บทที่ 88 รายงานตัวเข้าเรียน

ในที่สุดเผยจี้ฉือก็ตัดสินใจจะไปเข้าเรียน คนในครอบครัวต่างก็มีความสุขมาก อาอินควานหาของในคลังสมบัติน้อยของตนเอง ก่อนจะหยิบหีบหนังสือที่ซื้อเอาไว้นานแล้วมามอบให้เผยจี้ฉือ

“พี่ใหญ่ สิ่งนี้ซื้อมาด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรงของข้า ท่านต้องตั้งใจเรียนนะเจ้าคะ” อาอินเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง

เผยจี้ฉืออุ้มหีบหนังสือเอาไว้ พร้อมกับพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “ข้าจะตั้งใจเรียนหนังสือแน่นอน”

อาชิงเองก็วิ่งดุกดิกไปหยิบของที่ตัวเองเตรียมเอาไว้ เป็นกล่องใส่พู่กันที่ทำจากไม้ไผ่ อาชิงกางนิ้วเล็ก ๆ ทั้งห้าออก พลางเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้เก่งอย่างพี่หญิงที่หาเงินได้ นี่เป็นของที่ข้าเรียนมาจากท่านปู่เติ้ง ทำมาหลายวันแล้วขอรับ”

เผยจี้ฉือมองดูรอยแผลที่ถูกเสี้ยนไม้ไผ่ทิ่มบนมือเล็ก ๆ ของเขา ก็เอ่ยด้วยความสงสาร “มิน่าเล่าช่วงนี้เจ้าถึงชอบหลบหน้าข้า ข้าก็คิดว่าเจ้าไปทำเรื่องอะไรไม่ดีไว้เสียอีก พี่ใหญ่ขอบใจเจ้ามากนะ”

อาชิงมุดหน้าลงกับมือเล็ก ๆ ด้วยความเขินอาย

ท่านป้าคิดไปคิดมา ก็โยนถุงเงินใบหนึ่งให้อย่างหน้าใหญ่ใจโต “ข้าเล่นชนะมา ยกให้เจ้าหมดเลย”

อาอินหยิบมาลองชั่งน้ำหนักดูเล็กน้อย ก่อนจะเบิกตากว้าง ตั้งแต่นั้นมานางก็สนใจเรื่องการเล่นไพ่นกกระจอกอย่างจริงจัง!

จี้จือฮวนไม่มีของขวัญอะไรให้ แค่นางดูแลครอบครัวนี้ให้ดี ดูแลเผยยวนให้ดี ให้ลูก ๆ ไม่ต้องกังวลใด ๆ นั่นก็ถือเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว

วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่มีแดดจัด จี้จือฮวนหยิบเทียบเชิญเข้าเรียนมา จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับเผยจี้ฉือ แล้วจึงไปเตรียมรถม้า

ท่านป้ายืนพิงอยู่ข้างประตูพลางแทะเมล็ดแตงโมไปด้วย เมื่อเห็นนางแต่งตัวเช่นนี้ก็ส่ายหน้าไปมา

อาชิงน้อยก็เลียนแบบตาม ส่ายหน้าให้นางเช่นกัน

“มีอะไรหรือ?”

อาชิงครุ่นคิดเล็กน้อย “ไม่ทราบขอรับ ข้าแค่เลียนแบบท่านป้า”

“…”

จี้จือฮวนมองไปทางท่านป้า ท่านป้าจึงเดินมาและพูดกับนาง “เจ้ายังเป็นสาวเป็นแส้ แต่งตัวบ้านนอกเช่นนี้ ไม่เท่ากับทำให้อาฉืออับอายคนอื่นหรอกหรือ”

ตอนที่จี้จือฮวนเป็นสายลับ นางถือเป็นดอกไม้ของทีมเลยก็ว่าได้ หลงใหลการแต่งตัวอย่างไม่อาจถอนตัวได้ แต่มาอยู่ที่นี่นานเพียงนี้แล้ว ก็ถือว่านางปล่อยเนื้อปล่อยตัวมากไปหน่อยจริง ๆ

อีกอย่างเหตุผลที่ว่า ‘ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง’ นางเองก็ทราบดี หากนางดูซอมซ่อเกินไป อาฉือไปอยู่ในสำนักศึกษาก็จะถูกคนรังแกและดูถูกได้ง่าย ๆ

“ข้าเคยตัวไปหน่อย ข้าจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้แหละ”

ก่อนหน้านี้ท่านป้าหยางเห็นว่าอาจารย์ใหญ่หลินเอาผ้ามามอบให้ตั้งมากมาย จึงได้ทำเสื้อผ้าให้นาง แต่นางตัดใจเอามาใส่ไม่ลง

ทว่าเพิ่งจะถอดเสื้อผ้าออก ท่านป้าก็ถือวิสาสะเข้ามา ก่อนจะเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดเจ้าถึงมีปานผีเสื้อด้วยเล่า”

จี้จือฮวนได้ยินดังนั้นก็มองไปทางด้านหลัง “ตรงไหนหรือ?”

