเพื่อนสังหารเด็กหนุ่มที่เสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนอื่นอย่างมีความสุข

หลิงหลานไม่ได้ระเบิดความเร็วสูงสุดเพื่อไม่ให้คนที่อยู่ด้านหน้าสนใจตรงนี้มากขึ้น เธอยังคงควบคุมเงาของตัวเอง การเคลื่อนไหวเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบ เธอพุ่งไปหลายครั้งก็มีหลายคนถูกหลิงหลานใช้กริชปาดคออย่างไร้เมตตา

เลือดพลันกระฉูดออกจากจุดที่ฉีดขาดของลำคอ พวกเขาที่จวนจะใกล้ตายถูกหลิงหลานอุดปากไว้แน่น ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้เลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่สามารถบอกเพื่อนที่อยู่ข้างหน้าได้ว่า มียมทูตมาถึงด้านหลังพวกเขาแล้ว

ความจริงแล้วเทคนิคการปาดคอของหลิงหลานเป็นวิธีเฉพาะของมิติการเรียนรู้ ในขณะที่ตัดเส้นชีวิตของพวกเขา ก็ตัดความสามารถในการพูดของคนเหล่านี้ด้วย อย่างไรก็ตามหลิงหลานยังอุดปากพวกเขาไว้ให้แน่ใจว่าจะไม่มีผิดพลาดเลย

เด็กหนุ่มเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถมองเห็นหลิงหลานได้อย่างชัดเจน เขาเบิกตาทั้งสองข้าง ทำหน้าตกตะลึงพรึงเพริด ร่างกายที่เดิมทียังคงดิ้นรนอย่างรุนแรงก็หยุดนิ่งลงฉับพลัน

ฉากที่แปลกประหลาดนี้ทำให้พวกผู้ร้ายที่ชมดูต่างประหลาดใจขึ้นมา พวกเขาเตรียมหันหน้ากลับไปมองตามจิตใต้สำนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ด้านหลังพวกเขากันแน่ถึงทำให้เด็กหนุ่มแสดงเช่นนี้ จนถึงขั้นลืมไปว่าตัวเองอยู่ในสภาพเผชิญหน้ากับความตาย?

เพื่อนร่วมทีมโง่!

หลิงหลานแปะป้ายโง่เง่าไว้ที่เด็กหนุ่มคนนั้นอย่างเด็ดขาด ยังดีที่เขาไม่ได้ทำหน้าตื่นเต้นยินดี ไม่อย่างนั้นผู้ร้ายพวกนี้คงตื่นตัวขึ้นมาในวินาทีแรก ตอนนี้พวกเขาเพียงแค่สงสัยสิ่งที่เด็กหนุ่มเห็นเท่านั้น

หลิงหลานรู้ว่าไม่มีเวลาแล้ว เธอต้องสังหารผู้ร้ายเหล่านี้ให้หมดก่อนหน้าพวกจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ไม่เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นปัญญาใหญ่แล้ว

คราวนี้หลิงหลานไม่ได้ควบคุมตัวเองอีกต่อไป หากแต่ระเบิดพลังและความเร็วทั้งหมดของเธอ จนมองเห็นเป็นเงาแฉลบไปวูบหนึ่ง มีดทหารสามคมกับกริชในมือหลิงหลานกวัดแกว่งสลับกัน ไม่ว่าไปที่ไหน บนตัวของพวกผู้ร้ายที่ไม่มีการป้องกันเลยสักนิดเดียวต่างก็ถูกอาวุธเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในจุดสำคัญจนเลือดมากมายนับไม่ถ้วนสาดกระจายออกมา

เส้นทางการเคลื่อนไหวของหลิงหลานเป็นเส้นตรง นี่ไม่ใช่เส้นทางสังหารศัตรูที่ดีที่สุด แต่เป็นเส้นทางที่ช่วยเหลือคนที่ดีที่สุด ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะทำให้ศัตรูที่อยู่สองฝั่งหลบหนีไปได้ แต่มันก็หลีกเลี่ยงอันตรายที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะกลายเป็นตัวประกันไปได้

