ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 42 จวนปฐพี...พญายมน้อย! (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 42 จวนปฐพี…พญายมน้อย! (rewrite)

ภายในจวนเจ้าลัทธิ

เด็กสาววางม้วนกระบี่ซ่อนลงบนโต๊ะ เอานิ้วมือบีบปราณกระบี่วาดบนโต๊ะ กำลังวาดภาพปราณกระบี่ลักษณะยิ่งใหญ่ภาพหนึ่ง ไม้ต้นสาลี่ครามถูกปราณกระบี่ฟันขาด เด็กสาวใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการวาดภาพที่ลอยในความคิดนั้น

ไม้เก่าแก่ยักษ์ขดบนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ เมืองมากมายรุกล้ำก้มหัว สิ่งมีชีวิตทั้งอาณาจักรล้วนเงยหน้ามองไปทางไม้เก่าแก่…

นี่เป็นมรดกในกระบี่ซ่อนที่บิดาให้ไว้ และได้รับขนานนามว่าเป็นภาพความคิดที่ดีที่สุดในการหล่อหลอมจิตใจ

หลังจากหลังภูเขา กระบี่ซ่อนของเด็กสาวก็เริ่มปลุกตื่นอย่างแท้จริง พลังบำเพ็ญนางทะลวงมานานก็ยังหยุดอยู่ที่ธรณีประตูนั้น แต่เทียบกับพลังบำเพ็ญบรรลุขอบเขตหลังแล้ว สิ่งสำคัญกว่าที่ทำให้คนตื่นเต้นคือ การตระหนักรู้และกำเนิดเจตจำนงกระบี่

ท่านเผยหมินเป็นนักกระบี่ที่แกร่งที่สุดในยุคก่อน ไม่มีใครเทียบ

เป็นศิษย์ของเผยหมิน หากสวีจั้งรอดชีวิตไปได้นานกว่านี้ ก็จะก้าวสู่นักกระบี่ที่แกร่งที่สุดเช่นกัน

นักกระบี่เป็นเส้นทางโดดเดี่ยว เป็นทางตันที่ไม่มีทางเลือกหันกลับ เป็นเส้นทางแคบเล็กบนเส้นทางบำเพ็ญ…แต่สำหรับกำลังรบ กลับเป็นเส้นทางใหญ่ถูกต้องที่เปล่งแสงทองสว่างไสวที่สุดในโลกนี้!

ผู้บำเพ็ญแสงดารา ขอบเขตแรกคือเริ่มต้น ยิ่งฝึกฝนพลังบำเพ็ญสูงเท่าไร ศักยภาพก็ยิ่งแกร่งมากเท่านั้น อายุขัยก็ยิ่งยืนยาว ดังนั้นการฝึกฝนแสงดารา เมื่อถึงขอบเขตหลังจะยืดอายุขัยได้ หากตายไปอย่างธรรมชาติ ผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สิบ ถึงขั้นอยู่ไปได้ถึงเกือบสองร้อยปี

แต่ผู้บำเพ็ญกระบี่ นักกระบี่ไม่ใช่เช่นนี้

นักกระบี่มีจำนวนน้อยมาก

หากตระหนักเจตจำนงกระบี่ก็จะสู้กับแสงดาราขอบเขตหลังได้

สำหรับนักกระบี่ ขอบเขตหลัง…ต่างหากคือการเริ่มต้น!

แม้ฟ้าฝนจะปกคลุมวงกว้าง แต่หากพืชไร้รากก็ไม่อาจเติบโต

กำลังรบของนักกระบี่น่ากลัวอย่างยิ่ง แต่มีน้อยมากที่ไม่ฝึกแสงดาราก็ตระหนักเจตจำนงกระบี่ได้ แสงดารากับปราณกระบี่ เป็นการเชื่อมโยงที่เกื้อกูลกัน ยิ่งมีพรสวรรค์น่าตกใจอย่างเด็กสาว สืบทอดมรดกของบิดาปราชญ์กระบี่ ก็ต้องก้าวข้ามขอบเขตหลังก่อนถึงจะตระหนักเจตจำนงวิถีกระบี่ได้

