แพขนาดเล็กนั้นสร้างมาจากไม้ และไม่มีข้อจำกัดใดๆ ส่วนในด้านของความยากในการสร้างมันขึ้นมานั้น มันก็เป็นเพียงอุปกรณ์จริงๆ

สถานที่ที่เขาจะปิดด่านฝึกบำเพ็ญจะต้องมีค่ายกลเตือนอย่างง่าย ค่ายกลแยกเสียง และค่ายกลป้องกันการตรวจจับ และเขาก็จำเป็นต้องมีพื้นที่บางส่วนเพื่อวางและซ่อนฐานค่ายกลเหล่านี้

นอกจากนี้เขาก็ยังมีแผนการบางอย่างที่เก็บซ่อนเอาไว้

เรือหอคอยสองชั้นมีห้องทั้งหมดเจ็ดห้องซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกัน โดยแต่ละห้องจะเชื่อมโยงถึงกันและวางด้วยเบาะรองนั่ง

หลังจากที่เขาปิดด่านและเปิดค่ายกลโดยรอบ เขาก็จะวางตุ๊กตากระดาษสองสามตัวเอาไว้ในแต่ละห้อง

หากมีผู้ใดแตะต้องค่ายกล ข้อจำกัดของตุ๊กตากระดาษเหล่านี้จะเปิดใช้งานทันที แล้วกลายเป็นร่างจำลองของเขาซึ่งถอดแบบมาเหมือนร่างจริงของเขา!

นั่นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลอบทำร้าย!

น่าเสียดายที่การออกแบบนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ ยังคงมีโอกาสหนึ่งในเจ็ดที่เขาจะถูกลอบสังหารได้

“หลิงเอ๋อร์ บัดนี้ข้าจะปิดด่านแล้ว”

หลังจากได้รับข้อความเสียงของหลี่ฉางโซ่ว หลันหลิงเอ๋อร์ก็รีบเดินตรงไปที่ประตูและโบกมือน้อยๆ ให้เขาซึ่งกำลังยืนอยู่บนเรือหอคอย

เมื่อหลี่ฉางโซ่วร่ายผนึกด้วยมือทั้งสองของเขาแล้ว ชั้นของค่ายกลบนแพไม้ก็ถูกเปิดใช้งาน มันครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ของทะเลสาบเบื้องล่าง และแพไม้นั้นก็เลือนรางไปภายใต้ชั้นแสง

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีหมอกสีขาวปรากฏขึ้นบนน้ำ และหลันหลิงเอ๋อร์ก็ไม่อาจเห็นว่าศิษย์พี่ของนางอยู่ที่ใดได้อีกต่อไป

หลี่ฉางโซ่ววางตุ๊กตากระดาษเอาไว้ในแต่ละห้องแล้วแอบไปที่ห้องที่อยู่ห่างไกลอย่างเงียบๆ จากนั้นเขาก็วางค่ายกลหนึ่งเอาไว้ที่มุมห้องและเปิดช่องลับที่ซึ่งมีน้ำในทะเลสาบใสกระจ่างอยู่ด้านล่าง…

หลังจากสร้างตราผนึกเวทแล้ว เขาก็ร่ายเวทลวงตาเพื่อแปลงร่างเป็นปลาวิญญาณ แล้วดำดิ่งลงไปในน้ำเงียบๆ จากนั้นก็ว่ายไปที่ก้นทะเลสาบที่ปกคลุมไปด้วยชั้นของค่ายกลต่างๆ โดยเหลือทิ้งไว้เพียงตุ๊กตากระดาษเจ็ดตัวในแต่ละห้องเท่านั้น

สาเหตุหลักที่ทำให้เขาสร้างแพไม้ขนาดใหญ่เช่นนี้เพราะเขาต้องการให้ชั้นต่างๆ เหล่านี้ของค่ายกลสามารถปกคลุมใต้น้ำได้

