บทที่ 106 – สัตว์ประหลาดกลายพันธุ์

 

ในขณะที่เรนะพูดแบบนั้นมิวก็เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูที่อยู่ปลายสุดของทางเดินตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้..

“…..”

เรนะพูดไม่ออก พร้อมกับมองบนพื้นที่มีลูกธนูเกลื่อนบนพื้นอยู่ด้านข้างผนังทั้งสองเห็นชัดว่ามันยิงไม่โดนมิวสักดอกเลยจริงๆ

แล้วมิวก็ดันเคลื่อนที่ไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ อดไม่ได้ที่เรนะจะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ฉันพอจำได้แล้วว่าทำไมฉันถึงไม่ชอบเด็ก”

มิวพึมพำกับตัวเองพร้อมเดินไปดึงคอเสื้อมิว

“ฉันบอกว่าอย่าทะเล่อทะล่าไปไหนมาไหนคนเดียวใช่ไหมเมื่อกี้”

“ในนี้มีเสียงด้วย”

“เสียง?”

เรนะที่ได้ยินแบบนั้นก็เงี่ยหูฟังตามมิว พอทุกอย่างเงียบลงเธอก้เหมือนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านในจริงๆ

น่าจะเป็นเสียงเสียดสีของไม้หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ตามมาด้วยเสียงกระหึ่มที่แปลกประหลาด

อาจจะเพราะประตูหินนี้หนาเกินไปเสียงที่ได้ยินเลยดูไม่ชัดขนาดนั้น เรนะขมวดคิ้ว เธอค่อนข้างมั่นใจว่าหลังประตูนี้มี ‘ศัตรู’ อยู่แน่ๆ

โบราณสถานส่วนใหญ่ที่หลงเหลือมาจากอดีตนั้นจะเป็นห้องทดลองที่ถูกทิ้งร้างไว้เป็นเวลานานและถูกกลบฝังอยู่ใต้ดิน

เพื่อปกปิดและหลีกหนีจากความผิดพลาด เพราะในอดีตนั้นมีคนมากมายต่างต้องการค้นหาถึงวิถีที่อยู่เป็นนิรันดร์ได้

ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างห้องทดลองต่างๆ ขึ้นมา.. และเมื่อผ่านมาหลายร้อยปีและถูกค้นพบจะกลายเป็นซากโบราณสถาน

บ้างก็มีสมบัติผลงานวิจัย บ้างก็มีสัตว์ประหลาดสุดอันตราย.. เรียกได้ว่าเป็นกล่องแพนโดร่าที่ถ้าไม่เปิดจะไม่มีทางรู้ว่ามันจะให้อะไรกับเราเลยก็ว่าได้

แน่นอนว่าเรนะที่มีความทรงจำจากอดีตชาติ เธอมั่นใจว่าที่แห่งนี้อันตราย เป็นไปได้เธอไม่อยากจะเข้าไปแน่นอน

แต่ทว่านี่คือทางเดียวเท่านั้น… เรนะพึมพำกับตัวเองเล็กน้อย ตอนนี้เรนะแม้จะมีพลังศักดิ์สิทธิ์แต่เธอก็ไม่มั่นใจว่าจะจัดการกับสัตว์ประหลาดด้านในได้ไหม

ส่วนมิวก็ไม่สามารถช่วยสู้ได้อย่างแน่นอน เอาจริงเธอน่าจะเป็นภาระด้วยซ้ำ.. แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปต่อ

เพราะถ้าที่นี่เป็นโบราณสถานของศาสนจักรอิกดราซิลจริง ในโบราณสถานแห่งนี้มันต้องมี ‘ประตู’ อีกบานแน่ๆ

ประตูที่สามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้.. ผ่านอุโมงค์อิกดราซิล

ตามตำนานเล่าว่าอิกดราซิลคือต้นไม้ที่แตกหน่อหยั่งรากลึกไปทั่วทั้งโลก ต้นไม้ทุกต้นล้วนถูกเชื่อมโยงเข้ากับอิกดราซิล

และวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจของศาสนจักรอิกดราซิลก็คือการเคลื่อนที่ผ่านต้นไม้ คล้ายๆ กับการเทเลพอร์ตนั่นแหละ

เมื่อตัดสินใจได้ดังนี้ เรนะกำลังจะบอกมิวแต่ก็ต้องรีบดึงคอเสื้อมิวกลับมาด้านหลังทันที

“เธอจะทำอะไรไม่ทราบ”

“ก็เปิดประตูไง..”

