ตอนที่ 74 ผู้คุ้มกัน
เงาดำเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วมาซบอยู่ที่แขนของเจียงซื่อ
เจียงซื่อยื่นมือไปลูบหัวสีเข้มนั้นอย่างเบามือเอ่ยว่า “เอ้อร์หนิว เจ้ามาได้อย่างไร”
เงาดำนั้นคือเอ้อร์หนิวที่นางไม่ได้เห็นหน้ามาสักพักแล้ว
เมื่อเห็นเอ้อร์หนิวเอาจมูกมาคลอเคลียอย่างคุ้นเคยเจียงซื่อก็หัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดี
นางคุ้นชินกับกลิ่นนี้มานานแล้ว หากเป็นสตรีนางอื่น มีเงาดำวิ่งพุ่งตรงเข้ามาหาตัวกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้คงตกใจขวัญเสียเป็นแน่
หงิง หงิง… เอ้อร์หนิวส่งเสียงออดอ้อน
“ตามข้ามา” เจียงซื่อลูบหัวเอ้อร์หนิวพลางเดินนำไปเพราะรู้ดีว่าไม่ควรอยู่ตรงนั้นนานๆ
นางเดินผ่านประตูเย่ว์ต้ง ภายในเรือนซื่อจื่อเงียบสงัด แสงจากโคมแดงห้อยระย้ายังคงติดไฟอยู่ ทำให้มีแสงสีส้มอ่อนๆ ส่องสว่างตลอดทั้งทางเดิน
ทั่วทั้งลานในเรือนซื่อจื่อถูกอาบด้วยแสงส้มอ่อน ช่างแตกต่างจากความน่าสยดสยองในสวนดอกไม้อย่างสิ้นเชิงราวกับว่าเป็นคนละโลกกัน
ทั้งคนและสุนัขก้าวเท้าฉับไวเข้าไปในเรือนฝั่งตะวันออก
ในเมื่อใช้ผงคร่าวิญญาณไปแล้ว เจียงซื่อก็ไม่กลัวว่าสาวรับใช้ทั้งสองและเจียงเชี่ยวจะตื่นขึ้นมา หลังจากเข้าไปในเรือนแล้วก็ตรงเข้าไปล้างมือก่อนอันดับแรก จากนั้นก็พาเอ้อร์หนิวเข้าไปในห้องฝั่งตะวันออกที่ไม่มีใครอยู่
ห้องฝั่งตะวันออกกว้างโปร่งโล่งสบายกว่าห้องฝั่งตะวันตกเล็กน้อย แต่การตกแต่งแทบจะไม่ต่างกัน
เจียงซื่อนั่งลงแต่ไม่ได้จุดไฟ สายตามองไปที่เอ้อร์หนิวโดยอาศัยแสงจากนอกหน้าต่าง
โฮ่งงง เอ้อร์หนิวเห่า
ดูเหมือนว่าเจ้าสุนัขตัวใหญ่จะเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี มันจึงค่อยๆ เบาเสียงลงเพื่อเอาใจนายหญิง
“เอ้อร์หนิว ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
เอ้อร์หนิวเดินเข้ามา และยกสองขาหน้าขึ้นจนอยู่ในท่ายืน
เจียงซื่อเหลือบมองไปที่คอของเอ้อร์หนิว จากปกติที่จะมีป้ายคล้องอยู่ ตอนนี้กลับมีถุงปักดิ้นขนาดเล็กเพิ่มเข้ามาด้วย
ต่อให้เอ้อร์หนิวจะฉลาดเพียงใดก็ไม่อาจเอาถุงปักดิ้นนี้มาห้อยคอเอง หรือจะให้พูดง่ายๆ ก็คือ ถุงปักดิ้นนี้คงเป็นของ…อวี้ชี
เจียงซื่อครุ่นคิดแต่มิได้ขยับตัว
โฮ่ง โฮ่ง เอ้อร์หนิวส่ายหางพลางขยับปากพยักพเยิดเป็นสัญญาณให้เจียงซื่อปลดถุงปักดิ้นนั้นออกจากคอ
เจียงซื่อชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงหยิบถุงนั้นมาพลางคิดตลกกับตัวเองในใจ คืนนี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง ข้าได้ถุงปักดิ้นมาสองถุงแล้ว ถุงแรกได้มาจากร่างศพเด็กสาว ส่วนอีกถุงได้มาจากเอ้อร์หนิว แต่ทั้งสองกรณีดูไม่ปกติเอาเสียเลย
ภายในถุงปักดิ้นนั้นมีกระดาษที่ถูกพับเป็นเหลี่ยม ด้านบนมีประโยคสั้นๆ เขียนไว้ว่า ‘ฉังซิงโหวซื่อจื่อไม่ใช่คนดี รีบหนีไปจากที่นี่’
และลงชื่อเอาไว้เพียงพยางค์เดียวว่า ‘จิ่น’
ไม่เกินความคาดหมาย ที่แท้นี่ก็เป็นถุงที่อวี้ชีให้เอ้อร์หนิวนำมามอบให้นาง
เดิมทีเจียงซื่อตัดสินใจว่าจะอยู่ให้ห่างจากอวี้จิ่น แต่จากข้อความในกระดาษแล้วทำให้นางเกิดความสงสัย
อวี้ชีรู้ได้อย่างไรว่าฉังซิงโหวซื่อจื่อไม่ใช่คนดี หรือว่าเขาบังเอิญไปเห็นตอนที่ฉังซิงโหวลักพาตัวหญิงสาว?