หลิงหลานสังหารผู้ร้ายสองคนที่ประคองเด็กหนุ่มไว้ล่วงหน้าก้าวหนึ่งก่อนที่พวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ในขณะเดียวกัน เท้าข้างหนึ่งเตะเด็กหนุ่มที่เกะกะไปข้างหลังเธอ ตรงนั้นไม่มีผู้ร้ายสักคน เป็นสถานที่ปลอดภัยมากที่สุด

พอถึงตรงนี้ ผู้ร้ายไม่น้อยก็มีปฏิกิริยาในที่สุด เดิมทีหลิงหลานกลัวว่าพวกเขาจะหนีกระจัดกระจาย ทำให้เธอสูญเสียโอกาสสังหารพวกเขาจนหมด ไม่นึกเลยว่าคนพวกนี้จะชูอาวุธในมือขึ้นมา และกู่ร้องเสียงดังกระโจนเข้าหาเธอ

ดีเหลือเกิน! ที่แท้ก็เป็นศัตรูโง่เง่าเหมือนกัน คราวนี้ทั้งสองฝ่ายก็เสมอภาคกันแล้ว

หลิงหลานไม่ให้โอกาสคนพวกนี้ กระพริบตาไม่กี่ทีก็กำจัดคนพวกนี้ไปจนหมด บนตัวหลิงหลานไม่เปื้อนเลือดเลยสักนิด ยกเว้นแต่พวกฝุ่นผงที่ปลิวขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ศพนับไม่ถ้วนเพิ่มขึ้นบนพื้นที่รกร้างผืนนี้อีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้เป็นพวกผู้ร้ายที่ไร้หัวจิตหัวใจ

หลิงหลานยืนตรง เก็บอาวุธในมืออย่างเย็นชา เธอมองศีรษะที่ร่วงลงพื้น รอยยิ้มบ้าคลั่งบนใบหน้าแฝงไปด้วยร่องรอยความหวาดผวา ดูแปลกประหลาดอย่างหาใดเปรียบ หลิงหลานพยักหน้าเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ หลังจากที่หัวหลุดจากร่างกายแล้วก็ไม่ได้ตายทันที มีอืดอาดไปหนึ่งถึงสองวินาที บางทีอาจจะนานกว่านั้น….”

หลิงหลานไม่มองเหล่าผู้รอดชีวิตที่ตื่นตระหนกอีก เธอเตรียมพร้อมจะออกไปจากที่นี่

หลิงหลานเพิ่งจะยกเท้าเดินไปหลายก้าว เด็กหนุ่มคนนั้นก็ตะโกนว่า “เดี๋ยวก่อน”

เนื่องจากเด็กหนุ่มโง่เง่าจนยินดีแลกชีวิตเพื่อช่วยเหลือเธอ หลิงหลานก็ตัดสินใจให้โอกาสเขาสักครั้ง “หืม?”

“เธออยู่ตัวคนเดียวเหรอ? ถ้าไม่มีที่ไปก็ตามฉันกลับไปที่หมู่บ้านเถอะ” เด็กหนุ่มพยายามฝืนยิ้มออกมา ถึงยังไงเขาก็เพิ่งจะกลับมาจากเส้นความตาย ต่อให้เป็นคนที่ใจเย็นอีกแค่ไหนก็รักษาความเยือกเย็นเอาไว้ไม่ได้ และเดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่ใจเย็นด้วย

นี่เป็นคำใบ้ของภารกิจต่อไปหรือเปล่า? หลิงหลานครุ่นคิดสักพักก่อนจะตัดสินใจไปสำรวจหมู่บ้าน ถึงยังไงตอนนี้เธอก็ยังงุนงงกับสิ่งที่เรียกว่าเส้นทางพัฒนาการอยู่ ไม่รู้เลยว่าจะต้องทำอะไรบ้าง

เด็กหนุ่มเห็นหลิงหลานพยักหน้าก็ตื่นเต้นอย่างหาใดเปรียบ ด้วยเหตุนี้เอง หลิงหลานจึงเตรียมตัวกลับไปที่หมู่บ้านของเด็กหนุ่มด้วยกันกับเขา

ตอนที่จากไป พวกคนที่อยู่ไม่ไกลก็รวบรวมทรัพย์สมบัติที่พวกเขาบางคนทิ้งไว้ตอนหลบหนี ทุกคนต่างแบกของที่ห่อไว้ขนาดใหญ่เตรียมตัวจะกลับบ้าน แต่ว่ามีเพื่อนมากมายที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล ไม่กลับไปที่บ้านอีก พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับพวกญาติๆ ที่รอคอยพวกเขากลับมาอย่างกระตือรือร้นยังไงดี