สำหรับนักกระบี่ ประสิทธิภาพในการสังหารต้องดูที่ระดับของกระบี่รวมถึงขอบเขตวิถีกระบี่ของเจ้าของ

ศาสตร์การบำเพ็ญวิถีกระบี่เป็นศาสตร์ที่หายากที่สุดในใต้ฟ้าต้าสุย แต่มักจะไม่มีใครสนใจ เพราะธรณีประตูของการฝึกกระบี่สูงเกินไป ต่อให้ได้ศาสตร์วิชา ไม่ตระหนักเจตจำนงกระบี่ก็เท่ากับเฝ้าภูเขาล้ำค่าเปล่า

หลังจากตระหนักเจตจำนงกระบี่ถึงจะฝึกศาสตร์ปราณกระบี่ได้ คุณชายเจ้าหรุยที่นั่งละสังขารบนเขาน้ำค้างเล็ก ตอนนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังในแดนอุดรใต้ฟ้าต้าสุย หลอมพินิจเหมันต์ให้ประจำเขาสู่ซาน ‘บุตรหินผาบูรพา’ สามคำนี้ คือฉายานักกระบี่ที่แกร่งที่สุดในยุคนั้น

ศาสตร์การบำเพ็ญของคุณชายเจ้าหรุยเหมือนกับศาสตร์ของบิดาตน

ศาสตร์ปราณกระบี่วิชานี้ เรียกว่าคัมภีร์กระบี่

เด็กสาวคีบนิ้วชี้กับนิ้วกลาง ปลายนิ้วแกะสลักบนไม้ครามช้าๆ กลิ่นอายของคัมภีร์กระบี่ไหลเวียนช้าๆ เงื่อนไขการฝึกพื้นฐานของวิชานี้ยากมาก สวีจั้งเคยชี้แนะไว้นานแล้ว ตอนอยู่เมืองสันติ เผยฝานกับหนิงอี้ถูกบังคับให้ท่องจำจนขึ้นใจ น่าเสียดายที่ตอนนั้นคุณสมบัติยังไม่เปิด ห่างไกลจะก้าวสู่พื้นฐาน ไม่รู้จะก้าวข้ามไปได้เมื่อไร

ขั้นแรกของคัมภีร์กระบี่เท่ากับขั้นแรกของขอบเขตหลัง คือแสงดาราขอบเขตที่เจ็ด

จากนั้นจะซ้อนทับกันไปเรื่อยๆ

ปราณกระบี่ซ้อนทับกันหนึ่งขั้น แสงดาราซ้อนทับกันหนึ่งขั้น แต่หากเทียบกัน ปราณกระบี่มีอานุภาพสังหารแข็งแกร่ง จะเหนือกว่าแสงดาราในขอบเขตเดียวกัน

การตระหนักขอบเขตวิถีกระบี่ต้องอาศัยพรสวรรค์และทักษะความเข้าใจ ภาพแนวคิดนี้สามารถเพิ่มระดับความกว้างของทะเลวิญญาณผู้บำเพ็ญ หากทะเลวิญญาณไม่พอ การสำแดงขอบเขตเจตจำนงกระบี่จะถูกจำกัดอย่างมาก

การแกะสลักภาพความคิดไม้เก่าแก่ยิ่งใหญ่เกินไป

เผยฝานสงสัย ด้วยขอบเขตพลังของบิดาตน จะวาดภาพความคิดสมบูรณ์ได้หรือไม่

ต่อให้ตนจะครุ่นคิดไปที่ปราณกระบี่อย่างไร สิ่งที่แกะสลักออกมาได้ก็เป็นเพียงใบไม้ของไม้เก่าแก่มหึมานั่น

ช่วงนี้เด็กสาวใช้แรงใจอย่างมหาศาล แกะสลักภาพบนโต๊ะ ก็ได้เพียงใบไม้ใบเดียว

ใบไม้ง่ายๆ

วิเคราะห์ออกมา ลวดลายของใบเหมือนใยหลิว ต่อให้มีเพียงไม่กี่ลายเส้นที่วาดยาก ก็ยังรู้สึกได้ถึงท่วงทำนองเก่าแก่และกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

เผยฝานพ่นลมหายใจยาว

จิตใจนางพลันสั่นไหว

ค่ายกลที่นางมอบให้หนิงอี้ไว้ปกป้องตนเอง ตอนนี้ระเบิดออกห่างไปหลายลี้

เด็กสาวพลันสัมผัสได้ ตอนที่แกะสลักค่ายกลนี้ นางใส่จิตใจลงไปเป็นพิเศษ ขอแค่ค่ายกลกระบี่ซ่อนทำงานก็จะรู้ถึงตำแหน่งของค่ายกลได้

เผยฝานหน้ามืดลง นางหยัดกายขึ้น ผลักประตูใหญ่ ภายในลานบ้านว่างเปล่าจริงๆ

…….