“ตรงบั้นเอว” ท่านป้าทำท่าทางเล็กน้อย “ใหญ่เท่านี่ แต่มองดูแล้วไม่เหมือนปานเลย เหมือนรอยสักมากกว่า”

จี้จือฮวนไม่ได้สนใจ เจ้าของร่างเดิมถูกจวนจี้กั๋วกงมองว่าเป็นความอัปยศนางจึงถูกทอดทิ้ง บนกายจะมีรอยสักหรือปานก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว

“ข้าแต่งตัวให้เจ้าดีกว่า!” ท่านป้าดึงจี้จือฮวนมาที่หน้ากระจก จี้จือฮวนจึงล้มเลิกความคิดที่จะนำเครื่องสำอางออกมาจากช่องว่างมิติ รอยสีเขียวบนใบหน้าสามารถปกปิดได้ด้วยรองพื้นชนิดน้ำ แต่ไม่สามารถปกปิดรอยแผลยาวหนึ่งนิ้วที่ตกสะเก็ดได้

จะว่าไปแล้วขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด1จริง ๆ อาศัยแค่น้ำมันใส่ผมขวดเดียวกับยางขี้เลื่อยใส่ผม ท่านป้าก็สามารถมวยผมที่ประณีตและงดงามบนหัวของนางได้แล้ว บวกกับชุดที่ท่านป้าหยางทำเองกับมือ ตัวนางในเวลานี้ราวกับเกิดใหม่เลยก็ว่าได้

ท่านป้าจ้องมองรอยแผลของนางเล็กน้อย “ข้ารู้สึกว่ามันดีวันดีคืน รอเจ้าหายดีแล้ว ต้องสวยมากแน่ ๆ”

ท่านป้าทำท่าทางจริงจัง แต่ยังกลัวว่าจี้จือฮวนไม่เชื่อ จึงเชิดหน้าและเอ่ยขึ้นมา “ข้าไม่เคยชมใครส่งเดชมาก่อน เจ้าเป็นคนสวยแต่กำเนิดไม่ผิดแน่นอน”

เอ่ยจบท่านป้าก็เปิดประตู เด็กน้อยทั้งสามกำลังรออยู่ที่หน้าประตู ในลานบ้านท่านป้าหยางกับพวกเหล่าเติ้งต่างก็มาทำงานแล้ว

ท่านป้ากระดิกนิ้วให้ ก่อนจะลากจี้จือฮวนออกมา

คนในลานบ้านต่างก็มองด้วยความตกตะลึง

สตรีตรงหน้าแม้ใบหน้าจะยังมีรอยแผลเป็น แต่ด้วยผมสีดำเงางามและหนานุ่ม ลำคอยาวระหง รูปร่างเพรียวบาง มีเสน่ห์ตามธรรมชาติ แม้ว่าใบหน้านั้นจะยังเป็นใบหน้าเดิม แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางงดงามยิ่ง

“ว้าว ท่านแม่สวยจังเลย!” อาชิงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ก่อนจะเดินวนรอบตัวจี้จือฮวน

อาอินเองก็ใบหน้าแดงเรื่อ ดวงตาเป็นประกายและเอ่ยขึ้นมา “สวยมากเจ้าค่ะ”

เผยจี้ฉือกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับคำชมของน้องสาว

ท่านป้าหยางและเสี่ยวเจียนเห็นดังนั้น ก็คิดจะไปเอาผ้าเนื้อดีที่เหลือออกมาทำเสื้อผ้าให้จี้จือฮวนให้หมด ความจริงแล้วฝีมือท่านป้าหยางไม่เลวเลย แต่ว่ารสนิยมยังใช้ไม่ได้ ท่านป้าไม่วางใจ ผู้หญิงทั้งสามคนจึงไปจัดการผ้าด้วยกัน

จี้จือฮวนหยิบของขวัญที่เตรียมเอาไว้ ก่อนจะพาเผยจี้ฉือขึ้นไปบนรถม้า

ตอนที่วิ่งผ่านทางเข้าหมู่บ้าน ก็เห็นเฉินเย่าจงกำลังเดินอยู่บนคันนา ตั้งแต่เหตุการณ์ที่หลอกลวงคนในครั้งก่อน จี้จือฮวนก็ไม่ได้เห็นเฉินเย่าจงออกมาข้างนอกสักระยะแล้ว

ขณะเดียวกันเฉินเย่าจงเองก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองดูจี้จือฮวนสองคนแม่ลูกนั่งรถม้าเข้าไปในตำบล

ประกายความเคียดแค้นอันรุนแรงพาดผ่านดวงตาของเขา ก่อนจะเดินต่อไป

เฉินเย่าจงไม่ใช่ไม่ออกจากบ้านเลย แต่เขาแค่หลบชาวบ้านในหมู่บ้านก็เท่านั้น อันที่จริงเขาไปถามสำนักศึกษาอื่นโดยการแนะนำจากคนอื่น และลองใช้เส้นสายแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีสำนักศึกษาใดรับเขาเข้าเรียน