ระหว่างทาง หลิงหลานรู้ว่าคนเหล่านี้ต่างก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน พวกเขาออกมาครั้งนี้ก็เตรียมตัวไปแลกซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันที่หมู่บ้านเล็กๆ ห่างออกไปสามสิบลี้ แต่ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องหายนะแบบนี้ขึ้น

หลิงหลานอ้อมเนินเขาลูกหนึ่งตามพวกเขา ทิวทัศน์ที่เดิมทีรกร้างก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้น สีเขียวเองก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เด็กหนุ่มบอกหลิงหลานว่าหมู่บ้านของพวกเขามีตาน้ำพุซึ่งเป็นของขวัญจากสวรรค์ มันเป็นโอเอซิสของที่รกร้างผืนนี้ และทำให้ทุกคนในหมู่บ้านพวกเขาสามารถรอดชีวิตอยู่ในพื้นที่รกร้างที่ขาดแคลนน้ำแห่งนี้ได้

เมื่อเดินทางต่อไปได้ช่วงหนึ่ง หญ้าสีเขียวขจีก็ลอดเข้ามาในสายตา ตอนที่เด็กหนุ่มบอกหลิงหลานด้วยความตื่นเต้นว่าใกล้จะถึงหมู่บ้านของพวกเขาแล้ว สีหน้าของหลิงหลานก็เปลี่ยนไป

เธอส่งสัญญาณให้ทุกคนซ่อนตัว ส่วนเธอก็เข้าไปดักซุ่มเงียบๆ โชคดีที่นี่ไม่ใช่ทุ่งหญ้าที่ราบ หากแต่เป็นเขตเนินเขาที่พื้นที่สูงต่ำไม่เท่ากันอยู่ด้วย

หลิงหลานไปตามแอ่งเขาอย่างรวดเร็วจนมาถึงปากทางของหมู่บ้าน แต่ฉากตรงหน้าทำให้หลิงหลานรู้ดีว่า ตอนนี้หมู่บ้านของเด็กหนุ่มก็เผชิญหน้ากับจุดจบที่ถูกเข่นฆ่าอันน่าเศร้าเช่นเดียวกัน

เวลานี้มีชายหนุ่มร่างกำยำจำนวนไม่น้อยถูกแขวนบนต้นไม้ใหญ่หน้าประตูหมู่บ้านหลายต้น ส่วนรอบๆ มีคนแก่ ผู้หญิง และเด็กที่มือเปล่าไร้อาวุธถูกมัดไว้ด้วยกัน พวกเขาคุกเข่าอยู่บนพื้นดิ้นรนสุดชีวิต ส่งเสียงตะโกนร้องไห้อยากจะคลานไปหาญาติพี่น้องของตัวเอง เหล่าผู้ร้ายที่คุมพวกเขาอยู่ใช้อาวุธทุบตีพวกคนที่พยายามขัดขืนให้ล้มลงไปกับพื้นท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งให้พวกเขาจ้องมองลูก ภรรยา พ่อของตัวเองถูกเพชฌฆาตผ่าท้องคว้านหัวใจทั้งเป็น ตายอยู่ตรงหน้าพวกเขา

“ไอ้สารเลว!” ความโกรธในใจหลิงหลานพลันลุกขึ้นมา ฉากนี้ละเมิดเขตหวงห้ามของหลิงหลานแล้ว ถ้าบอกว่าเริ่มแรกหลิงหลานเกลียดปัญหายุ่งยากไม่อยากสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว เวลานี้หลิงหลานก็คิดเพียงอยากจะสังหารไอ้พวกระยำที่ไม่อาจเรียกว่าเป็นคนให้หมดไป

อย่างไรก็ตาม หลิงหลานไม่ใช้คนที่หัวร้อน เธอไม่อยากอดช่วยเหลือคนเหล่านี้เพราะความหุนหัน ตรงกันข้ามกลับทำให้ตัวเองตกอยู่วงล้อม เอาชีวิตไปทิ้ง

