ตอนที่ 75 โหวฮูหยิน

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 75 โหวฮูหยิน

เจียงเชี่ยวตื่นขึ้นท่ามกลางเสียงอันไพเราะของเหล่าหมู่แมลง

นางเหยียดตัวขึ้นนั่งพลางขยี้ตาอย่างงัวเงีย แล้วจู่ๆ ท่าทีของนางก็พลันเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ

เมื่อคืนเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น แต่เหตุใดนางถึงหลับเป็นตายเช่นนี้

“น้องสี่…” เจียงเชี่ยวรีบหันไปมองด้านข้าง เมื่อพบว่าเจียงซื่อยังนอนหลับอยู่ข้างกายก็พลันโล่งอก ทบทวนเรื่องราวอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงยื่นมือไปปลุกเจียงซื่อ “น้องสี่ ตื่นได้แล้ว”

เจียงซื่อลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้าพลางชำเลืองไปมอง “พี่สาม?”

“ดูจากท้องฟ้าตอนนี้น่าจะสายมากแล้ว ลุกขึ้นเถิด”

เจียงซื่อยันตัวขึ้นพลางจัดอาภรณ์ให้เข้าที่ “กว่าข้าจะหลับก็ดึกมากแล้วถึงได้ตื่นเอาป่านนี้”

เมื่อฟังคำตอบของเจียงซื่อ เจียงเชี่ยวก็อึกอักขึ้นมาทันที “ข้าก็ไม่รู้ว่าเผลอหลับเป็นตายไปตั้งแต่เมื่อไหร่…”

“ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก หลังผ่านเหตุการณ์ชวนเสียขวัญ บางคนก็มิอาจข่มตาหลับได้ลง แต่กับบางคนอาจรู้สึกจิตใจอ่อนแรงก็สามารถหลับได้ลึกกว่าเดิม”

เป็นเช่นนั้นจริงหรือ

เจียงเชี่ยวรู้ดีว่าตนเองไม่ใช่พวกจิตใจสงบ ครั้นย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก็รู้สึกว่ายังมีเงามืดรุกล้ำกัดกินภายในใจของนางอยู่เลย “น้องสี่ พวกเราจะต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีกหรือ”

“ไม่เจ้าค่ะ พวกเราจะกลับจวนกันวันนี้”

“เมื่อคืนเจ้าไม่ได้บอกว่า…”

“เมื่อคืนก็ส่วนเมื่อคืน ตอนนี้ก็ส่วนตอนนี้” เจียงซื่อขยับเข้าไปใกล้เจียงเชี่ยว และกระซิบที่ข้างหูว่า “ข้าเจอวิธีที่จะจัดการกับเดรัจฉานตัวนั้นแล้ว ฉะนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ที่จวนโหวอีกต่อไปแล้ว”

ดวงตาของเจียงเชี่ยวเป็นประกาย นางอยากจะพูดบางอย่าง แต่หลังจากกวาดสายตาไปที่ประตูห้องแล้วก็กลืนถ้อยคำเหล่านั้นลงคอไป เจียงเชี่ยวคว้ามือเจียงซื่อมากุมไว้แน่น “เช่นนั้น ยามไปพบเจียงเชี่ยนก็ขอตัวลากลับเลยแล้วกัน!”

เจียงซื่อเริ่มสังเกตได้ว่าท่าทีของเจียงเชี่ยวที่มีต่อเจียงเชี่ยนค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย

แม้ว่าแรกเริ่มเดิมทีทั้งเจียงเชี่ยวและเจียงเชี่ยนจะไม่ได้สนิทสนมกันอยู่แล้ว แต่นางก็ไม่เคยเรียกแต่ชื่อด้วยท่าทีห่างเหินเช่นนี้

“เจ้าสบายใจได้ เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง ถ้านางกล้าขัดขวาง ข้าก็จะเล่นละครฉากใหญ่ให้ดู” เจียงเชี่ยวขยิบตาให้เจียงซื่อ

เจียงซื่อยิ้มตอบ “ดีเจ้าค่ะ”

ขณะที่สองพี่น้องกำลังกระซิบกระซาบ ม่านประตูปักลายดอกโบตั๋นก็ถูกยกขึ้น ชิงอีหนึ่งในสองสาวรับใช้ค้อมหลังเดินเข้ามาพร้อมกับอ่างล้างหน้าและผ้าขนหนู “ขอคุณหนูอย่าถือโทษที่บ่าวมาช้าเจ้าค่ะ”

สักพักเจียงซื่อก็เอ่ยแผ่วเบาขึ้นว่า “ไม่เป็นไร เข้ามาช่วยพวกข้าเปลี่ยนอาภรณ์เถอะ”

หลังจากเสร็จสิ้นกิจวัตรยามเช้า สาวรับใช้คนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “เชิญคุณหนูทั้งสองไปร่วมทานมื้อเช้ากับซื่อจื่อฮูหยินที่เรือนได้เลยเจ้าค่ะ”

เจียงซื่อและเจียงเชี่ยวหันมาสบตากันก่อนจะจูงมือกันเดินตามสาวรับใช้ไปที่เรือนของเจียงเชี่ยน