นี่ก็ต้องโทษที่เมื่อก่อนเขาหยิ่งจองหองเกินไป เพราะเขาเคยประกาศกร้าวว่านอกจากสำนักศึกษาชิงอวิ๋นแล้ว สำนักศึกษาอื่นล้วนไม่อยู่ในสายตาของเขาอีกแม้แต่ที่เดียว ทำให้จนถึงตอนนี้เมื่อคนเหล่านั้นเห็นชื่อของเขา ต่างก็พูดจาเยาะเย้ยและไม่ให้เขาเข้าเรียน

เฉินเย่าจงจำต้องหน้าด้านเข้าไปถามทุกสำนักศึกษา เขาเชื่อว่าต้องมีสำนักศึกษาที่สายตาเฉียบแหลมมองคนเก่งอย่างเขาออกแน่นอน

เขาไม่เชื่อหรอกว่าสวรรค์จะไม่ยุติธรรมเช่นนี้

เมื่อมาถึงตำบลฉาซู่ จี้จือฮวนก็ทิ้งจ้านอิ่งและรถม้าเอาไว้ที่ภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหล ก่อนจะพาเผยจี้ฉือเดินไปที่สำนักศึกษาชิงอวิ๋น

สภาพแวดล้อมของสำนักศึกษานั้นเงียบสงบ ห่างไกลจากตลาดที่วุ่นวายและตั้งอยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของตำบลฉาซู่ ร้านโดยรอบส่วนใหญ่เป็นโรงหมอ โรงน้ำชา และร้านหนังสือ เป็นสถานที่ที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการเรียน

จี้จือฮวนยื่นเทียบเชิญให้ คนรับใช้ที่หน้าประตูเมื่อเห็นแล้วก็รีบเอ่ยด้วยความนอบน้อมทันที “ที่แท้ก็ฮูหยินตระกูลเผยกับคุณชายน้อยนี่เอง ท่านอาจารย์ได้แจ้งเอาไว้แล้วขอรับ เชิญตามข้ามาได้เลยขอรับ”

ทิวทัศน์ภายในสถานศึกษาก็ดีมากเช่นกัน ในส่วนลึกของป่าไผ่งดงามและมีเสน่ห์ เส้นทางคดเคี้ยวที่ปูด้วยหินถูกจัดเรียงเป็นรูปกระดานหมากล้อม ส่วนหอตำราก็เหมือนกับตกทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตัวเรือนมุงด้วยหญ้าคาและมีรั้วกั้นเป็นไม้ไผ่

แม้แต่คนรับใช้ที่เข้าออกก็ยังใส่ใจการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลอยู่ จี้จือฮวนจึงพอใจกับสภาพแวดล้อมของสำนักศึกษาแห่งนี้มาก มิน่าเล่าทุกคนล้วนบอกว่าที่นี่เป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุด

วันนี้อาจารย์หลินไม่อยู่ จึงเป็นอาจารย์อีกท่านที่มอบป้ายไม้แทนตัวศิษย์ของสำนักศึกษา และตำราให้เผยจี้ฉือด้วยตัวเอง

“สำนักศึกษาจะเปิดเรียนอย่างเป็นทางการในวันที่หนึ่งเดือนหน้า นี่คือเรือนพักของเผยจี้ฉือ แม่นางจี้สามารถพาลูกไปดูก่อนได้นะขอรับ” อาจารย์แซ่เหลียง เป็นคนสุภาพอ่อนโยนมาก

จี้จือฮวนและเผยจี้ฉือเอ่ยขอบคุณอาจารย์เหลียง ก่อนจะไปดูเรือนพักที่เป็นห้องนอนขนาดใหญ่พักกันได้ถึงสี่คน ถึงเวลาจะมีคนคอยมาดูแล โรงอาหารก็มีแม่ครัวทำอาหารให้ และไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน บอกตามตรงว่าข้อเสนอเช่นนี้ยากที่จะปฏิเสธจริง ๆ

หลังจากรับทราบรายละเอียดทุกอย่างแล้ว จี้จือฮวนสองคนแม่ลูกก็ได้เอ่ยลา อาจารย์เหลียงจึงไปส่งพวกเขาที่หน้าประตูด้วยตัวเอง แต่เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตู ก็ได้ยินคนของสำนักศึกษาข้าง ๆ ตะโกนไล่คนอยู่ เมื่อเงยหน้าไปมอง คนที่กำลังทะเลาะกับคนอื่นอยู่ หากไม่ใช่เฉินเย่าจงแล้วจะเป็นใครได้อีก?

[1] ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด เป็นคำเปรียบเปรย ถึงผู้ใหญ่จะอายุมากก็ยังสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ดีกว่า เนื่องจากสั่งสมประสบการณ์มานานนั่นเอง