เมื่อคิดได้ดังนั้น เจียงซื่อก็รู้สึกอยากพบอวี้จิ่นขึ้นมาทันควัน
หากอวี้ชีมีหลักฐานชี้ว่าฉังซิงโหวซื่อจื่อทำเรื่องต่ำช้า การที่นางจะลากตัวฉังซิงโหวซื่อจื่อมาลงโทษตามกระบวนยุติธรรมก็คงง่ายขึ้นมาก
กลับจากจวนฉังซิงโหวเมื่อไหร่ก็ไปพบอวี้ชีหน่อยแล้วกัน
เจียงซื่อที่ตัดสินใจได้แล้วลูบขนนุ่มฟูของเอ้อร์หนิว “ถุงนี้ข้าจะเก็บไว้ เจ้าก็กลับไปได้แล้ว”
เอ้อร์หนิวสบตาเจียงซื่อและหย่อนก้นนั่งลง
เจียงซื่อฉงนก่อนจะหัวเราะขึ้น “วางใจเถอะ พอเจ้าของเจ้าเห็นว่าถุงนี้ไม่อยู่แล้วก็จะรู้ว่าถุงนี้มาถึงมือข้าแล้ว”
เอ้อร์หนิวนอนราบลงกับพื้น ส่ายหางไปมาอย่างเกียจคร้าน
“หรือว่าข้าต้องเขียนตอบด้วยงั้นหรือ” เจียงซื่อประหลาดใจ
ข้อความในจดหมายของอวี้ชีมีคำเตือนเพียงประโยคเดียว นางได้รับแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องตอบกลับ
หน้าเจ้าสุนัขเกยอยู่ที่พื้น สายตาของมันยังคงเฝ้ามองมาที่เจียงซื่อ
ถ้างั้นคงต้องเขียนตอบเสียหน่อย
เจียงซื่อมองเอ้อร์หนิว ในหัวพยายามคาดเดาความคิดของมัน
เอ้อร์หนิวรำคาญใจที่เจียงซื่อไม่เข้าใจเสียทีจึงส่ายหางไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ หน้าของมันเกยอยู่บนขาหน้าทั้งสองข้างพลางหลับตาลง
เจียงซื่อ “…”
“เอ้อร์หนิว หรือว่าเจ้าอยากอยู่ต่อ?”
เอ้อร์หนิวเห่าตอบ โฮ่ง โฮ่ง
“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ ประเดี๋ยวก็จะโดนจับได้” เจียงซื่อขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ พอนึกถึงอวี้ชีก็ยิ่งรู้สึกงุ่นง่าน
ต้องเป็นคำสั่งของตาบ้านั่นแน่ๆ!
เอ้อร์หนิวย่างเท้าเอื่อยเฉื่อยไปที่ริมหน้าต่างและกระโดดออกไป
ในขณะนั้นขาหน้าทั้งสองข้างของเจ้าสุนัขตัวโตเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่างด้านนอก หัวที่มีขนปุกปุยของมันโผล่ออกมา
ความหมายนั้นชัดเจนอยู่แล้ว มันตั้งใจปักหลักอยู่ใต้ขอบหน้าต่าง รอเจียงซื่อไปจากที่นี่เมื่อไหร่มันจึงจะยอมกลับไป
“เอ้อร์หนิว รีบกลับได้แล้ว” เจียงซื่อกล่าวขึ้นอย่างเหลืออด
เอ้อร์หนิวเหลือบมองมาที่เจียงซื่อแวบหนึ่ง และหดตัวกลับเข้าไปใต้พุ่มไม้ หัวของมันนอนเกยอยู่บนพื้นดิน พลางใช้สองขาหน้าปิดตาทั้งสองข้าง
ไม่ฟัง ไม่ฟัง!
เจียงซื่อ “…”
ถ้ากลับไปเมื่อไหร่นางจะไปคุยกับอวี้ชีให้รู้เรื่อง!
