“ก็แค่หนวดเครายาว… เจ้าทำให้ข้าตกใจกลัวไปได้”

จิ่วจิ่วหยิบกระบวยไม้กลับเข้าไปในมือแล้วสูดดมกลิ่นสุราในไหที่อยู่ด้านข้างก่อนจะกล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ข้าคิดว่าหยินและหยางของข้าจะไม่ค่อยสมดุล เป็นบุรุษก็ไม่ใช่สตรีก็ไม่เชิง”

หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบาๆ พลางส่ายศีรษะ เขาชื่นชมตรรกะของอาจารย์อาจิ่วจิ่วมาตลอด

“อาจารย์อา หลังจากที่ข้าหลอมโอสถเม็ดนี้เสร็จแล้ว ข้าอาจต้องปิดด่านบำเพ็ญเพียรสักครึ่งปีถึงหนึ่งปีเพื่อฝึกฝนเพลิงสมาธิแท้ ข้าจึงเตรียมสุราเอาไว้สองสามไหที่เพียงพอสำหรับหนึ่งปีเอาไว้ให้ท่านอาจารย์อาล่วงหน้าแล้ว แต่ก็ไม่ดีนักหากท่านอาจารย์อาดื่มมากเกินไป ท่านควรดื่มพอประมาณ มันอยู่ที่เดิมบนหิ้งข้างไหสุราสมุนไพรนะขอรับ”

“ครึ่งปีหรือ”

จิ่วจิ่วหยิบไหสุรามาสองสามไหแล้วแทนที่ด้วยไหเปล่าก่อนจะเดินเอามือไพล่หลังและกล่าวเตือนเขาอย่างจริงจังว่า “แม้เพลิงสมาธิแท้จะสามารถฝึกฝนได้ที่ขอบเขตคืนกลับอนัตตาก็จริง แต่สิ่งที่จำเป็นในการเริ่มต้นก็คือ การเผาแก่นร่าง ลมปราณ และจิตวิญญาณของเจ้าเพื่อสร้างต้นกล้าไฟ! แต่อย่าวิตกจนเร่งรีบเกินไป! อย่าฝึกฝนคาถาเวทจนสูญเสียพลังปราณ และจบลงด้วยการสูญเสียแก่นร่าง และจิตวิญญาณของเจ้า! นั่นจะเลวร้ายอย่างยิ่ง!”

หลี่ฉางโซ่วพยักหน้ารับพลางแย้มยิ้มในขณะที่ยังคงพุ่งความสนใจไปที่การแยกสมุนไพรต่อไป

จากนั้น จิ่วจิ่วอดจะหาวอย่างเบื่อหน่ายออกมาไม่ได้แล้วพึมพำว่า “ข้ายังคงติดอยู่ที่ขอบเขตเดิมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาและก็มีปัญหากับการทะลวงผ่านขอบเขตพลังของข้าให้ก้าวหน้าขึ้นไป…แต่ในอดีต ข้าก็เคยประสบกับสถานการณ์เช่นนี้มาสองสามครั้งแล้ว และหลังจากที่ข้าติดอยู่สองสามปี ข้าก็ทะลวงผ่านมันไปได้ด้วยตัวเอง…หลังจากที่ฝ่าทะลวงไปได้ ก็ต้องปิดด่านบำเพ็ญเพียรไปอีกสองสามปี และอาจจะยาวนานต่อไปอีกหลายสิบปี ดังนั้นเราอาจจะไม่ได้พบกันอีกนาน”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์อาจิ่ว ท่านได้ฝึกฝนพระสูตรนิรกรรมหลักแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”

“ใช่” จิ่วจิ่วหยิบเก้าอี้ไม้ไผ่แล้วมานั่งที่ข้างโต๊ะก่อนจะฟุบศีรษะลงบนโต๊ะขณะที่กำลังเบื่อหน่ายอย่างหนักพร้อมกับกล่าวว่า “เมื่อเจ้าเป็นเซียนแล้ว เจ้าก็ฝึกฝนพระสูตรนิรกรรมได้ หากเจ้ามีความสามารถยอดเยี่ยม เจ้าก็สามารถฝึกฝนเมื่ออยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาได้เช่นกัน”

“ทว่าน่าเสียดาย… อ้อ ใช่แล้ว ข้าได้ยินศิษย์พี่ห้าบอกว่า อาจารย์ของเจ้าดูเหมือนจะเริ่มบรรลุสู่การรู้แจ้งในพระสูตรนิรกรรมแล้ว”

“ขอรับ เมื่อสองเดือนก่อน ท่านอาจารย์ได้รับพระสูตรที่ส่งมาจากเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลภายในสำนัก” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างเป็นกันเองว่า “ความจริงแล้ว ด้วยความคิดและมุมมองของท่านอาจารย์อาจิ่ว ข้าว่า ท่านเหมาะสมที่สุดในการฝึกฝนพระสูตรนิรกรรมแล้วขอรับ”