และที่ก้นทะเลสาบก็คือสถานที่ปิดด่านบำเพ็ญเพียรครั้งที่สามของหลี่ฉางโซ่ว

เมื่อครั้งที่อาจารย์พาหลิงเอ๋อร์น้อยขึ้นมาบนภูเขาในกาลก่อนนั้น เขาก็ปิดด่านที่นี่และสร้างเพลิงนรกเยือกแข็งได้ที่ความสำเร็จระดับต้น

ในธาตุทั้งห้านี้ น้ำสามารถยับยั้งไฟได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีพิเศษที่ยอดเยี่ยมในการป้องกันการระเบิดตัวเองที่เกิดจากการบรรจบกันของไฟมากเกินไปในขณะที่ฝึกฝนเวทไฟใต้น้ำ

อย่างไรก็ตาม…ขณะนี้ในส่วนเล็กๆ ของยอดเขาหยกน้อย ซึ่งแต่เดิมหนาแน่นไปด้วยต้นไม้สีเขียวชอุ่ม เวลานี้มันกลับกลายเป็นต้นไม้โกร๋นในทันใด

……

ทะเลบูรพา วังผลึกแก้ว

“เจ้ากล้าดีอย่างไรกัน อ๋าวอี่! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาพูดจาเหลวไหล หยาบคาย ไร้ความเคารพต่อผู้อาวุโสของเจ้าเช่นนี้! เจ้าทำให้ศักดิ์ศรีและเกียรติของเผ่าพันธุ์ต้องเสื่อมเสีย!…เจ้า…เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นการกระทำผิดเพียงใดกัน!”

บัดนี้ในโถงตำหนักที่กว้างขวางขององค์ชายรอง มังกรน้อยอ๋าวอี่จากเผ่ามังกรกำลังถูกโซ่ล่ามเอาไว้กับเสาเหล็ก เขาหลับตาแน่นและรู้สึกถึงคำดุด่าในวันนั้นที่ยังดังก้องอยู่ในหูของเขา

เขาแสยะมุมปากเย้ยหยันและอดทนต่อความรู้สึกเจ็บปวดที่หลังของเขา แต่ดวงตาของเขายังคงมั่นคงแน่วแน่อย่างยิ่งเฉกเช่นในวันนั้น

เวลานี้ อ๋าวอี่รู้สึกเพียงว่า วังผลึกแก้วนี้ไร้สาระมากและไร้สาระอย่างหาที่เปรียบปานมิได้

เมื่อเขายืนอยู่ในงานเลี้ยงฉลองเมื่อวันก่อนนั้น เขาเผชิญหน้ากับพระบิดาของเขาซึ่งหรี่ตาลงและแกล้งหลับอยู่ในขณะที่เขากล่าวออกไปว่า “ข้าอยากเป็นศิษย์ของสำนักตู้เซียนและฝึกฝนเหมือนบรรดาสำนักบำเพ็ญเซียนในสามสำนักบำเพ็ญเต๋า!”

ในเวลานั้นใบหน้าของราชามังกรพลันตกตะลึง เหลือเชื่อ และเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว…

ถ้อยคำดุด่าที่ไร้สาระเหล่านี้เกิดขึ้นเนื่องมาจากพฤติกรรมที่น่าอับอายและน่าอัปยศของเขาที่นำมาสู่เผ่าพันธุ์มังกร…

ในขณะนั้นพลังลมปราณรุนแรงที่แผ่พุ่งออกมาจากปรมาจารย์มังกรเหล่านั้นเข้ากดดันทำให้เขาแทบหยุดหายใจ ร่างมังกรน้อยวัยสิบขวบของเขาเกือบจะถูกบดขยี้ทันที!