คุณหนูห้าเจียงลี่และคุณหนูหกเจียงเพ่ยมาถึงก่อนแล้ว

เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสองเดินเคียงไหล่กันมา เจียงเพ่ยจึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่ทั้งสองมาช้าเช่นนี้ ข้าเกือบไปตามแล้วเชียว”

หลังจากโดนเจียงซื่อสั่งสอนไปชุดใหญ่ เจียงเพ่ยก็มีความยับยั้งชั่งใจอย่างเห็นได้ชัด

เจียงเชี่ยวผุดยิ้ม “เรือนที่พี่รองจัดไว้ให้ช่างสบายเสียเหลือเกิน ข้าถึงนอนจนไม่อยากจะตื่น”

เจียงเพ่ยเบะปาก

พี่สามนี่ช่างหน้าหนาเสียจริง แก้ตัวเรื่องนอนตื่นสายได้หน้าระรื่น

เจียงเชี่ยนยิ้มบาง “น้องๆ พักอยู่อย่างสุขสบาย ข้าก็เบาใจ พวกเจ้าอุตส่าห์มาถึงที่นี่ คราวนี้ก็อยู่เป็นเพื่อนพี่ให้นานขึ้นหน่อยแล้วกัน”

“แน่นอน ช่วงนี้พี่รองก็ไม่ค่อยได้กลับไปที่จวน ที่พวกเรามาก็หวังช่วยคลายความเบื่อหน่ายของพี่รองเนี่ยแหละเจ้าค่ะ” เจียงเพ่ยฉอเลาะ

เจียงเชี่ยนไม่ได้ชายตามองเจียงเพ่ยเลยแม้แต่น้อย ทำทีประหนึ่งว่าหันหน้าไปมองเจียงซื่อ

ขณะที่เจียงเชี่ยวกำลังจะอ้าปากพูดก็ถูกเจียงซื่อกระทุ้งเบาๆ

เจียงเชี่ยวเม้มปากพลางหยุดความคิดที่จะพูดออกไปไว้ชั่วครู่

“พี่รอง วันนี้พวกเราควรไปทักทายโหวฮูหยินใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เมื่อได้ยินเจียงซื่อกล่าวดังนั้น เจียงเชี่ยวก็รีบเสริมทัพ “จริงสิ พวกเราเพิ่งมาถึงเมื่อวาน แต่หากวันนี้ยังไม่โผล่หน้าไปอีกเกรงว่าโหวฮูหยินคงจะว่าคุณหนูจวนปั๋วช่างไม่รู้กาลเทศะ”

เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อและเจียงเชี่ยวเอ่ยดังนั้น เจียงเชี่ยนก็หัวเราะพลางกล่าวว่า “ข้าก็รอพวกเจ้าไปพร้อมกันเนี่ยแหละ”

“ห้ะ? อย่างนี้พวกเรามาก็มาสายแล้วล่ะสิ” เจียงเชี่ยวขมวดคิ้ว

คุณหนูห้าเจียงลี่เหลือบมองเจียงเชี่ยนแวบหนึ่งด้วยสีหน้าไม่สบายใจ

“ไม่สายหรอก โหวฮูหยินเป็นคนสบายๆ ธรรมเนียมของจวนโหวคือรอให้แขกทานมื้อเช้าให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงค่อยเข้าไปทักทาย”

“ถ้าเช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” ท่าทีของเจียงเชี่ยวผ่อนคลายขึ้น

เจียงเชี่ยนกวาดตามองไปยังทั้งสี่คน ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “กินกันเถอะ”

ไม่นานบ่าวรับใช้ก็เดินเรียงแถวถือถาดอาหารเช้าเข้ามา

อาหารถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะ มีทั้งแป้งม้วนเส้นเงิน ข้าวต้มกุ้ง เสี่ยวหลงเปา ปลาสีเงินหมักและยำเห็ดหูหนู เป็นต้น แต่ละจานมีปริมาณพอเหมาะและถูกปรุงมาอย่างพิถีพิถัน

หลังจากมื้อเช้าอันเงียบสงบสิ้นสุดลง เจียงเชี่ยนก็พาเจียงซื่อและคนอื่นๆ ไปที่เรือนฉังซิงโหวฮูหยิน

ในตอนนั้นฉังซิงโหวฮูหยินก็เพิ่งรับประทานอาหารเช้าเสร็จได้ไม่นาน หลังจากบ่าวรับใช้เข้ามาแจ้งก็สั่งให้เชิญทั้งห้าคนเข้าไป

เจียงเชี่ยนกล่าวน้อมทักทาย “น้องๆ เพิ่งมาถึงเมื่อวานจึงไม่อยากมารบกวนท่านแม่ เช้านี้ลูกมาน้อมทักจึงได้พาน้องๆ มาด้วยเจ้าค่ะ”

น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยตอบ “ก็บอกแล้วว่าให้พวกเจ้าตามสบาย ไม่ต้องพิธีรีตองนักหรอก”