หลิงหลานยังจดจำคำพูดที่ระบบแจ้งไว้ได้ ภารกิจพิเศษหนึ่งเดียว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะหมายถึงไม่อนุญาตให้เสียชีวิตในภารกิจครั้งนี้ เมื่อเธอตาย ภารกิจนี้ก็จะถูกยุติ

หลังจากที่อยู่กับมิติการเรียนรู้มาเกือบหกปี หลิงหลานคุ้นเคยกับกลไกการมอบรางวัลภารกิจของมิติดี ยิ่งเป็นภารกิจที่ประหลาดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รางวัลที่ได้รับก็จะยิ่งเฟื่องฟู ภารกิจพิเศษหนึ่งเดียว แค่เห็นคำว่าหนึ่งเดียว หลิงหลานก็มั่นใจได้ว่ารางวัลหลังจบภารกิจย่อมมากมายจนถึงขั้นทำให้เธอจ้องตาเป็นมัน

ดังนั้น หลิงหลานไม่เคยคิดยอมแพ้ตั้งแต่เริ่มแรก ไม่ว่าจะมีความยากลำบากมากเท่าไหร่ เธอก็จะทำภารกิจสำเร็จให้ได้

บทที่ 92 ทำการเข่นฆ่า!

“ฮ่าๆ ไอ้หนู พูดได้น่าฟังจริงๆ ถ้างั้นนายก็มาตายแทนเขาก่อนเลยไหม?” หัวหน้ามองไปที่เด็กหนุ่มด้วยสีหน้าสนุกสนาน เขาอยากเห็นว่าจะมีคนยินดีใช้ชีวิตตัวเองไปช่วยคนแปลกหน้าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องเลยสักนิดจริงๆ หรือไม่

นี่จะเป็นไปได้ยังไง! หลิงหลานรู้ดีว่าตัวเธอก็ทำแบบนี้ไม่ได้แน่นอน เธอเองก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนที่สามารถเป็นแม่พระจนถึงขั้นยินดีแลกชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนแปลกหน้าเหมือนกัน แต่คำตอบของชายหนุ่มทำให้หลิงหลานตะลึง จนถึงขนาดที่เธอคิดว่าตัวเองหูฝาดไป

เด็กหนุ่มคนนั้นเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมาจริงๆ ว่าเขายินดีแลกชีวิต

เชี่ย! มิติการเรียนรู้ที่น่ารังเกียจ ทำฉากให้มันปกติหน่อยไม่ได้หรือไง? หลิงหลานเผลอวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า พริบตาที่ได้ยินคำตอบนี้ หัวใจเธอก็เต้นถี่กระชั้นขึ้น บางทีเธอไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่าจะมีไอ้โง่แบบนี้อยู่ในมิติแห่งนี้ได้ยังไง?

“ฮ่าๆ เจ้าหนูน้อย ดูท่าโชคของนายจะไม่เลวจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนยอมไปตายแทนด้วย” หัวหน้าตบหน้าหลิงหลานเบาๆ แหงนหน้าหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “นายควรจะขอบคุณพี่ชายคนนั้นให้ดีใช่ไหมล่ะ?” การตอบกลับที่เหนือความคาดหมายของเด็กหนุ่มทำให้หัวหน้าสนุกขึ้นมาแล้ว ในที่สุดก็ทำให้เขารู้สึกถึงความแปลกใหม่ได้บ้าง แน่นอนว่าเขายินดีไปทำลายเพื่อทำให้สองคนตรงหน้าเขาสิ้นหวังไปโดยสิ้นเชิง

“มา นายต้องยิ้มมองดูเขาถูกลูกน้องของฉันค่อยๆ เฉือนเนื้อของเขาลงมาเพื่อเป็นการขอบคุณนะ…” หัวหน้าหันหัวของหลิงหลานไปที่เด็กหนุ่มคนนั้นด้วยความป่าเถื่อน ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้นก็ถูกชายร่างใหญ่าสองคนพยุงไว้ ยังมีอีกคนกำลังเลียดาบสั้นที่ส่องประกายในมือ ราวกับกำลังใคร่ครวญว่าจะเริ่มลงมือที่ส่วนไหนของเด็กหนุ่ม