มิวที่เมื่อกี้กำลังเปิดประตูแต่โดนเรนะห้ามไว้ทัน.. เพราะฟังจากเสียงในนั้นต้องมีอะไรบางอย่างกำลังสู้กันอยู่แน่ๆ

และถ้าหากเป็นแบบนั้นเรนะก็มั่นใจว่าด้านในนั้นได้รับผลกระทบจากหลุมสีดำเหมือนกัน และถ้าหากเป็นแบบนั้นการที่โบราณสถานควรจะไม่มีการเคลื่อนไหว

ก็ถูกกระตุ้นด้วยพลังหลุมสีดำและอาจจะทำให้สิ่งแปลกปลอมภายในนั้นกลายพันธุ์ไปด้วยจนเริ่มสู้กันเอง

“สิ่งที่พวกเราต้องทำไม่ใช่เข้าไปในตอนนี้ รอเสียงมันสงบลงก่อน”

เรนะพูด ใช่แล้ว เข้าไปตอนนี้มีหวังได้ต่อสู้กับพวกมันทั้งหมดแน่ๆ รอพวกมันตีกันตายกันไปข้างก่อนค่อยเข้าไปก็ได้ไม่เสียหาย

“..?”

มิวเอียงคออย่างงุนงง

“ช่างเถอะน่า เอาเป็นว่าทำตามที่ฉันพูดก็พอ”

เรนะพูดอย่างเหนื่อยใจที่คุยกับมิวแบบนี้ การเลี้ยงเด็กนี่มันลำบากแบบนี้นี่เองนะ เรนะถอนหายใจเบาๆ

หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เพราะพวกมันสู้กันมานานหลายเวลาแล้ว เลยทำให้มันเงียบลงหลังผ่านไปพักหนึ่ง

“ตอนนี้แหละ”

มิวและเรนะที่เตรียมตัวมาเพื่อจังหวะนี้ก็พูดขึ้นทั้งสองช่วยกันผลักประตูบานใหญ่ และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ในห้องด้านหน้ามีเพียงหุ่นที่ทำจากไม้ตัวหนึ่งยืนอยู่

แต่ไม้ไม่ใช่สีเหมือนไม้.. เพราะมันเป็นสีดำแปลกประหลาด เจ้าตัวดังกล่าวมันยืนอยู่ท่ามกลางซากศพร่างไม้หลายร้อยตัว

เรนะตาหดเกร็ง.. อย่างที่คิดพวกสัตว์ประหลาดไม้พวกนี้ได้รับผลกระทบจากหลุมสีดำประหลาดนั่นเหมือนกัน

มันหันมามองมิวและเรนะด้วยตาสีแดงก่ำของมัน.. เรนะไม่รีรอให้มันตอบสนองร่างของเธอแทบจะกลายเป็นสายลมหายวับไปอยู่ต่อหน้ามัน

มือของเธอหักกิ่งไม้มาจากซากศพเหล่านั้นพร้อมกับร่ายวิชาศักดิ์สิทธิ์ใส่ ดาบไม้ดังกล่าวกลายเป็นดาบสีทองอารามตา

ราวกับดาบศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน ลำแสงสีทองวาดผ่านใส่ร่างไม้สีดำดังกล่าวอย่างรวดเร็ว แต่มันกลับตอบสนองได้ทัน

อันที่จริงเพราะมันต่อสู้ในนี้มาตลอดหลายวัน เลยทำให้ประสาทสัมผัสของมันเฉียบคมขึ้นยิ่งกว่าเก่า สัญชาตญาณที่ไม่ควรมีในตัวมันก็ตื่นขึ้นมาด้วย

มันแตกหน่อลงบนพื้นแทบจะทันที เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่สามารถหลบคมดาบนี้ได้ ดาบนี้ตัดร่างของมันขาดออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย

ก่อนที่ดาบจะแตกสลายกลายาเป็นกิ่งไม้แห้ง สีหน้าเรนะซีดเผือดเพราะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์มากเกินไป แต่ทว่า..