บรรดาผู้ที่ตำหนิตนเองในวันนั้นต่างก็เป็นพี่น้องของพระบิดาหรือเหล่าผู้อาวุโสมังกร พวกเขาจึงล้วนมีคุณสมบัติที่จะดุด่าว่าเขาผู้ซึ่งเป็นหลานชาย

ในขณะที่บรรดาเสนาบดีของเผ่าพันธุ์แห่งมหาสมุทร รวมทั้งเหล่าแม่ทัพของเผ่ามังกรที่ไม่มีสายเลือดของราชามังกรต่างก็ไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมาแม้สักคำ แต่พวกเขาก็ยังส่งสายตาดูถูกเหยียดหยามมาให้เขา

เมื่อเขาไปเคารพยกย่องผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้น ย่อมจะถูกมองว่าเป็นที่เสื่อมเสียน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก

เมื่อเขาจะออกไปเป็นศิษย์และฝึกบำเพ็ญกับสำนักเซียนเหล่านั้น ก็ถูกมองว่าทรยศและเป็นกบฏของเผ่ามังกร

นี่มันช่างไร้สาระ น่าขันอย่างยิ่งจริงๆ…

“ไร้สาระยิ่ง!” อ๋าวอี่อดที่จะโวยวายออกมาไม่ได้ในขณะที่ใบหน้าบอบบางของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด!

เสาเหล็กที่อยู่ข้างหลังเขาเปล่งแสงแผ่พุ่งพลังเย็นยะเยือกออกมาในขณะที่หนามน้ำแข็งก็แทงทะลุแผ่นหลังที่ขาวเนียนเรียบของเขาจนทำให้อ๋าวอี่สั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด

ทว่าดวงตาของเขายังคงมีสติกระจ่างชัดเจนพร้อมด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ของเขาที่ยังไม่จางหายไปแต่อย่างใด!

เมื่อครู่ก่อนนี้ พระมารดาของเขาที่พยายามเกลี้ยกล่อมให้เขายอมรับความผิดพลาดโดยเร็วที่สุดเพิ่งจะออกไป…

“ลูกเอ๋ย วิชาเวทจากเผ่าพันธุ์ของเราไม่เพียงพอให้เจ้าเรียนรู้หรืออย่างไร สมบัติและอาวุธเวทจากเผ่าพันธุ์ของเราก็ยังไม่เพียงพอให้เจ้าเล่นด้วยหรือ…เหตุใดเจ้าต้องทำเรื่องไร้สาระเยี่ยงนั้น แล้วยังพูดเรื่องไร้สาระเหล่านั้นต่อหน้าบรรดาท่านลุงมากมายของเผ่าเราด้วย เจ้าต้องการไปเข้าร่วมสำนักเซียน แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาไม่รับเด็กจากเผ่าพันธุ์มังกรเป็นศิษย์ ยกเว้นสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย

ในกาลก่อนนั้น ปรมาจารย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานเคยรับมังกรร้ายนอกรีตมาเป็นศิษย์ของเขา เขาให้ยืมสมบัติของเขา และปลดโชควาสนาสุดท้ายออกไปจากเผ่าพันธุ์มังกรของเรา และวางไว้ให้ศิษย์ของเขา เผ่าพันธุ์ของเราจะลืมความอัปยศอดสูเช่นนี้ไปได้อย่างไร…ลูกเอ๋ย ผู้ใดทำให้เจ้าสับสนอย่างนั้นหรือ”

อ๋าวอี่จะไม่เข้าใจถ้อยคำเหล่านี้จากพระมารดาของเขาและรู้ความจริงได้อย่างไร?