ตรอกเล็กถนนใหญ่ กระแสผู้คนในเมืองหลวง

ตะเกียงถูกจุด สายลมยามราตรีพัดผ่าน

ปากตรอกฝนพรำ คนจากสองสำนักศึกษามาถึง

ผู้นำของจวนขานฟ้าคือคุณชายน้อยหนุ่มขอบเขตที่เจ็ด สำนักศึกษาอีกแห่งที่มาเป็นศิษย์หญิงของถ้ำกวางขาว มือถือตะเกียงใหญ่สีแดง เปลวเพลิงในผ้าโปร่งนั้นขยับวูบไหวช้าๆ กลางสายลมยามราตรี

หากสวีจั้งอยู่ที่นี่ก็จะจำศิษย์หญิงคนนี้ได้ คือคนนั้นที่คิดจะสกัดสินค้าขององค์ชายสามที่เขตรกร้างแดนประจิมและสู้กับชายชราซ่งฉยง

มีคุณชายน้อยสองสำนักศึกษาอยู่ กลุ่มคนพวกนั้นนอกตรอกฝนพรำกล้าหาญขึ้นเล็กน้อย เรื่องนี้สะเทือนไปถึงกรมผู้คุมกฎของเมืองหลวง คุณชายน้อยสองสำนักศึกษามาถึง สิ่งแรกที่ทำคือปิดทางเข้าตรอก

คุณชายน้อยแห่งจวนขานฟ้าฉินโซ่วมองเลือดเนื้อที่สาดกระจายเต็มสองข้างกำแพงด้วยความตกใจ

และยังมีค้อนหนักที่ถูกปราณกระบี่ระเบิดสองอัน อาวุธบริสุทธิ์ทนทานระดับใด เศษฝังในกำแพงหินในตรอก คนปกติไม่เข้าใจ แต่ผู้บำเพ็ญใช้ตาเนื้อก็มองออกว่ากระบี่นี้มีอานุภาพไม่เบา

คนที่ศิษย์สำนักศึกษากลัวมากที่สุดคือผู้ฝึกหลอมกายที่ชำนาญการต่อสู้ระยะประชิด ภายในตรอกเล็กแห่งนี้วางค่ายกลไว้เต็มไปหมด ฉินโซ่วถือตะเกียงยื่นเข้าไปเล็กน้อย ไม่นานก็ถอยออกมา ยิ่งเขาเข้าไปลึก ระดับการผนึกแสงดาราก็ยิ่งแรงมากเท่านั้น

หากเดาไม่ผิด เดินเข้าไปในตรอก ตนจะไม่มีแสงดาราใช้ ถึงตอนนั้นเจอกับมารคลั่งสังหารที่ทุบค้อนสังหารผู้ฝึกหลอมกายเลือดเนื้อสาดกระจายได้ หากสมบัติที่อาจารย์ตนมอบให้ต้านไม่อยู่ เช่นนั้นแม้แต่ตนก็คงต้องตายอยู่ที่นี่

ท่านหญิงคนนั้นจากถ้ำกวางขาวถือตะเกียง สีหน้าไม่ดีเช่นกัน นางเหมือนรู้สึกถึงกลิ่นอายคุ้นเคยลับๆ

ใครกำลังสู้กันในตรอกกัน

จะมีกลิ่นอายเย็นเยือกแผ่ออกมาตลอดเวลา…ทำให้นางหนาวสั่น

ฉินโซ่วมีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย นัยน์ตามีความเย้าหยอกเสี้ยวหนึ่ง เขานึกถึงคำกำชับของคนใหญ่คนโตบางท่านในสำนัก…เกี่ยวกับละคร ‘สุนัขกัดสุนัข’ ที่กำลังเกิดขึ้นในตรอกเล็กแห่งนี้ ฉินโซ่วรู้แก่ใจดี จึงรออยู่ที่นี่ เฝ้ารอให้สองคนต่างแตกพ่ายกันไป

