บทที่ 163 พ่อมดเฮกฮาร์
เคานต์เซลินจ้องมองไปที่เมอร์ลิน เขารู้ว่าจะต้องบอกความจริงทุกอย่าง หากต้องการความช่วยเหลือของเมอร์ลิน เขาได้พูดซ้ํา ๆ ว่า “อย่างที่ท่านเมอร์ลินคาดเดาไว้ ถึงเมืองเลบิสจะมีกองกําลังที่แข็งแกร่งแต่กองกําลังของเมืองปรากาซก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น สิ่งที่ข้ากังวลจริง ๆ ก็คือนักเวทย์ที่ลองการ์ดีคัดเลือกมา หนึ่งในนักเวทย์ของเขาเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งที่ทรงพลังซึ่งข้าวางแผนที่จะใช้พ่อมดแบุร์สในการต่อกรกับพ่อมดคนนั้น”
หลังจากที่กล่าวจบ เขาก็จ้องมองไปยังเมอร์ลิน เขายังรู้สึกเสียดายที่เขาต้องเสียกําลังพลที่สําคัญไป
“นักเวทย์ระดับหนึ่งงั้นเหรอ?”
เมอร์ลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้ว่ามีความแตกต่างระหว่างนักเวทย์ระดับหนึ่งกับนักเวทย์ระดับเริ่มต้นมีสูงมาก
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สามารถจัดการนักเวทย์ระดับหนึ่งอย่างพ่อมดวิกซ่าได้ด้วยมือของเขา
ดังนั้นเมอร์ลินจึงไม่สนใจพ่อดมดพเนจรทั่วไป แม้เขาคนนั้นจะเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งก็ตาม
ในระหว่างหนึ่งปีที่เข้าร่วมดินแดนมนต์ดํา ความสามารถของเมอร์ลินพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ความรู้และประสบการณ์ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
เขายังได้พบอัจฉริยะมากมายที่นั่น นั่นทําให้เขาไม่สนใจพ่อมดพเนจรระดับหนึ่งหรือระดับสองอีกต่อไป
“ฉันจะเป็นคนจัดการนักเวทย์ระดับหนึ่งนั่งเอง!!” เขากล่าวอย่างสงบ
เคานต์เซลินเต็มไปด้วยความปิติยินดี ในความเป็นความจริงในส่วนลึกในใจเขายังกังขาในความแข็งแกร่งของพ่อมดแบร์สแต่ไม่ใช่กับเมอร์ลิน เขามั่นใจว่าเมอร์ลินต้องรับมือกับนักเวทย์ระดับหนึ่งได้แน่นอน
หากไม่มีนักเวทย์ระดับหนึ่ง เขาก็ไม่กลัวการโจมตีของกองกําลังเมืองเลบิส
หลังจากนั้น เมอร์ลินได้ขอตัวออกจากปราสาท เขาตรงไปที่รถม้าของเขา เมอร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ไปที่บ้านของพ่อมดฮิลล์”
จากนั้นรถม้าได้เคลื่อนตัวออกช้า ๆ
ในห้องโถงอันกว้างขวางของเคานต์ลองการ์ดี ท่านเคานต์กําลังเดินไปเดินมาด้วยท่าทีที่กระสับกระส่ายอย่างชัดเจน
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะข้อมูลที่ส่งมาจากสายลับที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองปรากาศ
เคานต์ลองการ์ดีเป็นขุนนางที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน เขาไม่พอใจที่จะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองลิส ดังนั้นเขาจึงผูกสัมพันธ์กับองค์ชายแปดแลด้วยอิทธิพลขององค์ชายทําให้เขาสามารถเอาชนะพี่ชายสองคนของเขาและได้รับการแต่งตั้งเป็นเคานต์ของเมืองเลบิสในที่สุด
หลังจากเป็นเคานต์แล้ว ความทะเยอทะยานของลองการ์ดีก็ไม่ได้ลดน้อยลงไป เขาต้องการขยายเมืองดังนั้นเขาจึงต้องกําจัดเมืองปรากาซที่อยู่ใกล้เคียง
ตอนนี้แผนการของเขาดําเนินไปอย่างราบรื่น หากแผนการของเขาสําเร็จ เขาก็จะเริ่มทําสงครามและเมืองปรากาซก็จะตกอยู่ในภายใต้การควบคุมของเขา
อย่างไรก็ตาม มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น แม้แต่คนที่มั่นใจอย่างเขาก็เกิดอาหารลังเลขึ้นมาทันที
“ท่านเคานต์ขอรับ”
จากนั้นไม่นานนักเวทย์กลุ่มหนึ่งได้เดินเข้ามาในห้อง
เคานต์ลองการ์ดีเหลือบไปมองและพูดเบา ๆว่า
“พ่อมดเฮกฮาร์ ข้าเพิ่งได้รับข้อความจากสายลับซึ่งทําให้ข้ารู้สึกไม่ค่อยดี มันทําให้ข้าไม่สามารถตัดสินใจ ในขั้นตอนสุดท้ายได้”
“ข่าวอะไรที่ทําให้ท่านเคานต์รู้สึกไม่สบายใจขอรับ?”