จิ่วจิ่วกะพริบตาแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวฉางโซ่ว เจ้าพูดเหมือนกับท่านอาจารย์ของข้าเลย”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบว่า “ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูได้ให้ม้วนตำราพระสูตรนิรกรรมเล่มหนึ่งกับศิษย์ คำเหล่านี้มาจากพระสูตรไม่ใช่หรือขอรับ”

“เป็นเช่นนั้นเอง” จิ่วจิ่วพึมพำแล้วนั่งเงียบๆ เฝ้ามองหลี่ฉางโซ่วแยกสมุนไพรไป จากนั้นก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว…

และไม่นานหลังจากนั้น

“เสี่ยวฉางโซ่ว…จริงๆ แล้ว เจ้าดูดีมากจริงๆ…ฮิฮิฮิ…เหตุใดข้าถึงไม่เห็นมาก่อนหน้านี้นะ”

“หือ?”

หลี่ฉางโซ่วซึ่งกำลังเตรียมการหลอมโอสถพลันหันศีรษะไปมอง พบว่าอาจารย์อาจิ่วของเขาผล็อยหลับไปบนโต๊ะและกำลังละเมออยู่

หลังจากการบรรลุเป็นเซียนแล้ว ร่างเซียนของนางก็ยังคงบริสุทธิ์ แม้ว่าอาจารย์อาของเขาจะไม่ได้คอยดูแลจัดเส้นผมยาวปานกลางของนางให้เรียบร้อยตลอดทั้งปี แต่มันก็ยังเป็นสีดำเรียบและเป็นมันเงา

นางถักเปียหางหงส์แบบเรียบง่าย โดยไม่มีเครื่องประดับศีรษะใดๆ และไม่ใช้เครื่องประทินโฉมใดๆ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางเรียบง่ายและบริสุทธิ์ยิ่งนัก

อาจารย์อาจิ่วที่หลับใหลอยู่นี้เรียกได้ว่า นางเป็นผู้มี ‘ผิวงามราวหยกมันแพะและมีจิตใจใสสะอาดนัก’

น่าเสียดายที่เวลาตื่น นางจะคึกคักเริงร่ามากไปสักหน่อย

หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะพลางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปนอกหอโอสถเงียบๆ เพื่อไปดูปลาวิญญาณตัวน้อยที่เขาเลี้ยงเอาไว้ในสระที่มีรูปร่างเหมือนปลาหยินหยาง แล้วรอให้จิ่วจิ่วที่งีบหลับไปได้ตื่นขึ้นมา

เพราะเขามีเรื่องต้องขอจากนาง เพื่อใช้พลังเซียนอันบริสุทธิ์ของอาจารย์อาจิ่วในการหลอมโอสถ เขาจึงไม่สามารถรุนแรงเกินไปกับอาจารย์อาจิ่วได้

สองวันต่อมา หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วได้หลอมโอสถและปิดผนึกหอโอสถเอาไว้ชั่วคราวแล้ว เขาก็เปิดใช้ค่ายกลภายในรัศมีสามลี้จากหอโอสถ

หลังจากที่เขาส่งจิ่วจิ่วออกไป เขาก็ไปหาหลันหลิงเอ๋อร์เพื่อบอกนางเรื่องการปิดด่านบำเพ็ญเพียรของเขา

ในการปิดด่านครั้งนี้ หลี่ฉางโซ่วต้องการสร้างต้นกล้าไฟแห่งเพลิงสมาธิแท้ซึ่งจะใช้เวลาประมาณครึ่งปี

หลันหลิงเอ๋อร์ซึ่งแต่งตัวในชุดฝึกฝนหลวมๆ นั้น กำลังศึกษาวิธีการพ่นกระจายโอสถอยู่ใต้ต้นหลิว จู่ๆ ก็รู้สึกสับสนขึ้นมาทันที…

“ศิษย์พี่ คราวนี้ ท่านจะไม่ปิดด่านบำเพ็ญเพียรในหอโอสถหรือเจ้าคะ”

“ในขณะที่ฝึกฝนเพลิงสมาธิแท้ มันจะทำให้สถานที่ฝึกฝนนั้นระเบิดขึ้นได้โดยง่าย” หลี่ฉางโซ่วตอบด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวต่อว่า “ข้าจะสร้างแพไม้เล็กๆ ในภายหลัง และเข้าไปฝึกฝนกลางทะเลสาบ ซึ่งจะทำให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น และน่าจะดีกว่า”

หลันหลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ ด้วยอยากจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมาแต่ยังลังเลอยู่เล็กน้อย

หลี่ฉางโซ่ววางขวดกระเบื้องเคลือบเอาไว้ในมือของนางพลางบอกนางเกี่ยวกับการใช้และปริมาณของโอสถแต่ละขวดเหล่านั้น

