บทที่ 162 พลังที่เกินต้านทาน

เมอร์ลินที่สวมเสื้อยาวสีดํา เขาเดินตามหลังทหารของปราสาทของเคานต์เซลิน

เคานต์เซลินยังคงดูเหมือนเดิมแต่เขาดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย อาจเป็นเพราะกังวลเรื่องเมืองปรากาซ

ด้านข้างของเคานต์เซลินมีชายวัยกลางคนสองคนอยู่ข้าง ๆ เมอร์ลินหรี่ตามองชายสองคนนี้ พวกเขาเป็นเหมือนเมอร์ลิน พวกเขาเป็นนักเวทย์

“ฮ่าฮ่า เป็นบารอนเมอร์ลินจริง ๆ ด้วย ตอนที่ทหารยามบอกข้า ข้าเองก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก ยังไงก็เถอะ บารอนเมอร์ลินมาได้ตรงเวลาพอดีเลย ตอนนี้เมืองปรากาซกําลังต้องการความช่วยเหลือ”

เคานต์เซลินกล่าวพลางลุกขึ้น หลังจากแน่ใจว่าชายชุดดําตรงหน้าเป็นเมอร์ลินจริง ๆ เขาก็หัวเราะออกมาอย่างดีใจ ในตอนนี้ยิ่งมีกําลังมากเท่าไหร่ โอกาสที่เมืองปรากาซจะรอดพ้นอันตรายก็ยิ่งที่เพิ่มมากขึ้น

เขาสังเกตเห็นว่าเมอร์ลินกําลังลอบสังเกตนักเวทย์สองคนที่อยู่ข้างเขา เขาจึงแนะนําพวกเขาไปว่า

“บารอนเมอร์ลิน พ่อมดสองคนนี้เป็นพ่อมดที่เพิ่งเข้าร่วมเมืองปรากาซเมื่อไม่กี่เดือนก่อน นี่คือพ่อมดเฟรเยอร์ นักเวทย์สามธาตุ”

เคานต์เซลินหยุดชั่วคราวและเหลือบไปมองนักเวทย์อีกคน “และนี่คือพ่อมดแบร์ส เขาเป็นนักเวทย์สี่ธาตุและทรงพลังมาก เขาสามารถเอาตัวรอดจากนักเวทย์ระดับหนึ่งมาได้ ช่างเป็นโชคของเมืองปรากาซจริง ๆ ที่พ่อมดแบร์สเข้าร่วมกับเราได้”

เคานต์เซลินยกย่องพ่อมดแบร์สขึ้นสูงอย่างเห็นได้ชัด ในฐานะพ่อมดพเนจรเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะสร้างคาถาสี่ธาตุได้

เมอร์ลินหรี่ตามองพ่อมดแบร์ส ในขณะเดียวกันพ่อมดแบร์สมองเขาด้วยสีหน้าที่หยางผยอง เขายิ้มเยาะตรงมุมปากของเขา ในขณะที่พูดด้วยน้ําเสียงนิ่ง ๆ

“ฉันเคยได้ยินชื่อพ่อมดเมอร์ลินมาหลายครั้งในเมืองปรากาซและในที่สุดก็ได้พบกับเมอร์ลิน…”

ก่อนที่พ่อมดแบร์สจะพูดจบ เมอร์ลินพูดขัดจังหวะเขาและถามอย่างใจเย็นว่า “คุณคือแบร์สใช่มั้ย?”

แบร์สขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่เขาไม่ได้โกรธเคือง เขาเพียงพยักหน้าเบา ๆ

*พี่บ!!*

ทันทีที่พ่อมดแบร์สพยักหน้า เมอร์ลินก็ยกมือขึ้นมาและหมอกสีดําก็ปรากฏขึ้นในอากาศทันที ไม่เพียงแต่จะห่อหุ้มพ่อมดแบร์สเท่านั้น พ่อมดเฟรเยอร์ก็ได้รับลูกหลงด้วย

“หมอกรัตติกาล!!”

เมอร์ลินร่ายหมอกรัตติกาลใส่แบร์สทันที พลังของมันแม้แต่พ่อมดระดับหนึ่งยังไม่รอด นับประสาอะไรกับนักเวทย์ระดับเริ่มต้นอย่างแบร์ส

และทั้งสองเป็นเพียงแค่พ่อมดพเนจร พลังจิตของพวกเขาจึงไม่แข็งแกร่งมากนักดังนั้นจึงถูกสะกดด้วยหมอกรัตติกาลได้อย่างง่ายดาย

เคานต์เซลินตกใจและตะโกนอย่างรวดเร็ว “พ่อมดเมอร์ลิน อย่า…”

อนย่างไรก็ตามเมอร์ลนไม่สนใจเคานต์เซลิน ลูกไฟขนาดเท่ากําปั้นห้าปรากฏขึ้นมาต่อหน้าเขา

“ไป!!”

เห็นถึงเจตนาฆ่า

“ระเบิด!!”

