บทที่ 105 – การกลายพันธุ์ของสถานที่

 

ดวงตาของมิวเปิดขึ้นช้าๆ เมื่อเธอสัมผัสถึงความมืดดังกล่าวได้เธอก็กระพริบปริบๆ ด้วยความงุนงงเล็กน้อย

“ฟื้นแล้วเหรอ เห็นเธอร้องซะทรมานก่อนหน้าก็ทำเอาตกใจจนหัวใจแทบหลุดออกจากอกแล้วเนี่ย”

“กรี๊ดดด”

อาจจะเพราะจู่ๆ เรนะก็พูดขึ้นในที่มืดๆ แบบนั้นเสียงของเธอที่ดังจากด้านหลังของมิวนั้นทำให้มิวตกใจพร้อมถอยหลบออกด้านข้าง

เรนะมองมิวด้วยสายตาขอไปที

“ตกใจอะไรขนาดนั้น”

“อะไรกัน คนหรอกเหรอ”

มิวลูบอกตัวเองพร้อมถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อย พอเห็นมิวสงบลงแล้วเรนะก็ถามขึ้น

“สรุปแล้วเธอเป็นอะไรไปเมื่อกี้ ไม่สบายตรงไหนอยู่หรือเปล่า”

แม้เรนะจะพูดออกไปด้วยโทนเสียงที่เหมือนกับไม่สนใจมิว แต่สิ่งที่เธอพูดออกมานั้นแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นห่วงมิว

อันที่จริงก่อนหน้านี้เธอใช้พลังรักษามิวเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่มิวก็ไม่ฟื้นขึ้นมาเลย ถ้าเรนะนับไม่ผิดพวกเธอติดอยู่ในนี้มาหลายวันแล้ว

แต่เรื่องเวลาเรนะก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ เพราะเวลาในที่นี่เหมือนจะไหลกลับไปกลับมาไม่หยุด เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ไหลไปข้างหน้า

ไม่เหมือนสเปซ ดังนั้นเหมือนโดนสถานะกลับตาลปัตรเลยทำให้มันเดินหน้าบ้าง ถอยหลังบ้างสลับกันไปมาจนเหมือนกับว่าเวลาไม่ไหลไปข้างหน้าหรือถอยหลัง

เพราะแบบนั้นเรนะไม่รู้สึกหิวหรือคอแห้งเลย กลับกันเธอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองพึ่งกินข้าวเช้ามาเมื่อกี้เลยมากกว่าด้วยซ้ำ

“อืม.. คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรนะ.. แต่ว่า.. เธอเป็นใครเหรอ แล้วฉันเป็นใคร ที่นี่คือที่ไหน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?”

“…..นี่เมื่อกี้เธอไม่ได้ฟังฉันเหรอ?”

เรนะถามออกไปแบบนั้น แต่ก็เหมือนนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายจู่ๆ ก็ปวดหัว เรนะจึงไม่ได้จะพูดอะไรต่อ แต่ทว่า

มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งเอียงหัวเข้าไปอีก เธอถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า..

“เมื่อกี้… เอ่อ ขอโทษนะ ที่ฉันจำได้มีแค่ตื่นขึ้นมาแล้วเธอก็หายใจรดต้นคอฉัน.. ฉันไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์สักเท่าไหร่ ช่วยอธิบายได้ไหม”

“ห้ะ.. เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อน..”

“อะไรเหรอ?”

“เธอจำไม่ได้เหรอ ที่ฉันบอกว่าตัวเองชื่อเรย์น่าส่วนเธอชื่อมิวน่ะ?”

“หืม.. งั้นเหรอ นั่นคือชื่อของฉันงั้นเหรอ มิว.. เป็นชื่อที่ประหลาดจริงๆ”

มิวตอบออกไปแบบนั้นพร้อมกับพยักหน้าเข้าใจ.. เพียงแต่คนที่สับสนกลับเป็นเรนะ.. ถ้าหากสิ่งที่มิวกำลังแสดงออกไม่ใช่การโกหก

นั่นหมายความว่า..เจ้าตัวเสียความทรงจำอีกรอบงั้นเหรอ.. นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน

เรนะไม่เข้าใจสถานการณ์ยิ่งกว่าเดิม แต่ทว่าในที่แห่งนี้ล้วนแล้วมีแต่เรื่องพิลึกพิลั่นเต็มไปหมด เรนะไม่สามารถหาคำอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้