เห็นได้ชัดว่า ‘หวงหลงเจินเหริน’ หนึ่งในสิบสองเซียนจินแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานนั้น เป็นสายเลือดของมังกรบรรพบุรุษ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปในเวลานั้น เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและบังเอิญตกลงไปที่ภูเขาคุนหลุน จากนั้นเขาก็ได้รับการดูแลจากสามบรรพชนหรือสามเทพาจารย์ซึ่งในเวลานั้นยังไม่ได้เป็นเทพ และกลายเป็นมังกรที่ได้รับการชื่นชมจากสามเทพาจารย์

ก่อนที่เทพาจารย์โบราณจะปรากฏตัว เผ่ามังกรรู้สึกอับอายกับเรื่องนี้ และตัดขาดสัมพันธ์ทั้งหมดกับหวงหลงเจินเหริน กระทั่งลบชื่อของเขาออกจากทะเบียนมังกร

หลังจากที่สามเทพาจารย์กลายเป็นเทพ เผ่าพันธุ์มังกรไม่อาจยอมเสียศักดิ์ศรีของตนลงเพื่อประจบประแจงแสดงความยินดีกับหวงหลงเจินเหรินได้ แต่พวกเขากลับเริ่มแพร่กระจายข่าวลือภายในเผ่าพันธุ์โดยเรียกเขาว่า มังกรร้ายนอกรีตที่น่าอับอาย

ส่วนเรื่องที่เทพไม่รับเผ่ามังกรเป็นศิษย์นั้น…

หลังจากที่สามเทพาจารย์กลายเป็นเทพแล้ว กลุ่มปรมาจารย์มังกรก็ได้นำมังกรหนุ่มมาเป็นศิษย์ที่เกาะเต่าทองและให้ความเคารพต่อเทพเป็นอย่างมาก

แต่เมื่อพวกเขาได้ยินมาว่าปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์รับศิษย์น้อยที่สุด เขายอมให้ศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของเผ่ามังกรเป็นศิษย์ของเทพได้เท่านั้น เหล่าปรมาจารย์มังกรจึงหันหลังกลับมา เพราะรู้สึกว่าเทพจงใจทำให้พวกเขาอับอายขายหน้า…

ช่างเป็นเรื่องไร้สาระอะไรเช่นนี้

นี่มันไร้สาระสิ้นดี!

อ๋าวอี่ตัวสั่นเบาๆ และแสงของเสาเหล็กด้านหลังของเขาก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง

ข้า อ๋าวอี่ ต้องอดทน

มีเพียงเขา องค์ชายรองของราชามังกรเท่านั้นที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนได้อย่างสมบูรณ์และไปเป็นศิษย์ของสำนักตู้เซียนซึ่งเป็นสำนักบำเพ็ญเซียนระดับกลางของสามสำนักบำเพ็ญเต๋า…

ต่อให้ต้องคุกเข่าต่อหน้าสำนักตู้เซียนและเข้าไปเป็นศิษย์ในนาม… เขาก็สามารถข้ามผ่านความเย่อหยิ่งที่ไร้เหตุผลของเผ่าพันธุ์มังกร และทำลายความภาคภูมิใจในตนเองที่บิดเบี้ยวของพวกเขาเป็นชิ้นๆ ได้!

หากความอัปยศอดสูเหล่านี้ยังไม่อาจปลุกเผ่าพันธุ์มังกรที่มัวเมาอย่างหนักได้ เขาจะขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิญญาณทั้งหมดในฐานะเทพ!

และเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะมาถามท่านผู้อาวุโสโบราณเหล่านี้…ทางออกของเผ่ามังกรคืออะไร!

หลังจากสูดลมหายใจเข้า อ๋าวอี่ก็อ้าปากร้องตะโกนดังก้องว่า “ปล่อยข้านะ! ข้าอยากพบพระบิดา! ข้าต้องการไปเป็นศิษย์ของสำนักตู้เซียนเพื่อฝึกฝนและเรียนรู้เต๋า!”

ที่ด้านนอกโถงตำหนัก สาวใช้งดงามที่มีใบหน้าเปื้อนน้ำตากลุ่มหนึ่งล้วนรู้สึกสงสารเขาและเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ แต่พวกนางก็ถูกทหารเซียนมังกรวารีขวางกั้นเอาไว้ จึงไม่อาจเข้าไปใกล้องค์ชายรองได้

……………………………………………………………