บรรดาคนที่ถูกคุมตัวให้คุกเข่าเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น มีหลายคนถึงขั้นไม่อาจเชื่อได้ บางทีพวกเขาอาจจะไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงอยากช่วยเหลือเด็กแปลกหน้าคนหนึ่ง และยังต้องทรมานอย่างโหดร้ายแบบนี้ก่อนตายเพื่อเรื่องนี้ด้วย

ทางด้านผู้ร้าย สายตาของทุกคนต่างเพ่งมองไปที่ตัวของเด็กหนุ่ม พวกเขารู้สึกสนุกกับฉากแบบนี้ เมื่อเห็นคนผู้หนึ่งอ้อนวอนก่อนตายด้วยความทุกข์ทรมานผิดหวังทำให้พวกเขาตื่นเต้นมากๆ กระทั่งหัวหน้าคนนั้นก็ยังให้ความสนใจไปที่เด็กหนุ่มคนนั้น โดยลืมหลิงหลานที่อยู่ในมือไป

นี่เป็นโอกาส! เมื่อความสนใจของทุกคนต่างมุ่งไปที่ตัวของเด็กหนุ่ม หลิงหลานก็รู้ว่าโอกาสดีที่สุดที่เธอจะลงมือได้มาถึงแล้ว

ศีรษะของหลิงหลานไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่แขนของเธอกลับบิดไปยังองศาที่แปลกประหลาดสุดขีด ทำลายขีดจำกัดการเคลื่อนไหวที่ยืดหยุ่นของร่างกายของมนุษย์ กริชในมือกวัดแกว่งไปหาหัวหน้าซึ่งกำลังบีบดวงหน้าของเธอโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

หัวหน้ากำลังหัวเราะเสียงดังขณะมองลูกน้องเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มคนนั้นช้าๆ เขามองเด็กหนุ่มดิ้นรนสุดชีวิตอย่างเปี่ยมล้นไปด้วยความสนใจ เขากำลังรอฉากที่จิตใจของเด็กหนุ่มคนนี้พังทลาย โหวกเหวกร้องไห้ว่าเขานึกเสียใจแล้ว…ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกว่าลำคอเย็นเยียบ หลังจากนั้นก็เห็นภาพที่เขาสามารถมองเห็นได้กำลังหมุนวน

เขาเห็นลูกน้องของเขา และก็เห็นพวกมดที่พวกเขาเตรียมจะฆ่าทิ้ง ถึงขนาดยังมองเห็นเจ้าหนูน้อยที่น่าสงสารในมือเขา ร่างกายที่อยู่ด้วยกันนั้นดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาดมาก แน่นอนว่าสิ่งที่แปลกพิกลมากที่สุดคือ ร่างกายนั้นไม่มีหัว…

หัว? คุ้นตา? นั่นไม่ใช่ตัวเขาเหรอ? เขาหวาดหวั่นและก็สติแตกแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

หลิงหลานโจมตีสำเร็จในครั้งเดียวโดยที่ไม่มีความลังเลใดๆ บิดฝ่ามือที่บีบเธอไว้จนหัก จากนั้นก็กระโจนเข้าไปที่ผู้ร้ายหลายคนที่อยู่ใกล้เธอมากที่สุด พวกเขายังไม่ทันสังเกตเห็นว่าหัวหน้าตัวเองถูกกำจัดทิ้งแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังมองเพื่อนสังหารเด็กหนุ่มที่เสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนอื่นอย่างมีความสุข

หลิงหลานไม่ได้ระเบิดความเร็วสูงสุดเพื่อไม่ให้คนที่อยู่ด้านหน้าสนใจตรงนี้มากขึ้น เธอยังคงควบคุมเงาของตัวเอง การเคลื่อนไหวเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบ เธอพุ่งไปหลายครั้งก็มีหลายคนถูกหลิงหลานใช้กริชปาดคออย่างไร้เมตตา

เลือดพลันกระฉูดออกจากจุดที่ฉีดขาดของลำคอ พวกเขาที่จวนจะใกล้ตายถูกหลิงหลานอุดปากไว้แน่น ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้เลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่สามารถบอกเพื่อนที่อยู่ข้างหน้าได้ว่า มียมทูตมาถึงด้านหลังพวกเขาแล้ว