เธอจึงจำใจอธิบายสถานการณ์ทุกอย่างให้มิวฟังอีกรอบหนึ่งว่า.. ตัวของมิวคือใคร และทำไมมาลงเอยที่แห่งนี้

และที่แห่งนี้อาจจะเป็นที่อะไรสักอย่างที่เรียกว่าหุบเหว.. แต่มิวก้ไม่ได้แสดงอาการอะไรกับคำว่าหุบเหวเหมือนรอบก่อน

เธอทำได้เพียงแต่พยักหน้าเข้าใจสิ่งที่เรนะบอกก็เท่านั้น..

“ฉันเข้าใจแล้ว.. งั้นมาหาทางออกกันเถอะ”

“คือว่านะ.. นี่เธอไม่ได้ฟังที่ฉันพูดหรือไงว่าทางออกถูกปิดไปแล้ว มันออกไปไม่ได้..”

เรนะชี้นิ้วไปที่ตรงพื้นซึ่งน่าจะเป็นหลุมที่พวกเธอตกลงมา แต่น่าเสียดายตอนนี้มันเหมือนจะไม่สามารถออกไปได้ ต่อให้เดินไปเหยียบหลุมสีดำนั่นก็ตาม

แน่นอนว่าเรนะเองก็ได้มองในมุมกลับกันว่า ทางออกอาจจะอยู่ด้านบนที่ไม่มีหลุมก็ได้ เธอบินขึ้นไปก็ออกไม่ได้อยู่ดี

“ไม่ว่าจะทางออกหรือทางไปต่อ.. ที่แห่งนี้มันไม่มีแล้ว สรุปก็คือเราถูกขั—”

“อ้ะ.. ประตูลับล่ะ”

ในระหว่างที่เรนะอธิบายสถานการณ์จนปัญญาอย่างสุขุม มิวก็ไปจับหินก้อนหนึ่งขยับซ้ายที ขวาที ก็มีหินขนาดใหญ่กลิ้งหลบออกด้านซ้าย

ด้านหลังหินมีทางเดินที่ค่อนข้างชื้นอยู่ด้านในนั้น ไฟที่ติดอยู่ตามผนังก็ถูกจุดติดเรียงกันเป็นแถวทอดยาวไปจนถึงประตูบานใหญ่ประมาณสามเมตร

บนประตูนั้นมีสัญลักษณ์ปริศนาที่เป็นต้นไม้ซึ่งไม่มีใบไม้ แต่กลับไม่ได้เหี่ยวแห้งลงแต่อย่างใด สีหน้าของเรนะถึงกับเปลี่ยนสี

ความทรงจำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเธอในฐานะเรย์น่าลอยกลับมาแทบจะทันที.. เดิมทีศาสนจักรนั้นไม่ได้มีแค่สาม.. แต่มีถึง 4 ศาสนจักร

ซึ่งล่มสลายไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน ศาสนจักรนี้มีชื่อว่า ‘อิกดราซิล’ และสัญลักษณ์บนประตูนั้นก็คือสัญลักษณ์ของศาสนจักรอิกดราซิล

“อย่าบอกนะว่า.. ที่นี่คือหนึ่งในโบราณสถานของศาสนจักรอิกดราซิล ทำไมมันถึงมาอยู่ใต้เมืองของพวกเราได้…”

“ไม่สิ ก่อนหน้านั้นเลย ไอ้กลไกหินซ่อนโบราณสถานเมื่อกี้มันไม่ได้มาจากพลังของอิกดราซิลหรือพลังใดๆ บนโลกนี้เลยนะ”

ไม่ใช่ว่าเรนะไม่ตรวจสอบว่ามีทางลับหรือเปล่า แต่เธอตรวจหมดแล้ว ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เสริมพลังให้เนตรดวงตาของเธอมองเห็นโลกที่เหนือสามัญกว่าที่เธอจะเข้าใจได้เอง

แต่ที่แห่งนี้ก็เป็นเหมือนกล่องสีดำสนิทที่อยู่ภายในหลุมสีดำบางอย่าง.. ไร้ทางออกดโดยสิ้นเชิง แต่ว่ามิวจับอะไรไม่รู้มันก็เปิดออกอย่างงงๆ