ผู้คนส่งเสียงดังเกรียวกราว เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวขึ้นมา

“เมืองหลวง มีผู้บำเพ็ญสู้กันในเมือง”

“ท่านกงซุนแห่งกรมผู้คุมกฎยังไม่มาอีก”

สตรีสวมงอบคนหนึ่งเบียดมาอยู่รอบนอกตรอก เด็กสาวเผยฝานเปลี่ยนชุดที่ธรรมดามาก เพื่อหลบเลี่ยงสายตาจึงสวมงอบด้วย

นางหรี่ตาลง ความรู้สึกถึงค่ายกลนั้นหายไปแล้ว

ภายในตรอกเงียบ

ลูกธนูที่ยิงออกมาก่อนหน้านี้ ผ่านไปนานก็เงียบไป

“เป็นคนจวนปฐพี…ในตรอกมีคนจวนปฐพี!”

ท่านหญิงแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวพลันเอ่ยขึ้น

นางขมวดคิ้ว พลันนึกอะไรขึ้นได้ น้ำเสียงเย็นเยือกยิ่ง “คนที่บาดเจ็บก่อนหน้านี้ ลูกธนูนั้นที่ยิงโดนหัวไหล่มีกลิ่นอายของจวนปฐพี!”

“ในตรอกมีมือสังหารของจวนปฐพี กำลังล่าคนใหญ่คนโตที่มีฐานะสูงมากอยู่” ฉินโซ่วคาดเดาไปสุ่มสี่สุ่มห้า “ให้มือสังหารจวนปฐพีฝ่าฝืนคำสั่งเมืองหลวง วางค่ายกลไว้หลายชนิดได้ ต้องเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างแน่นอน”

ท่านหญิงถ้ำกวางขาวชูตะเกียงขึ้นสูง โคจรวิชาแสงดารา อยากจะส่องแสงตรอกเล็กมืดนั้น

แต่ก็ยังล้มเหลว

“ภายในตรอกวางค่ายกลไว้ ก่อนที่เขาจะออกมา อย่าบุ่มบ่ามเด็ดขาด” ฉินโซ่วยิ้มเยาะ “จวนปฐพีอวดดียิ่งนัก จับจ้องศิษย์พี่คุณชายครามไม่ว่า ยังกล้าพาลเกเรในเมืองหลวงอีก”

“จู่โจมพลาดก็จะหนีทันที” ท่านหญิงถ้ำกวางขาวขมวดคิ้วขึ้น “ต่อสู้ข้างในนานขนาดนี้ ไม่เหมือนรูปแบบการปฏิบัติการของจวนปฐพีเลย…ดูท่าอีกฝ่ายก็คงไม่ใช่คนธรรมดา ทำให้มือสังหารจวนปฐพีจะหนีก็หนีไม่ได้”

ระหว่างพูดอยู่นั้น ทั้งตรอกเล็กสั่นไหวเบาๆ

แสงสว่างที่แทบจะไม่อาจส่องเข้าไปในตรอกได้ก่อนหน้านี้ พลันส่องเข้าไปในตรอกอย่างง่ายดายหลังจากค่ายกลพังลงทั้งหมด แต่ส่วนลึกของตรอกเล็กกลับมีแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่กว่าพุ่งออกมา!