ความจริงแล้วเทคนิคการปาดคอของหลิงหลานเป็นวิธีเฉพาะของมิติการเรียนรู้ ในขณะที่ตัดเส้นชีวิตของพวกเขา ก็ตัดความสามารถในการพูดของคนเหล่านี้ด้วย อย่างไรก็ตามหลิงหลานยังอุดปากพวกเขาไว้ให้แน่ใจว่าจะไม่มีผิดพลาดเลย

เด็กหนุ่มเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถมองเห็นหลิงหลานได้อย่างชัดเจน เขาเบิกตาทั้งสองข้าง ทำหน้าตกตะลึงพรึงเพริด ร่างกายที่เดิมทียังคงดิ้นรนอย่างรุนแรงก็หยุดนิ่งลงฉับพลัน

ฉากที่แปลกประหลาดนี้ทำให้พวกผู้ร้ายที่ชมดูต่างประหลาดใจขึ้นมา พวกเขาเตรียมหันหน้ากลับไปมองตามจิตใต้สำนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ด้านหลังพวกเขากันแน่ถึงทำให้เด็กหนุ่มแสดงเช่นนี้ จนถึงขั้นลืมไปว่าตัวเองอยู่ในสภาพเผชิญหน้ากับความตาย?

เพื่อนร่วมทีมโง่!

หลิงหลานแปะป้ายโง่เง่าไว้ที่เด็กหนุ่มคนนั้นอย่างเด็ดขาด ยังดีที่เขาไม่ได้ทำหน้าตื่นเต้นยินดี ไม่อย่างนั้นผู้ร้ายพวกนี้คงตื่นตัวขึ้นมาในวินาทีแรก ตอนนี้พวกเขาเพียงแค่สงสัยสิ่งที่เด็กหนุ่มเห็นเท่านั้น

หลิงหลานรู้ว่าไม่มีเวลาแล้ว เธอต้องสังหารผู้ร้ายเหล่านี้ให้หมดก่อนหน้าพวกจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ไม่เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นปัญญาใหญ่แล้ว

คราวนี้หลิงหลานไม่ได้ควบคุมตัวเองอีกต่อไป หากแต่ระเบิดพลังและความเร็วทั้งหมดของเธอ จนมองเห็นเป็นเงาแฉลบไปวูบหนึ่ง มีดทหารสามคมกับกริชในมือหลิงหลานกวัดแกว่งสลับกัน ไม่ว่าไปที่ไหน บนตัวของพวกผู้ร้ายที่ไม่มีการป้องกันเลยสักนิดเดียวต่างก็ถูกอาวุธเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในจุดสำคัญจนเลือดมากมายนับไม่ถ้วนสาดกระจายออกมา

เส้นทางการเคลื่อนไหวของหลิงหลานเป็นเส้นตรง นี่ไม่ใช่เส้นทางสังหารศัตรูที่ดีที่สุด แต่เป็นเส้นทางที่ช่วยเหลือคนที่ดีที่สุด ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะทำให้ศัตรูที่อยู่สองฝั่งหลบหนีไปได้ แต่มันก็หลีกเลี่ยงอันตรายที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะกลายเป็นตัวประกันไปได้

หลิงหลานสังหารผู้ร้ายสองคนที่ประคองเด็กหนุ่มไว้ล่วงหน้าก้าวหนึ่งก่อนที่พวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ในขณะเดียวกัน เท้าข้างหนึ่งเตะเด็กหนุ่มที่เกะกะไปข้างหลังเธอ ตรงนั้นไม่มีผู้ร้ายสักคน เป็นสถานที่ปลอดภัยมากที่สุด

พอถึงตรงนี้ ผู้ร้ายไม่น้อยก็มีปฏิกิริยาในที่สุด เดิมทีหลิงหลานกลัวว่าพวกเขาจะหนีกระจัดกระจาย ทำให้เธอสูญเสียโอกาสสังหารพวกเขาจนหมด ไม่นึกเลยว่าคนพวกนี้จะชูอาวุธในมือขึ้นมา และกู่ร้องเสียงดังกระโจนเข้าหาเธอ

ดีเหลือเกิน! ที่แท้ก็เป็นศัตรูโง่เง่าเหมือนกัน คราวนี้ทั้งสองฝ่ายก็เสมอภาคกันแล้ว