ลูกไฟอันร้อนแรงได้พัดพากลุ่มควันให้จางหายไป แม้จะอยู่ไกล ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผดเผาออกมา

เมอร์ลินได้หันกลับมาได้ท่าทีที่ไม่พอใจ เขาพูดด้วยน้ําเสียงอันสงบว่า “เคานต์เซลิน”

เคานต์เซลินมองเมอร์ลินด้วยสายตาอันซับซ้อน เขาเหลือบไปมองร่างของแบร์สที่ไหม้จนจนสภาพไม่ได้

นั่นคือนักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่เคานต์เซลินหวังไว้ในการป้องกันเมืองแต่เขาไม่สามารถรับมือการโจมตีจากเมอร์ลินได้ ทําให้เคานต์เซลินตระหนักถึงความแข็งบแกร่งของนักเวทย์ที่มีสังกัดองค์กร

ตอนนี้เมอร์ลินแข็งแกร่งกว่าเมอแรงค์มาก

“คะคือว่า” เคานต์เซลินมองเมอร์ลินด้วยความขมขึ้น เขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา

นักเวทย์อีกคนหนึ่ง พ่อมดเฟรเยอร์ที่ถูกหมอกรัตติกาลปกคลุมเช่นกัน เขามองไปที่ร่างของพ่อมดแบร์สด้วยความตกตะลึง หลังจากนั้นเขาก็มองเมอร์ลินด้วยสายตาที่หวาดกลัว

เฟรเยอร์รู้ดีว่าแบร์สแข็งแกร่งมากแค่ไหน แม้เขาจะไม่ค่อยชอบแบร์สเท่าไหร่นักแต่เขาก็เก็บไว้ในใจเพราะทําอะไรเขาไม่ได้

เขารู้สิ่งที่แบร์สทํากับตระกูลวิลสัน หลังจากที่เมอร์ลินกลับมาถึงเมืองปรากาซ เขาก็ได้มาฆ่าแบร์สทันที นั่นทําให้เขาเข้าใจว่าเมอร์ลินที่เข้าร่วมดินแดนมนต์ดํานั่นแข็งแกร่งมากเพียงใด

“พ่อมดเมอร์ลิน ฉันเองก็ไม่พอใจสิ่งที่แบร์สทําเหมือนกัน หวังว่าพ่อมดเมอร์ลินจะเข้าใจฉัน” ในฐานะพ่อมดพเนจร เขารู้ดีว่าควรจะต้องทําตัวอย่างในเวลานี้

เมอร์ลินเหลือบมองพ่อมดเฟรเยอร์และรอยยิ้มเผยออกมาบนใบหน้าของเขา “แน่นอน ฉันเข้าใจคุณ ไม่อย่างนั้นแบร์สจะไม่ใช่ศพเดียวที่จะอยู่บนพื้น”

เฟรเยอร์รู้สึกเสียวสันหลังทันที เขายังจําความรู้สึกที่อยู่ในหมอกสีดําได้ดี เขาสูญเสียการรับรู้ทิศทางโดยสิ้นเชิงราวกับว่าจมอยู่ในความมืดอันไร้จุดสิ้นสุด แม้เขาจะรู้ตัวว่าอยู่ในภาพลวงตาแต่ก็ไม่สามารถทําอะไรได้

ถ้าเมอร์ลินจะฆ่าเขา เขาคงจะตายไปแล้ว

ทางด้านเคานต์เซลินดูอึดอัดกับสถานการณ์เช่นนี้ ความแข็งแกร่งของเมอร์ลินนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของเขาและเขาก็รู้ว่าแบร์สแข็งแกร่งมากแค่ไหน ขนาดเฟรเยอร์ยังเต็มใจที่จะเชื่อฟังเขาเลย

อย่างไรก็ตาม แบร์สที่แข็งแกร่งคนนั้นถูกฆ่าโดยเมอร์ลินอย่างง่ายดาย

อันที่จริง เขาก็รู้ว่าถึงสิ่งที่แบร์สทําที่ปราสาทวิลสันแต่เนื่องจากเขาจําเป็นต้องพึ่งพาแบร์สดังนั้นเขาจึงไม่ได้หยุดแบร์ส

แต่เมื่อได้เห็นความแข็งแกร่งของเมอร์ลิน ทําให้เคานต์เซลินรู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจอย่างนั้นออกไป

“บารอนเมอร์ลิน คะคือว่าพ่อมดแบร์สได้เข้าร่วมกับเมืองปรากาซ ข้าจึงไม่สามารถหยุดสิ่งที่เขาทํา…”

ก่อนที่เขาจะถูกจบประโยค เขาก็ถูกเมอร์ลินขัดจังหวะด้วยสายตาและน้ําเสียงอันเย็นชา “ท่านเคานต์เซลิน ไม่ว่าเหตุผลมันจะเป็นอะไรก็ตาม ผมหวังว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย!”

