ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 41 การกำเนิดของนักกระบี่ (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 41 การกำเนิดของนักกระบี่ (rewrite)

เมืองหลวงช่วงเดือนสิบสอง มีความหนาวเบาบาง

ยามโพล้เพล้อึมครึม แสงตะวันลับลงทั้งหมด

สุดตรอกฝนพรำ ตอนที่คนเดินถนนคนหนึ่งผ่านจะมีเสียงดังแว่วมา

ตรอกเล็กอัศจรรย์ที่ในวันหิมะตกจะมีนกเพลิงอุสาตกลงมาจากนั้นบินจากไปด้วยความตกใจแห่งนี้ ไม่มีใครเข้ามาได้ ถนนทั้งเส้นเงียบเหงามาก

เล่าลือกันว่ามีชายร่างใหญ่หน้าตาดุร้ายคนหนึ่งเฝ้าลานบ้านเล็กสุดตรอก หากมีเด็กอยากรู้อยากเห็นเข้ามาจะข่มขู่ให้อีกฝ่ายถอยไปอย่างน่ากลัว ทั้งยังสั่งสอนอีกยกหนึ่ง

เด็กเชื่อว่าเป็นจริง แต่ผู้ใหญ่มองว่านี่เป็นแค่เรื่องเล่าของ ‘หมาป่ามาแล้ว’

เรื่องเล่านี้สังหารคนอยากรู้อยากเห็นได้ เด็กมีความอยากรู้อยากเห็น แต่ผู้ใหญ่มีน้อยมาก

เสียงดังแว่วมา…

คนเดินถนนคนนี้หยุดเล็กน้อย

เขาอยากยืนยันที่มาของเสียงนั้น

เพราะเสียงนั้น…เหมือนกับเสียงฉีกผ้า

เล่าลือว่าลานบ้านเล็กแห่งนี้เป็นของคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง เลี้ยงนกลายทองไว้ในกรง…และบางครั้ง การฉีกผ้าก็หมายถึง…คนเดินถนนมีสีหน้าซับซ้อนและยอดเยี่ยม เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่ควรมีอย่างพบเห็นได้ยาก จากนั้นขยับศีรษะเข้าไปใกล้ อยากจะตั้งใจฟัง

เขาอยู่อีกชั่วครู่ จากนั้นได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

เสียงนี้กลับไม่ได้มาจากสตรี

เพียงพริบตาเดียวก็เงียบหายไปในอากาศ

คนเดินถนนคนนี้สับสนเล็กน้อย ก่อนจะทำการตัดสินใจที่เขาต้องเสียใจที่สุดในชีวิตโดยไม่รู้ตัว

เขาเดินเข้าไปในตรอกเล็กแห่งนี้ พลันได้กลิ่นคาวเลือดแปลกๆ

มืดมากจริงๆ

ดังนั้นเขาเลยจุดตะเกียงในมือ ส่องไปไกลๆ ทางตรอกแคบเล็ก

จากนั้นเขาต้องตกใจจนล้มลงกับพื้น ล้มลุกคลุกคลานไปจากที่นี่

สองข้างกำแพงหินของตรอกเล็กแห่งนี้กองเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ แม้แต่บนพื้นดินยังปูด้วยเลือด

ในเงามืดไม่อาจสังเกตเห็น หากถือตะเกียงส่องไฟ ก็จะเหมือนก้าวสู่ขุมนรกใต้ดิน

ใยแมงมุมเปรอะเลือดเนื้อห้อยอยู่ในตรอก สิ่งที่ห้อยอยู่บนใยแมงมุมคือใบหน้าคนที่อาบไปด้วยเลือด ถูกปราณกระบี่พัดตกลงมา ติดอยู่ในเลือดเนื้อโยกไหวตามสายลม กระบอกตาเบิกโพรง

ไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งมารวมกันที่ตรอกเล็กแห่งนี้

ทุกคนล้อมอยู่นอกตรอกเล็ก ไม่กล้าเข้าไป

มีคนแจ้งผู้คุมกฎของเมืองหลวง รอฝ่ายขุนนางมาจัดการปัญหา

นี่คือใต้เท้าบุตรสวรรค์!

ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนกล้าลงมือ

สังหารคนอย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้ ลงมือโหดเหี้ยมมากจริงๆ

เล่าลือว่ามารคลั่งสังหารคนยังอยู่ที่นี่ คนเดินถนนที่พบคนแรกใส่สีปรุงแต่ง เปลี่ยนจากเสียงฉีกผ้าและเสียงตะโกนเป็นเสียงกินตับและหัวใจ ทั้งยังมีเสียงเคี้ยวเลือดเนื้อ

คนมากเข้าก็ไม่มีทางสงบลงได้ ต่อให้ค่ายกลกั้นเสียงในตรอกจะเสียหายเล็กน้อย ในสถานการณ์วุ่นวายนี้ก็ยังฟังไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น

ทว่ามีคนใจกล้าถือตะเกียง อาศัยพลังบำเพ็ญขอบเขตแรกของตน อยากจะไปถึงที่เกิดเหตุก่อนฝ่ายขุนนางกับสำนักศึกษา ตอนที่จะ ‘ลงทัณฑ์’ มารคลั่งสังหารคนนั้นด้วยตัวเองนั้น

เสียงที่สองดังแว่วมา

เป็นเสียงลูกธนูพุ่ง

ผู้บำเพ็ญขอบเขตแรกที่หน้าขาวซีดและเพิ่งก้าวเข้าตรอกเล็ก ถือตะเกียงอยู่ ด้วยภาพลักษณ์ อยากจะถอยก็ถอยไม่ได้แล้ว จึงกัดฟันเดินต่อไปอีกสองก้าว แต่สิ่งเหนียวข้นใต้เท้าทำให้เขาขนพองสยองเกล้าจริงๆ

ระหว่างคนสวรรค์ต่อสู้กัน ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาจากในตรอกเล็กโดยไม่มีสัญญาณใดๆ เลย

ผู้บำเพ็ญขอบเขตแรกถือตะเกียงเหม่อมอง ตั้งตัวไม่ทันเลย ก็ถูกธนูทะลวงบ่าไปเช่นนี้

เกิดเสียงดังสนั่น

เลือดสาดกระจาย

กลุ่มคนกรีดร้องและหนีไป

จนเมื่อศิษย์สี่สำนักศึกษามาถึงและลากผู้บำเพ็ญขอบเขตแรกที่บาดเจ็บสาหัสแต่ยังไม่ตายออกมานั้น ตรอกเล็กรวมถึงถนนเส้นนี้ไม่มีใครอยู่เลย

เกรงว่าคงสังหารแค่คนที่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น

…..

ธนูดอกที่สองของพญายมน้อยเฉียดผ่านแก้มหนิงอี้ ลากเป็นรอยเลือดสายหนึ่ง ทะลวงประตูไม้ลานบ้าน พุ่งออกจากด้านนี้ของตรอกเล็ก

“ศาสตร์ธนูของเจ้าดูไม่เท่าไรเลย” หนิงอี้เงื้อพินิจเหมันต์พลางเอ่ยราบเรียบ “ด้อยกว่าน้องสาวข้าเยอะ”

มีสัญญาณเตือนก่อนหน้านี้แล้ว จึงหลบธนูนี้ไม่ยากอีก

เงามืดที่ยังรักษาระยะห่างปลอดภัยรู้ว่าหนิงอี้มีกายและจิตแข็งแกร่ง เป็นยอดฝีมือการต่อสู้ระยะประชิด ตนจะล่าอีกฝ่าย เกรงว่าคงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก

ประสาทสัมผัสของหนิงอี้ยังแกร่งมาก

มีประสาทสัมผัสแกร่งขนาดนี้ เป็นปฏิปักษ์กับมือสังหารจวนปฐพีอย่างพญายมน้อยมาก

พญายมน้อยหน้ามืดทะมึน กลอุบายแทบทุกอย่างของเขาจะต้องเตรียมการล่วงหน้า โด่งดังเรื่องอานุภาพมหาศาล แต่ตอนนี้หนิงอี้ใช้แค่สัมผัสก็หลบได้

นี่จะให้ลอบสังหารอย่างไร

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ธนูปลิดชีพของตนถูกหนิงอี้กันไว้ได้ นี่ไม่ใช่การลอบสังหารอีกแล้ว

แต่เป็นการสังหารอย่างโจ่งแจ้ง

พญายมน้อยเดินออกมาจากหมอก เป็นผู้บำเพ็ญหนุ่มที่อายุไม่มากกว่าหนิงอี้เท่าไร ใบหน้าเขาไม่ได้ขี้เหร่ กระทั่งยังมองไม่เห็นกลิ่นอายอำมหิตเท่าไร

ออกมาจากเงามืดที่ซ่อนตัว มือสังหารก็กลายเป็นคนธรรมดาที่ยืนใต้แสงสว่าง

พญายมน้อยมีหน้าตาธรรมดาอย่างยิ่ง เครื่องหน้าและเอกลักษณ์ของเขา เป็นแบบที่คนมองทีเดียว ไม่นานก็จะลืมไป

หนิงอี้เคยได้ยินมาว่าการคัดเลือกของกลุ่มมือสังหาร ไม่ต้องการหน้าตาดีเกินไป หน้าตาขี้เหร่เกินไปก็ไม่เอา ใบหน้าสองอย่างนี้ดึงดูดความสนใจได้ง่าย ยิ่งเป็นใบหน้าคนธรรมดาก็ยิ่งสังหารคนได้ดี