หลิงหลานไม่ให้โอกาสคนพวกนี้ กระพริบตาไม่กี่ทีก็กำจัดคนพวกนี้ไปจนหมด บนตัวหลิงหลานไม่เปื้อนเลือดเลยสักนิด ยกเว้นแต่พวกฝุ่นผงที่ปลิวขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ศพนับไม่ถ้วนเพิ่มขึ้นบนพื้นที่รกร้างผืนนี้อีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้เป็นพวกผู้ร้ายที่ไร้หัวจิตหัวใจ

หลิงหลานยืนตรง เก็บอาวุธในมืออย่างเย็นชา เธอมองศีรษะที่ร่วงลงพื้น รอยยิ้มบ้าคลั่งบนใบหน้าแฝงไปด้วยร่องรอยความหวาดผวา ดูแปลกประหลาดอย่างหาใดเปรียบ หลิงหลานพยักหน้าเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ หลังจากที่หัวหลุดจากร่างกายแล้วก็ไม่ได้ตายทันที มีอืดอาดไปหนึ่งถึงสองวินาที บางทีอาจจะนานกว่านั้น….”

หลิงหลานไม่มองเหล่าผู้รอดชีวิตที่ตื่นตระหนกอีก เธอเตรียมพร้อมจะออกไปจากที่นี่

หลิงหลานเพิ่งจะยกเท้าเดินไปหลายก้าว เด็กหนุ่มคนนั้นก็ตะโกนว่า “เดี๋ยวก่อน”

เนื่องจากเด็กหนุ่มโง่เง่าจนยินดีแลกชีวิตเพื่อช่วยเหลือเธอ หลิงหลานก็ตัดสินใจให้โอกาสเขาสักครั้ง “หืม?”

“เธออยู่ตัวคนเดียวเหรอ? ถ้าไม่มีที่ไปก็ตามฉันกลับไปที่หมู่บ้านเถอะ” เด็กหนุ่มพยายามฝืนยิ้มออกมา ถึงยังไงเขาก็เพิ่งจะกลับมาจากเส้นความตาย ต่อให้เป็นคนที่ใจเย็นอีกแค่ไหนก็รักษาความเยือกเย็นเอาไว้ไม่ได้ และเดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่ใจเย็นด้วย

นี่เป็นคำใบ้ของภารกิจต่อไปหรือเปล่า? หลิงหลานครุ่นคิดสักพักก่อนจะตัดสินใจไปสำรวจหมู่บ้าน ถึงยังไงตอนนี้เธอก็ยังงุนงงกับสิ่งที่เรียกว่าเส้นทางพัฒนาการอยู่ ไม่รู้เลยว่าจะต้องทำอะไรบ้าง

เด็กหนุ่มเห็นหลิงหลานพยักหน้าก็ตื่นเต้นอย่างหาใดเปรียบ ด้วยเหตุนี้เอง หลิงหลานจึงเตรียมตัวกลับไปที่หมู่บ้านของเด็กหนุ่มด้วยกันกับเขา

ตอนที่จากไป พวกคนที่อยู่ไม่ไกลก็รวบรวมทรัพย์สมบัติที่พวกเขาบางคนทิ้งไว้ตอนหลบหนี ทุกคนต่างแบกของที่ห่อไว้ขนาดใหญ่เตรียมตัวจะกลับบ้าน แต่ว่ามีเพื่อนมากมายที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล ไม่กลับไปที่บ้านอีก พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับพวกญาติๆ ที่รอคอยพวกเขากลับมาอย่างกระตือรือร้นยังไงดี

ระหว่างทาง หลิงหลานรู้ว่าคนเหล่านี้ต่างก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน พวกเขาออกมาครั้งนี้ก็เตรียมตัวไปแลกซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันที่หมู่บ้านเล็กๆ ห่างออกไปสามสิบลี้ แต่ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องหายนะแบบนี้ขึ้น

หลิงหลานอ้อมเนินเขาลูกหนึ่งตามพวกเขา ทิวทัศน์ที่เดิมทีรกร้างก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้น สีเขียวเองก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เด็กหนุ่มบอกหลิงหลานว่าหมู่บ้านของพวกเขามีตาน้ำพุซึ่งเป็นของขวัญจากสวรรค์ มันเป็นโอเอซิสของที่รกร้างผืนนี้ และทำให้ทุกคนในหมู่บ้านพวกเขาสามารถรอดชีวิตอยู่ในพื้นที่รกร้างที่ขาดแคลนน้ำแห่งนี้ได้