เคานต์เซลินไม่พอใจที่เมอร์ลินวางท่าเช่นนี้ เขาเป็นถึงเจ้าเมืองที่ปกครองเมืองปรากาซ

อย่างไรก็เขาไม่กล้าพูดแย้งอะไรออกมา เนื่องจากออร่าที่น่าสะพรึงกลัวออกมาจากเมอร์ลิน เขาดูแข็งแกร่งกว่าเมอแรงค์เสียอีก

ถึงเขาจะไม่พอใจกับคําขู่ของเมอร์ลินแต่เขาก็ยังยิ้มรับไว้อย่างฝัน ๆ

“บารอนเมอร์ลินโปรดไว้วางใจ เหตุการณ์แบบพ่อมดแบร์สจะไม่เกิดขึ้นอีก”

หลังจากได้รับคําสัญญาจากเคานต์เซลิน เมอร์ลินก็พยักหน้าและไม่ได้กดดันเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามครอบครัวของเขายังต้องการอยู่ในเมืองปรากาซ พวกเขายังต้องพึ่งพาเคานต์เซลินเพื่ออยู่ที่ได้อย่างสงบสุข

เขาได้ยื่นคําขาดให้กับเคานต์เซลิน หากในอนาคต เขาออกจากเมืองรากาซไป เคานต์เซลินจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก

“เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า ก่อนหน้านี้ฉันสังเกตเห็นความตึงเครียดในเมืองปรากาซ มันเกิดอะไรขึ้นท่านเคานต์เซลิน” เมอร์ลินถามด้วยความสงสัย

เมื่อกล่างถึงเมืองปรากาซ ความไม่พอใจในก่อนหนานี้ได้จางหายไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าแบร์สจะตายไป แต่ได้เมอร์ลินที่แข็งแกรง่มาแทน มันก็ยังเป็นเรื่องดีสําหรับเขา

ดังนั้นเคานต์เซลินจึงเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างเมืองปรากาซกับเมืองเลบิส

“ตลอดเวลาหายปีที่ผ่านมา ปรากาซกับเลิบิส มักจะมีข้อขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ มาโดยตอดแต่พวกเราก็ยังอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข”

อย่างไรก็ตาม เมื่อครึ่งปีที่แล้ว หลังจากที่เคานต์ทาลอนเสียชีวิตและลองการ์ดี บุตรชายของเขาได้รับตําแหน่งเคานต์คนถัดไป เขาได้เริ่มขยายกองทัพและยังทําให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเมืองจนทําให้เกิดสงคราม

“ลองการ์ดียังไม่หยุดแค่นั้น เขาเริ่มส่งคนให้ตามผู้คนที่เข้าออกจากเมืองปรากาซ ทําให้พ่อค้าจํานวนมาก หวาดกลัวและหลีกเลี่ยงที่จะมาเมืองปรากาซ

ถ้าเป็นเรื่องแค่นี้ข้าพอจะรับได้แต่เมื่อเดือนที่แล้ว ลองการ์ดีส่งกองทัพของเขาบุกโจมตีเมืองเล็ก ๆ ของเมืองปรากาซ เห็นได้ชัดว่าเขาจะเริ่มทสงคราม”

เคานต์เซลินดูโกรธมาก แววตาของเขาฉายแวววิตกกังวล เขากลัวว่ากองกําลังของเขาจะไม่สามารถต้านกองทัพของเมืองเลบิสได้

“หากมีข้อแย้งระหว่างเมือง ทําไมท่านไม่ทูลขอให้พระราชาพิพากษาเรื่องนี้ล่ะ”

เมอร์ลินถามเคานต์เซลิน แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในเมืองปรากาซแต่เขาก็พอจะรู้จักระบบปกครองของอาณาจักรแบล็กมูน เนื่องจากกองกําลังของราชวงศ์แห่งอาณาจักรแบล็กมูนมีเกินไป ทําให้ทุกเมืองไม่กล้าที่จะคัดค้านคําส่งของราชวงศ์

ดังนั้นหากมีข้อขัดแย้งระหว่างเมือง พวกเขาสามารถขอคําพิพากษาจากราชวงศ์ได้เพื่อหาทางออกของปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

“คําพิพากษาจากพระราชา” เคานต์เซลินยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าทําไปแล้วแต่ทว่าลองการ์ดีมีความใกล้ชิดกับองค์ชายแปดขอราชวงศ์ ทําให้คําขอของข้าถ้ํากระงับไปโดยองค์ชายแปดจึงทําให้เขาไม่สามารถพึ่งพาการพิพากษาของพระราชาได้”

เมอร์ลินรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เขาหวนนึกถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับทางราชวงศ์ เขาไม่มีทางยอมให้ตระกูลวิลสันกลับไปสู่จุดนั้นอีก

“ท่านเคานต์เซลิน ที่ลองการที่มีความมั่นใจมากขนาดนี้ มันมีสาเหตุอื่นนอกจากกองทัพที่แข็งแกร่งใช่มั้ย”

เมอร์ลินจ้องมองตรงไปยังดวงตาของเคานต์เซลิน เขารู้ว่ามันต้องมีเหตุผลมากกว่าที่ทําให้เคานต์เซลินต้องกังวลมากกว่านี้ เรื่องนี้มันอาจมีอะไรมากกว่าความขัดแย้งระหว่างเมืองเลบิสกับเมืองปรากาซก็เป็นได้