เจียงซื่อล้มเลิกที่จะโน้มน้าวให้เอ้อร์หนิวกลับไป นางปิดหน้าต่างให้เรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับไปยังห้องฝั่งตะวันตก
เจียงเชี่ยวยังคงหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง สรรพคุณของผงคร่าวิญญาณสามารถทำให้นางหลับใหลจนถึงรุ่งสาง
เจียงซื่อนั่งลงที่เก้าอี้ พลางหยิบถุงปักดิ้นที่ได้มาจากร่างศพของเด็กสาวออกมา
แม้ว่าวัสดุที่นำมาเย็บถุงนี้จะไม่ได้ดีเลิศ แต่ก็ไม่ถึงกับแย่นัก สตรีที่มีถุงปักดิ้นเช่นนี้ได้ต้องไม่ใช่คนที่เกิดในครอบครัวยากจน
เจียงซื่อเปิดดูด้านในพบว่ามีเครื่องรางขนาดเล็กอยู่อันหนึ่ง
เจียงซื่อหยิบเครื่องรางนั้นขึ้นมาพลิกดู
ด้านหน้าเครื่องรางเขียนว่า ‘มงคลคุ้มภัย’ ส่วนด้านหลังเขียนว่า ‘วัดหลิงอู้’
เจียงซื่อไม่เคยได้ชินชื่อวัดหลิงอู้มาก่อน
แต่เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน นางก็ยิ่งมีความหวังมากขึ้น
วัดขนาดเล็กและไม่มีชื่อเสียง ฉะนั้นคนที่จะเข้าไปขอเครื่องรางจากวัดนั้นก็คงจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ วัด หากเป็นเช่นนั้นขอบเขตของคนที่ต้องการตามหาก็ยิ่งแคบลง
เช่นเดียวกับเต้าหู้ไซซีซิ่วเหนียงจื่อที่ลูกสาวก็หายตัวไปทั้งคน นางจึงมิไม่อาจนิ่งนอนใจได้
จากบทสนทนาของบ่าวรับใช้หนุ่มทั้งคู่ทำให้พอทราบได้ว่า ตลอดระยะสองปีที่ผ่านมานี้มีสตรีถูกฝังอยู่ใต้แปลงดอกโบตั๋นไม่น้อยกว่าเจ็ดถึงแปดคน แต่เวลาที่ล่วงเลยไป ใบหน้าที่เคยมีเลือดฝาดคงจะกลายเป็นโครงกระดูกแห้งไปแล้ว การจะสืบหาตัวตนของพวกนางคงไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นทั้งลูกสาวของเต้าหู้ไซซีซิ่วเหนียงจื่อและเด็กสาวที่ถูกฆ่าตายในคืนนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะเปิดโปงฉังซิงโหวซื่อจื่อ
นางต้องรีบสืบหาตัวตนของเด็กสาวที่ตายคืนนี้ให้เร็วที่สุด และค่อยไปตามหาที่อยู่ของเต้าหู้ไซซีซิ่วเหนียงจื่อ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่จวนฉังซิงโหวอีกต่อไป เดิมทีนางยังไม่รู้ว่าจะนำตัวฉังซิงโหวซื่อจื่อมาลงโทษได้เมื่อไหร่ อีกทั้งยังกลัวว่าจะลากเจียงเชี่ยวที่ร้องจะกลับจวนมาเสี่ยงอันตรายด้วย แต่ตอนนี้ขอแค่ให้เวลานางสืบเรื่องครอบครัวของหญิงสาวทั้งสองอีกหน่อย นางคงจะได้กระชากหน้ากากของฉังซิงโหวออกในไม่ช้า และเมื่อถึงเวลานั้นนางก็ไม่ต้องกังวลว่าเจียงเชี่ยวจะตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไป
หลังจากวางแผนการทั้งหมดเรียบร้อย เจียงซื่อก็เปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ก่อนจะไปล้มตัวลงนอนข้างเจียงเชี่ยว และหลังจากนั้นไม่นานนางก็ผล็อยหลับไป
ดวงจันทร์ซ่อนตัวอยู่หลังกลุ่มเมฆ บริเวณหน้าประตูตรอกเชวี่ยจื่อมีเรือนหลังหนึ่งซึ่งมีต้นพุทรากิ่งคอหักขึ้นอยู่ อวี้จิ่นที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหินใต้ต้นไม้กลางลานบ้านถือแก้วสุราที่ทำจากหยกขาวด้วยท่าทีเหม่อลอย
เหตุใดจู่ๆ นางถึงไปที่จวนฉังซิงโหวนะ
และก็ไม่รู้ด้วยว่าหลังจากที่ได้ถุงปักดิ้นที่เอ้อร์หนิวนำไปให้แล้วจะยอมเชื่อฟังและกลับจวนไปแต่โดยดีหรือเปล่า…
ครั้นนึกถึงสายตาระแวดระวังและหมางเมินของนาง อวี้จิ่นก็ถึงกับถอนหายใจออกมา
นางคงไม่ยอมฟังง่ายๆ หรอก
ดีที่เขารู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาจึงสั่งให้เอ้อร์หนิวเฝ้าอยู่ที่นั่นด้วย
ในจุดนี้ เอ้อร์หนิวหน้าหนากว่าเขาเป็นเท่าตัว
ครั้นคิดขึ้นได้ดังนี้ อวี้จิ่นก็ผุดยิ้มมุมปาก