เกิดเสียงดังสนั่น

เด็กสาวหรี่ตาลง งอบถูกลมพัดปลิวขึ้น นางใช้มือข้างหนึ่งกดปลายงอบไว้ เศษหินนับไม่ถ้วนกระจายมาจากส่วนลึกของตรอกเล็ก กลุ่มคนถูกพัดจนล้มระเนระนาด กำแพงสองข้างถล่มลงพร้อมกัน

คุณชายน้อยสำนักศึกษาสองท่านหรี่ตาลง มองเด็กหนุ่มถือกระบี่ ใช้ตัวกระบี่ฟันก้อนหินขวางทางกลางตรอกเล็กถล่มลง เดินออกมาช้าๆ

หนิงอี้อาภรณ์ขาดทั้งตัว มีคราบเลือด เขาขมวดคิ้ว มือซ้ายถือพินิจเหมันต์ กำแพงหินสองข้างซ้ายขวาของตรอกถล่มลงใส่กัน เขาก้มตัว ใช้ตัวกระบี่ฟันใส่หินยักษ์ขวางทางบนพื้นออก

แล้วเดินออกมาช้าๆ เช่นนี้

จากนั้นเหยียดหลังตรง

เขามองกลุ่มคนที่กำลังงุนงง หลังยืดกาย เสียงถั่วระเบิดเปาะแปะดังขึ้นทั้งตัว เจตจำนงกระบี่น่าเกรงขาม เดือดพล่านไปในทุกส่วนของร่างกาย

หนิงอี้พ่นลมหายใจขุ่นยาวๆ พูดด้วยรอยยิ้ม “คึกคักขนาดนี้เชียว”

นอกตรอกเล็กเงียบ

ไม่มีใครคาดคิดว่าอีกคนในตรอกเล็กแห่งนี้ จะเป็นอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานผู้สันโดษที่หลังออกกระบี่ที่ถนนนิมิตชาดแล้วจะไม่ออกมาอีก

มีคนบอกว่าเขาบาดเจ็บไม่เบา

และยังมีคนบอกว่าเขาไปลอบโจมตีคุณชายครามที่จวนภูเขาคราม

ฉินโซ่วมองหนิงอี้ที่แทบจะไม่บาดเจ็บหนักเท่าไรด้วยใบหน้าดำมืด

เขารู้อยู่แล้วว่าในตรอกเล็กเกิดอะไรขึ้น

ราชันดาราอี๋อู๋เคยบอกตนว่า ตรอกฝนพรำจะเกิดการสู้กันอย่างดุเดือด ให้ตนนำคนไปดูฉากสนุก เดิมทีเขาคิดว่าสุดท้ายตรอกนี้จะกลับสู่ความเงียบ จากนั้นเป็นสองขุมอำนาจใหญ่ระหว่างเขาสู่ซานกับจวนปฐพีจะสู้กัน

แต่ไม่นึกเลยว่าหนิงอี้จะดูเหมือนแค่อาภรณ์ขาดเล็กน้อย กระทั่งไม่บาดเจ็บหนักอะไรขนาดนั้น

ฉินโซ่วสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ว่าต่อไปตนต้องทำอะไร

ตรอกเล็กเงียบไปชั่วขณะ

ตอนนี้เอง ในที่สุดท่านหญิงถ้ำกวางขาวก็เข้าใจว่าที่ตนรู้สึกคุ้นเคย หมายถึงอะไร…

ตอนนั้นในเขตรกร้างแดนประจิม นางเคยเห็นสวีจั้งออกกระบี่ เจตจำนงกระบี่ของกระบี่นั้นเหมือนกับเด็กหนุ่มตรงหน้าทุกประการ!

เหมือนไม่มีผิด!

ท่านหญิงถ้ำกวางขาวถามด้วยอาการเหม่อลอย “ที่เจ้าถือมาในมือนั่น…เป็นหัวใคร”

เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ถึงมีคนสังเกตเห็นว่ามือขวาหนิงอี้ถือหัวคนไว้

หนิงอี้ที่เดินออกจากตรอกเล็กแสยะปากยิ้ม

ลานบ้านตรงส่วนลึกของตรอกเล็กถล่มลงทั้งหมดภายใต้คลื่นพลังของกระบี่สุดท้าย ถูกจมลงในฝุ่นควันคละคลุ้ง

หัวคนนี้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่ตรงปลายกระบี่หนิงอี้เกี่ยวเชือกแดง เชือกแดงผูกป้ายคำสั่งไว้อันหนึ่ง

หัวคนตกลงพื้น

ป้ายคำสั่งที่แกะสลักหกคำตกลงพื้นตามไป

เสียงของหนิงอี้กึกก้องจนทุกแห่งหนเต็มไปด้วยสีแดงฉาน

“จวนปฐพี…พญายมน้อย!”

………………………….