เมื่อเดินทางต่อไปได้ช่วงหนึ่ง หญ้าสีเขียวขจีก็ลอดเข้ามาในสายตา ตอนที่เด็กหนุ่มบอกหลิงหลานด้วยความตื่นเต้นว่าใกล้จะถึงหมู่บ้านของพวกเขาแล้ว สีหน้าของหลิงหลานก็เปลี่ยนไป

เธอส่งสัญญาณให้ทุกคนซ่อนตัว ส่วนเธอก็เข้าไปดักซุ่มเงียบๆ โชคดีที่นี่ไม่ใช่ทุ่งหญ้าที่ราบ หากแต่เป็นเขตเนินเขาที่พื้นที่สูงต่ำไม่เท่ากันอยู่ด้วย

หลิงหลานไปตามแอ่งเขาอย่างรวดเร็วจนมาถึงปากทางของหมู่บ้าน แต่ฉากตรงหน้าทำให้หลิงหลานรู้ดีว่า ตอนนี้หมู่บ้านของเด็กหนุ่มก็เผชิญหน้ากับจุดจบที่ถูกเข่นฆ่าอันน่าเศร้าเช่นเดียวกัน

เวลานี้มีชายหนุ่มร่างกำยำจำนวนไม่น้อยถูกแขวนบนต้นไม้ใหญ่หน้าประตูหมู่บ้านหลายต้น ส่วนรอบๆ มีคนแก่ ผู้หญิง และเด็กที่มือเปล่าไร้อาวุธถูกมัดไว้ด้วยกัน พวกเขาคุกเข่าอยู่บนพื้นดิ้นรนสุดชีวิต ส่งเสียงตะโกนร้องไห้อยากจะคลานไปหาญาติพี่น้องของตัวเอง เหล่าผู้ร้ายที่คุมพวกเขาอยู่ใช้อาวุธทุบตีพวกคนที่พยายามขัดขืนให้ล้มลงไปกับพื้นท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งให้พวกเขาจ้องมองลูก ภรรยา พ่อของตัวเองถูกเพชฌฆาตผ่าท้องคว้านหัวใจทั้งเป็น ตายอยู่ตรงหน้าพวกเขา

“ไอ้สารเลว!” ความโกรธในใจหลิงหลานพลันลุกขึ้นมา ฉากนี้ละเมิดเขตหวงห้ามของหลิงหลานแล้ว ถ้าบอกว่าเริ่มแรกหลิงหลานเกลียดปัญหายุ่งยากไม่อยากสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว เวลานี้หลิงหลานก็คิดเพียงอยากจะสังหารไอ้พวกระยำที่ไม่อาจเรียกว่าเป็นคนให้หมดไป

อย่างไรก็ตาม หลิงหลานไม่ใช้คนที่หัวร้อน เธอไม่อยากอดช่วยเหลือคนเหล่านี้เพราะความหุนหัน ตรงกันข้ามกลับทำให้ตัวเองตกอยู่วงล้อม เอาชีวิตไปทิ้ง

หลิงหลานยังจดจำคำพูดที่ระบบแจ้งไว้ได้ ภารกิจพิเศษหนึ่งเดียว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะหมายถึงไม่อนุญาตให้เสียชีวิตในภารกิจครั้งนี้ เมื่อเธอตาย ภารกิจนี้ก็จะถูกยุติ

หลังจากที่อยู่กับมิติการเรียนรู้มาเกือบหกปี หลิงหลานคุ้นเคยกับกลไกการมอบรางวัลภารกิจของมิติดี ยิ่งเป็นภารกิจที่ประหลาดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รางวัลที่ได้รับก็จะยิ่งเฟื่องฟู ภารกิจพิเศษหนึ่งเดียว แค่เห็นคำว่าหนึ่งเดียว หลิงหลานก็มั่นใจได้ว่ารางวัลหลังจบภารกิจย่อมมากมายจนถึงขั้นทำให้เธอจ้องตาเป็นมัน

ดังนั้น หลิงหลานไม่เคยคิดยอมแพ้ตั้งแต่เริ่มแรก ไม่ว่าจะมีความยากลำบากมากเท่าไหร่ เธอก็จะทำภารกิจสำเร็จให้ได้

……………………………………….