หลังจากที่ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ในใจตลอดเวลาแล้ว หลันหลิงเอ๋อร์ก็ยังคงถามเสียงเบาออกมาว่า “ศิษย์พี่ ท่านไม่จำเป็นต้อง…ปิดบังเพลิงสมาธิแท้หรือเจ้าคะ…คาถาเวทนี้ทรงพลังมากไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็เคาะศีรษะศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาทันที ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้ใช้กำลังมากนัก…

แม้ว่าทั้งสองจะเผชิญหน้ากันตรงๆ แต่หลี่ฉางโซ่วก็ยังคงส่งข้อความเสียงเพื่ออธิบายรายละเอียดกับนางว่า “ข้าเพิ่งหยุดสอนเจ้าไปเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา เจ้าลืมสิ่งที่ข้าสอนไปแล้วใช่หรือไม่…

ข้าได้รับเพลิงสมาธิแท้มาจากปรมาจารย์ของท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูและอาจารย์อาจิ่วจิ่ว หากข้าจงใจซ่อนมันไว้และไม่ใช้มัน จะยิ่งทำให้คนสงสัย นั่นจะไม่ถือเป็นไพ่ตาย หากเป็นสิ่งที่ผู้อื่นคิดไม่ออกและเดาไม่ได้ หรือนึกโยงไปถึงไม่ได้ โดยอาศัยข้อมูลที่เจ้าเปิดเผยในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ในแง่พลังของมัน”

หลันหลิงเอ๋อร์พลันแลบลิ้นของนางออกมาพลางก้มศีรษะลงอย่างเชื่อฟัง

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็หยิบขวดกระเบื้องอีกสองขวดออกมาแล้วกล่าวว่า “จงวางโอสถสองขวดนี้เอาไว้ที่หน้าประตูบ้านอาจารย์ของเรา พวกมันเป็นโอสถเซียนสำหรับท่านอาจารย์ มีผลในการเปลี่ยนพลังที่ขุ่นมัวให้กลับมาใสกระจ่าง ห้ามแอบลองมันเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะระเบิดจากฤทธิ์โอสถเซียน”

หลันหลิงเอ๋อร์รีบเอ่ยถามว่า “แล้วอาจารย์จะกินหรือ…”

“น่าจะยาก” หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะพลางถอนหายใจเบาๆ ขณะเดินไปที่ป่าและเตรียมสร้างแพไม้ที่เขาจะใช้ต่อไปในภายหลัง

หลันหลิงเอ๋อร์ลองเปิดขวดหยกและดมกลิ่น ทันใดนั้นพลังปราณบริสุทธิ์ก็พุ่งเข้าหาใบหน้าของนางทันที

นางสูดลมหายใจเข้าเบาๆ พลันรู้สึกอ่อนเพลีย มึนงงและหนักศีรษะ จึงกลับไปที่บ้านของนางด้วยอาการวิงเวียนศีรษะและรีบเร่งนั่งสมาธิเพื่อขจัดฤทธิ์โอสถ

หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นเช่นนี้ จากนั้นเขาก็พบป่าเก่าแก่แห่งหนึ่ง จึงพับแขนเสื้อขึ้นและเริ่มทำงานหนักอย่างเต็มที่

สองวันต่อมา…

“เสียงอันใดกันนั่น”

หลันหลิงเอ๋อร์ที่เพิ่งตื่นจากการเข้าฌานพลันลุกขึ้นแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างไม้ นางตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมากะทันหัน…

‘ข้าจะสร้างแพไม้เล็กๆ ในภายหลัง’

ประโยคนี้สะท้อนอยู่ในใจของนาง เมื่อหลันหลิงเอ๋อร์นึกถึงสิ่งที่ศิษย์พี่ของนางกล่าวพลางมองไปยังเรือหอคอยที่สร้าง ‘เรียบง่าย’ ขนาดห้าสิบจั้งที่เพิ่งปล่อยออกไปในทะเลสาบ นางก็อดที่จะตบหน้าผากของนางไม่ได้

ศิษย์พี่ของนางเข้าใจผิดอันใดเกี่ยวกับขนาดหรือไม่

ทันใดนั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็ก้มศีรษะลงมองดูส่วนโค้งมนของชุดฝึกฝนของนางพลางกระตุกมุมปากขึ้นทันที

‘เจ้าศิษย์พี่หน้าเหม็น เขา…สูญเสียแนวคิดเรื่องขนาดไป ต้องขอบคุณท่านอาจารย์อาจิ่วจิ่ว!’

อันที่จริงแล้วหลี่ฉางโซ่วไม่ใช่คนที่มุ่งเน้นใฝ่หาความสุขเพลิดเพลิน ดังนั้นเมื่อสร้างอุปกรณ์บางอย่างที่น่าสนุก เขาก็จะให้ความสำคัญกับการใช้งานจริงมากกว่า

……………………………………………………