หนิงอี้อดขำในใจไม่ได้ ‘พญายมน้อย…เจ้านี่เป็นตัวประกอบที่ไต่เต้าขึ้นมาจนมีชื่อเสียงจริงๆ’

การสบตากันที่ถนนนิมิตชาด เดิมทีเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนรุ่นอาวุโสอายุห้าสิบปี เป็นคนฉลาด ในดวงตามีความระมัดระวังและชั่วร้ายอยู่

สมกับเป็นมือสังหารชั้นยอดของจวนปฐพี ภาพจำแรกก็ทำให้ตนเข้าใจผิดไปได้

“หนิงอี้ เจ้าสุดยอดมาก”

บุรุษหนุ่มที่เดินออกมาจากหมอกเอ่ยขึ้น ทำให้หนิงอี้ขนหัวลุก

“ข้าอยู่มาห้าสิบปีแล้ว เพิ่งจะพลาดเป็นครั้งแรก”

หน้าตาเช่นนี้ อยู่มาห้าสิบปีแล้วหรือ

หนิงอี้มีสีหน้าซับซ้อน สบถอยู่ในใจ ฝึกมาห้าสิบปีเพิ่งจะขอบเขตที่หก นี่ใช้ชีวิตไปกับเต่าดำหมดแล้วรึ มิน่าถึงไม่เคยพลาด หนิงอี้เชื่อสนิทใจว่า พญายมน้อยคนนี้จับจ้องคนหนึ่งก็จับจ้องได้สิบปี เขาถือว่าเป็นวัตถุกึ่งโบราณที่ได้เห็นความเจริญของเมืองหลวงแล้วก็ยังซ่อนตัวห้าสิบปี แต่กลับวิ่งออกมาจะแย่งชิงมหาโลกกับตน เล่นลอบสังหารกับตนหรือ

มิน่าถึงไม่กล้าลงมือกับคุณชายคราม

เป็นพวกกินอ่อนไม่กินแข็งในอุดมคติเลย ถ้าจะลอบสังหารคุณชายครามจริงๆ ใช้กลอุบายพวกนี้ ‘พญายมแก่’ อายุห้าสิบปีคนนี้ คงจะถูกคุณชายครามทุบตีตายทั้งเป็น

“ครั้งนี้ข้าเผยหน้าแล้ว ไม่ว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร ‘พญายมน้อย’ จะหายไปจากโลกนี้” เขาพูดนิ่งๆ “ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ และไม่อยากฆ่าเจ้าแล้ว”

หนิงอี้หรี่ตาลง

“ข้าแค่อยากถามคำถามเดียว” พญายมน้อยเพ่งมองดวงตาของหนิงอี้พลางพูดอย่างจริงจัง “เรื่องนั้นที่จวนเขาคราม…เกี่ยวกับเจ้าหรือไม่”

หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น

เขาก็ได้ยินเรื่องนั้นที่จวนเขาคราม โลกข้างนอกลือกันให้ทั่ว เป้าหมายต้องสงสัยก็คือตน อีกคนก็คือพญายมน้อยคนนี้ น่าเสียดายวันนี้พบหน้ากัน สองคนนี้ต่างเป็นคนที่แต่งเป็นหมูกินเสือ

หนิงอี้ปรับน้ำเสียงให้เรียบนิ่ง “เกี่ยวกับข้าหรือไม่ มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า”

พญายมน้อยไม่โกรธ

เขารู้ว่าตนพูดเรื่องนี้ จะต้องทำให้หนิงอี้สนใจแน่

เขาเอ่ยเนิบนาบ “ข้าจับตามองคุณชายครามมาหนึ่งปีแล้ว แม้จะแทรกซึมเข้าจวนเขาครามไม่ได้ แต่ก็พบเรื่องใหญ่”

หนิงอี้ยิ้มเยาะ “อย่างเจ้านี่เรียกอะไรดี พอเกิดเรื่องก็ย้ายข้าง ทำงานให้องค์ชายสาม ตอนนี้จะร่วมมือกับข้ารึ”

“ผู้รู้จักปรับตัวอย่างชาญฉลาดเรียกว่าวีรบุรุษ ฆ่าเจ้าไม่ได้ องค์ชายสามจะไล่ล่าข้า สังหารข้าง่ายกว่าสังหารเจ้าเยอะ” พญายมน้อยพูดด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “เดิมทีข้าเดินในเงามืด ข้างหลังไม่มีอาจารย์หรือสำนัก ตายก็ตาย ไม่มีใครสนใจชีวิตคนชั่วช้าอย่างข้า”

“จากนี้ข้าจะไม่ใช่พญายมน้อยแล้ว…”