แต่เรนะสัมผัสได้ชัดเจนว่าทางเดินนั้นยังคงมีกลิ่นอายแบบภายในที่แห่งนี้อยู่.. นั่นก็คือคุณสมบัติที่ไม่ใช่พลังบนโลกนี้

เหมือนกับว่ามันกลายพันธุ์ให้กับพื้นที่ยังไงยังงั้น.. ซึ่งมันแปลกเกินไปสำหรับเรนะ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะเรย์น่าหรือชาติก่อนของเธอก็ตาม

“โบราณสถาน..? มันคืออะไรอ่ะ”

มิวถามด้วยความสงสัยพร้อมกับเดินไปด้านหน้าโดยไม่ระมัดระวัง แต่ว่าเรนะรีบคว้าเอาแขนของมิวดึงกลับมาทันที

ซึ่งเป็นจังหวะที่ลูกธนูพุ่งผ่านหน้ามิวไปอย่างฉิวเฉียด..

“ก่อนอื่นเลย.. เธออย่าเดินไปไหนมาไหนตามใจชอบ เข้าใจไหม?”

ไม่รู้ว่าเพราะสมองที่ไม่มีความทรงจำของมิวหรือเพราะอะไร นิสัยของมิวเลยค่อนข้างซนเป็นพิเศษ เธอจับหินซ้ายที ขวาทีจนประตูหินเปิดออกมาแบบงงๆ

พอคิดได้แบบนั้นเรนะไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คนที่แข็งแกร่งขนาดนั้นในความทรงจำของเธอ แต่ตอนนี้ดันทำตัวไม่ต่างจากเด็กเนี่ย

“เมื่อกี้มีอะไรพุ่งผ่านหน้าฉันไปด้วยล่ะ มีน้ำสีม่วงอยู่ปลายมันด้วย”

“พิษสินะ.. ว่าแต่เธอมองมันทันด้วยเหรอ แล้วทำไมไม่หลบ?”

“เอ้ะ ต้องหลบด้วยเหรอ?”

แน่นอนว่าต่อให้มิวจะเสียพลังไปครึ่งหนึ่งจนเหลือแต่พลังประเภทอัญเชิญอัตลักษณ์ และก็เสียความทรงจำไปอีกทำให้ไม่สามารถอัญเชิญได้แม้แต่อัตลักษณ์

แต่อย่างน้อยปฏิกิริยาตอบสนองหรือพละกำลังของมิวก็ยังเหนือกว่าคนธรรมดาหลายระดับอยู่ดี

ไม่แปลกที่เธอจะมองทันลูกธนู.. แต่ถ้าโดนยิงนี่ยังไงก็น่าจะเข้า เพราะมิวไม่มีอัตลักษณ์นิรันดร์

แถมที่แห่งนี้ยังได้รับผลกระทบบางอย่างจากหลุมสีดำนั่นอีกด้วย.. เรนะก็พอจะเดาได้ต่อให้มิวเสียความทรงจำไปเธอก็ยังมีพลังศักดิ์สิทธิ์

อันที่จริงตามความเข้าใจของเรนะ ก่อนหน้านี้ที่เจอกันครั้งแรกในรอบหลายปีมิวก็เสียความทรงจำไปรอบหนึ่งเหมือนกันนี่นะ ที่แปลกคือสำหรับเธอคือทำไมรอบนี้ที่มิวเสียความทรงจำแล้วมีท่าทางเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

“ระดับคงรุนแรงต่างกันละมั้ง..”

เรนะพึมพำกับตัวเองแบบนั้นพร้อมกับถอนหายใจ

“เอาเถอะ เอาเป็นว่าหลังจากนี้เธอหลบอยู่ด้านหลังฉันก็พอ อย่าเดินทะเล่อทะล่าแบบเมื่อกี้”

“ถึงจะไม่มั่นใจ.. แต่หินหรือเวลาหรือแม้แต่เรายังได้รับผลกระทบของหลุมสีดำไปแล้วด้วย ถึงจะไม่รู้หลักการแต่มันก็เหมือนกับการกลายพันธุ์ของทุกอย่างเลย”

“หินแข็งขึ้นจนไม่สามารถทำลายได้.. เวลาไหลกลับไปกลับมา.. ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงโบราณสถานที่ซึ่งเป็น ‘ห้องทดลอง’ ในอดีตต้องมีบางอย่างที่ได้รับผลกระทบจนเป็นอะไรที่น่ากลัวเกินจะจินตนาการได้แน่ๆ”