เจียงเพ่ยอดไม่ได้ที่จะเหลือบตาขึ้นไปมอง

ฉังซิงโหวฮูหยินเป็นถึงสาวงามในวัยเลขสี่ ซึ่งสตรีสูงศักดิ์ในวัยนี้มักจะปรนเปรอตัวเองจนเลยเถิด ทำให้ส่วนใหญ่มักจะมีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ แตกต่างจากฉังซิงโหวฮูหยินที่ยังคงมีใบหน้าเรียวยาวเฉกเช่นเม็ดแตง รูปร่างผอมเพรียวประดุจสตรีแรกรุ่น ทั้งยังมีกิริยาอ่อนหวานซึ่งให้ความรู้สึกถึงความอ่อนแอไร้ทางสู้เสียด้วยซ้ำ

เจียงเพ่ยลดสายตามองต่ำอย่างอิจฉา

ดูๆ ไปแล้วฉังซิงโหวฮูหยินก็ดูเป็นคนใจดี ได้แม่สามีดีเช่นนี้ ทั้งยังมีสามีอย่างฉังซิงโหวซื่อจื่อ พี่รองช่างโชคดีจริงๆ

ครั้นนึกถึงท่าทีไม่อินังขังขอบของเจียงเชี่ยน ความรู้สึกอิจฉาของเจียงเพ่ยจึงพลันเปลี่ยนเป็นความริษยา นางคิดในใจว่า หากนางเลือกเกิดใหม่ได้คงจะดี นางจะไปเกิดเป็นลูกของมารดาใหญ่ เป็นสตรีสูงศักดิ์แห่งจวนปั๋ว อีกทั้งบิดาก็เป็นถึงขุนนางระดับสี่ชั้นเอก เผลอๆ นางคงมีชีวิตแต่งงานที่ดีกว่าเจียงเชี่ยนเสียอีก

ภายนอกของฉังซิงโหวฮูหยินดูเป็นสตรีผู้มีจิตใจงดงาม นางกวาดสายตามองเจียงซื่อและคนอื่นๆ หัวเราะขึ้นพลางเอ่ยว่า “พวกเจ้าเป็นสาวงามประดุจบุปผาอย่างที่คิดไว้จริงๆ ใครเห็นเป็นอันต้องชื่นชม”

ถัดมาฉังซิงโหวฮูหยินได้ไล่ถามชื่อและอายุของหญิงสาวแต่ละคน และสายตาของนางก็ไปหยุดที่เจียงซื่อ “ข้าเคยได้ยินมานานแล้วว่าคุณหนูเจียงสี่นี้เป็นสาวงามที่ไม่เหมือนใคร แต่พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเองวันนี้ ข้าว่าถ้อยคำเยินยอเหล่านั้นที่อธิบายถึงความงามของคุณหนูสี่นั้นช่างเทียบไม่ได้เลย”

เจียงซื่อยิ้มกว้าง “โหวฮูหยินชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่ท่านพ่อท่านแม่มอบให้ มิได้ใช้ความสามารถส่วนตัวใดๆ ผู้น้อยจึงเห็นว่าไม่ควรเอาเรื่องนี้มาพูดโอ้อวดเจ้าค่ะ”

ฉังซิงโหวผงะไปชั่วขณะก่อนจะหัวเราะขึ้น “นึกไม่ถึงว่าคุณหนูเจียงสี่ที่ยังเยาว์วัยจะหลักแหลมได้ถึงเพียงนี้ ช่างถูกใจข้าจริงๆ”

เจียงเชี่ยนเลิกคิ้ว รีบหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงพลางเอ่ย “หากท่านแม่ไม่รังเกียจว่าน้องๆ จะรบกวนก็ให้น้องๆ อยู่สนทนาเป็นเพื่อนท่านอีกสักสองสามวันสิเจ้าคะ”

ฉังซิงโหวยิ้มแป้น “ดีเลย ไม่รู้ว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่สะดวกสบายดีหรือไม่”

“พี่รองเอ็นดูพวกเราอย่างมาก อีกทั้งฮูหยินยังใจดีเช่นนี้ ข้าคิดว่าอยู่ที่นี่สะดวกสบายเสียยิ่งกว่าที่จวนอีกเจ้าค่ะ” เจียงเพ่ยยิ้มอย่างเหนียมอาย

เจียงลี่ไม่นิยมเป็นที่สนใจ ในสถานการณ์เช่นนี้จึงปิดปากเงียบอย่างเชื่อฟัง

แต่แล้วทันใดนั้นเจียงเชี่ยวก็เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินโปรดปรานพวกเราเช่นนี้ ช่างเป็นเกียรติของพวกเรายิ่งนัก แต่เกรงว่าพวกเราไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อได้แล้วเจ้าค่ะ”

เมื่อประโยคนี้หลุดออกไป ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ

สายตาฉังซิงโหวฮูหยินที่ถูกสะกดไว้ที่เจียงซื่อหันขวับไปหาเจียงเชี่ยว พลางส่งสายตาติติง

เจียงเชี่ยวถลกแขนเสื้อขึ้นราวกับว่าไม่รับรู้ถึงสายตากดดันคู่นั้น