เขาเอาสองมือไพล่หลัง กลั้นแสงดาราในตัว พูดนิ่งๆ “ก่อนออกจากเมืองหลวง ข้าจะทำเรื่องหนึ่ง แต่ทำคนเดียวไม่ได้”

หนิงอี้เอ่ยราบเรียบ “พูดมา”

“วิชาของคุณชายครามต้องใช้แสงดาราจำนวนมาก หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าน่าจะต้องการทรัพยากรจำนวนมากกระมัง” พญายมน้อยพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าต้องการทรัพยากรทะลวงพลัง ข้าขาดอีกนิดเดียวก็จะทะลวงขอบเขตหลัง

ใต้จวนเขาครามมีชีพจรดินสายหนึ่ง เหมือนจะเชื่อมต่อกับแดนต้องห้ามของจวนขานฟ้า หากข้าเดาไม่ผิด…นั่นคือสุสานที่สืบต่อกันมาทุกยุคของจวนขานฟ้า”

พญายมน้อยหรี่ตาลง “ข้าพาเจ้าแอบเข้าไปได้ ทรัพยากรทั้งหมดแบ่งกับข้าคนละครึ่ง ว่าอย่างไร”

หนิงอี้เพ่งสายตาเล็กน้อย

เขาครุ่นคิดถึงเรื่องนี้เล็กน้อย ต่อมาร่างเงาพญายมน้อยตรงหน้าก็ระเบิดกระจาย

หมอกดำเต็มฟ้า

หนิงอี้รีบถอย ไม่ทันไปหาที่ปลอดภัยก็มีอำนาจคุกคามแก่กล้าเปิดหมอกดำออก ศีรษะคนพุ่งเข้ามา!

พญายมน้อยที่เอาสองมือไพล่หลัง ขยับสิบนิ้วมือไม่หยุดและรวมแสงดาราทั้งหมดไว้ในแขนเสื้อพลันมาปรากฏเหนือศีรษะหนิงอี้

ในมือเขาปรากฏบรรทัดใหญ่หนักสีดำมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ บรรทัดใหญ่หนักนี้ไม่ใช่ของธรรมดา ยันต์นับไม่ถ้วนโดดออกมา ลวดลายสายฟ้าสีฟ้าสดขยับวูบไหว มีเสียงพายุสายฟ้าโหมพัดผ่าน

พญายมน้อยพูดมามากขนาดนั้นก็เพื่อให้ตนลดความระวังลง

เข้าใกล้ตนมากพอ

เพื่อทำการสังหารครั้งสุดท้ายให้เสร็จสิ้น!

หนิงอี้หายใจติดขัด

ร่างเงาบนศีรษะเปิดหมอกดำ ฟาดบรรทัดลงมา!

ไม่มีทางให้ถอย ไม่มีที่ให้หลบ!

พินิจเหมันต์สั่นไหว หนิงอี้คว้าด้ามกระบี่ กระบี่นั้นที่คุมเชิงบนถนนนิมิตชาดกับภาพฝาผนังนั้นที่หลังเขาสู่ซานประกบกันช้าๆ ในความคิด…กระบี่ที่สงบนิ่งถึงที่สุด กระบี่ที่บ้าคลั่งที่สุด สองสิ่งซ้อนทับกัน

เจตจำนงกระบี่ที่ขาดอีกนิดเดียว ตอนนี้ สมบูรณ์แล้ว

สวีจั้งเคยบอกว่า

คนถือกระบี่นับพันนับหมื่นใต้ฟ้า นักกระบี่จะเลือกหนึ่งในหมื่น

หากไม่มีเจตจำนงกระบี่ก็ไม่ถือว่าเป็นนักกระบี่

เจตจำนงกระบี่ไม่เกี่ยวกับขอบเขตการบำเพ็ญแสงดารา

และไม่เกี่ยวกับระดับการฝึกกายและจิต

หากตระหนักได้ก็จะตระหนักออกมาเป็นเจตจำนงกระบี่ เว้นแต่จะบรรลุขอบเขตแสงดาราช่วงหลัง ไม่อย่างนั้นภายใต้หนึ่งกระบี่ ทุกอย่างจะแหลกลาญ

นักกระบี่สู้ผู้บำเพ็ญขอบเขตหลังได้

แต่การกำเนิดนักกระบี่คนหนึ่ง ยากกว่าขอบเขตหลังมาก

นี่คือการยอมรับในคุณสมบัติ และเป็นการเปิดเส้นทางใหม่

เจตจำนงกระบี่สายหนึ่งกำเนิดขึ้นตรงระหว่างคิ้วหนิงอี้ ผ่านพินิจเหมันต์ ฟันออกไปกลางอากาศ…

ปะทะกับบรรทัดหนักนั้นอย่างแรง!

…………………………