ร่างของมันก็ซึมซับพลังงานจากผืนแผ่นดินและ…งอกร่างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ดวงตาของเรนะหดเกร็ง..เธอพยายามใช้แขนอีกข้างในการจับความว่างเปล่าให้เป็นรูปร่างดาบซึ่งใช้พลังศักดิ์สิทธิ์มากกว่าใช้ไม้หลายเท่านัก

พร้อมกับเหวี่ยงดาบกลับไป.. ทว่าไหล่ซ้ายของเธอปวดแปล๊บขึ้นมาทันที เพราะก่อนหน้านี้ไหล่เธอหลุดจากการดึงของมิว

แม้จะรักษาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่มันก็ไม่ได้รักษาสนิท.. หากเรนะจดจำเรื่องโครงสร้างร่างกายคนในอดีตชาติมามากกว่านี้เธอคงสามารถรักษาให้หายขาดได้อยู่หรอก..

ซึ่งแม้จะเป็นจังหวะสั้นๆ ที่ความเร็วเหวี่ยงดาบตกลง แต่มันก็เป็นโอกาสที่เจ้าร่างไม้ประหลาดสีดำนี่มุดร่างลงบนพื้นดินได้อย่างหวุดหวิด

มันพุ่งผ่านพื้นดินหลบหนีออกไป.. แต่เรนะก็สัมผัสทิศทางที่มันพุ่งผ่านดินได้แทบจะทันที เธอหันไปตะโกนใส่มิว

“มิว ระวัง!!”

แต่มิวในตอนนี้ไม่ได้มีอะไร เธอไม่ต่างจากเด็กและปฏิกิริยาตอบสนองเหนือกว่าเรนะนิดหน่อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงร่างกายที่ถูกปิดกั้นและลดทอนพลังหลายส่วน..

หากเป็นร่างไม้ธรรมดาคงไม่เป็นอันตรายต่อมิวมากนัก.. แต่หลังโดนเจ้าพลังงานมืดสีดำนี่กลายพันธุ์ละก็..

มิวที่ตามเรื่องยังไม่ทันก็ตกใจ พยายามถอยหลบตามคำพูดของเรนะ แต่ทว่ามันก็สายเกินแก้อยู่ดี

รากไม้สีดำรากหนึ่งพุ่งจากพื้นดินเข้าไปโจมตีที่หน้าอกของมิวโดยคิดจะสังหารมิวก่อน ยังดีที่มิวตอบสนองเร็วกว่าจึงหลบออกข้างได้

ทว่าสายก็คือสายเกินไป แขนขวาของมิวถูกรากไม้สีดำพุ่งใส่อย่างรวดเร็วและรุนแรง ตามมาด้วยเลือดสีแดงที่สาดกระจายออกจากแขนของมิว

และแน่นอนว่าร่างกายที่บอบบางของมังกรในตอนนี้นั้นถูกการโจมตีที่กลายพันธุ์จากพลังสีดำหรือพลังของหุบเหวนี้

มิวไม่สามารถต้านทานมันได้เลยแม้เพียงนิดเดียว แขนขวาของเธอหลุดลอยกระเด็นออก ตามด้วยสายเลือดที่พุ่งออกจากแขน

มิวสีหน้าเปลี่ยนสี ความเจ็บปวดพุ่งเข้าสู่โสตประสาทของเธอ.. มิวในตอนนี้เป็นแค่เด็กทารกที่รู้แค่ภาษาเท่านั้น

ไม่ว่าจะความเข้าใจหรือความนึกคิดของเธอก็ไม่ต่างจากเด็กทั่วไปมากนัก การที่เธอจะซน การที่เธอจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องมันไม่ใช่เรื่องแปลก

และการที่เมื่อแขนเธอขาดน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของมิวพร้อมเสียงกรีดร้องโหยหวนที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น

ต่อให้เป็นมังกรเองหากแขนขาดก็ใช่ว่าจะไม่เจ็บปวด… แทบอาการบาดเจ็บจากรากสีดำนี้มันเหมือนจะกัดกร่อนผิวหนังของมิวเหมือนพิษ

ดวงตาของเรนะหดเกร็งลง.. เส้นเลือดปูดขึ้นบนใบหน้า ความโกรธที่ไม่ทราบสาเหตุนั้นกระตุ้นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ค่อยจะเหลือเธอพุ่งสูงขึ้น

ราวกับมันตอบสนองต่ออารมณ์คุกรุ่น

มิวไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดหลังจากนั้นคืออะไร เพราะแสงสว่างจ้านั้นสาดส่องมายังดวงตาของเธอ แทบทำให้ตามิวบอด

เมื่อสัมผัสทุกอย่างกลับมา เรนะก็ยืนอยู่ข้างๆ มิวแล้วก็ใช้พลังรักษาแขนให้มิวพร้อมกับพูดซ้ำไปมาว่า

“ฉันขอโทษ…”