พ่อมดเฮกฮาร์ดูสงบราวกับเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสําคัญ ด้วยท่าทางที่มั่นใจของเขาส่งผลให้ความรอบข้างรู้สึกมั่นใจตามเขาไปด้วยและรู้สึกว่าสามารถทําอะไรก็ได้บนโลกใบนี้
“พ่อมดเฮกฮาร์ นักดาบธาตุที่เราส่งไปตรวจสอบเมืองปรากาซทั้งหมดตายแล้ว ศพของพวกเขาอยู่ข้างนอกในตอนนี้”
เคานต์ลองการ์ดีสั่งสัญญาณให้ทหารยาม ทหารยามอุ้มศพเข้ามาข้างใน ร่างกายถูกเผาไหม้จนเกรียมและบิดเบี้ยวจนจําไม่ได้
ในขณะเดียวกันร่างกายบางส่วนสูญเสียแขนขาไปบางส่วนราวกับพวกเขาถูกการโจมตีที่รุนแรง
พ่อมดเฮกฮาร์เหลือบมองร่างเหล่านี้ด้วยรอยยิ้ม “พวกน่าจะถูกคาถาลูกไฟโจมตี นี่คือพลังของนักเวทย์แต่เราทราบมาว่ามีนักเวทย์เพียงสามคนในเมืองปรากาซ พ่อมดแบร์ส พ่อมดเฟรเยอร์และพ่อมดฮิลล์ พ่อมดแบร์สกับพ่อมดเฟรเยอร์ไม่มีคาถาธาตุไฟ มีเพียงพ่อมดฮิลล์เท่านั้นที่สร้างคาถาลูกไฟแต่โครงสร้างเวทมนต์ของเขาไม่เสถียร เขาไม่มีทางร่ายคาถาได้อย่างต่อเนื่อง เขาไม่น่าจะเสี่ยงชีวิตเพียงเพื่อฆ่านักเดาบธาตุที่อยู่นอกเมืองหรอก”
ตามคําพูดของเฮกฮาร์ เป็นการยันยันว่าพวกเขาทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเมืองปรากาซเป็นอย่างดี
หลังจากกล่าวจบ เขาเหลือบไปมองเคานต์ลองการ์ดี
เคานต์ลองการ์ดีส่ายหัวเล็กน้อยและพูดอย่างแผ่วเบาว่า “พ่อมดเฮกฮาร์ คราวนี้ท่านคิดผิด พ่อมดฮิลล์ไม่ใช่คนเดียวที่สามารถร่ายคาถาลูกได้ ในเมืองปรากาซยังมีพ่อมดเมอร์ลินที่ทําได้ดด้วย”
“พ่อมดเมอร์ลิน? ท่านหมายถึงเมอร์ลินที่เข้าร่วมดินแดนมนต์ดํางั้นหรือ?”
ทันใดนั้นแววตาของเฮกฮาร์เป็นประกาย เขาจ้องมองไปที่ลองการ์ดีเฉียบแหลมพร้อมกับนักเวทย์คนอื่น ๆ ทันทีที่ได้ยินชื่อของเมอร์ลิน
เนื่องจากเมอร์ลินได้เข้าร่วมดินแดนมนต์ดําซึ่งเป็นองค์กรเวทมนต์ที่พ่อดมดพเนจรต่างใฝ่ฝันที่จะเข้าร่วมที่นั่นมาตลอดชีวิต
เคานต์เซลินได้ทําข้อมูลรั่วไหลจึงไม่แปลกใจที่ใครหลาย ๆ คนจะทราบเรื่องนี้
“ท่านเคานต์ เมอร์ลินคนที่เข้าร่วมดินแดนมนต์ดําใช่หรือไม่?” พ่อมดเฮกฮาร์ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เคานต์ลองการ์ดียืนยันอย่างเคร่งขรึม “ใช่แล้วและเมอร์ลินกลัยมาแล้ว สายลับที่ข้าให้ประจําการในเมืองปรากาซเห็นเมอร์ลินด้วยตาของตัวเอง”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เยี่ยมไปเลย ฉันไม่คิดว่าเมอร์ลินแห่งดินแดนมนต์ดําจะปรากฏตัวในเมืองปรากาซในช่วงเวลาแบบนี้ด้วย ช่างประจวบเหมาะเสียจริง” พ่อมดเฮกฮาร์เผยรอยยิ้มออกมา
นักเวทย์คนอื่น ๆ ก็คิดแบบเดียวกัน การที่เมอร์ลินกลับมาจากดินแดนมนต์ดําซึ่งมันก็หมายความว่าตัวเขาต้องมีโครงสร้างเวทมนต์ สูตรยาและของอื่น ๆ อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไขว่คว้าหามาตลอดชีวิต ในฐานะพ่อมดพเนจร พวกเขาต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะได้มันมา
บางคนก็กังวลเนื่องจากเมอริ้ลนเป็นถึงนักเวทย์จากองค์กร ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่จะจัดการเขา หากไม่ระวัง พวกเขาอาจเป็นฝ่ายเสียท่าซะเอง
“พ่อมดเฮกฮาร์ ข้าไว้วางใจท่าน เจ้าโง่เซลิน มันคิดว่าแบร์สจะสามารถต่อกรท่านได้ แม้ว่าพวกเขาจะระดมโจมตีพวกเรา มันก็ไม่สามารถทําอะไรพวกเราได้แต่สิ่งที่ข้ากังวลก็คือเรื่องของดินแดนมนต์ดํา ถ้าดินแดนมนต์ดํารู้ว่าเมอร์ลินได้ตายด้วยน้ํามือของเรา นั่นจะทําให้เรามีปัญหา”
ดูเหมือนเคานต์ลองการ์ดีจะมั่นใจในตัวพ่อมดเฮกฮาร์มาก เขากําลังพิจารณาว่าจะจัดการกับดินแดนมนต์ อย่างไรดีหลังที่พวกเขาฆ่าเมอร์ลินไป
หลังจากได้เห็นสีหน้าตึงเครียดของลองการ์ดี พ่อมดเฮกฮาร์ได้เผยรอยยิ้มออกมา
“ดูเหมือนว่าท่านเคานต์จะยังไม่รู้กฎของดินแดนมนต์ดํา ตราบใดที่นักเวทย์ยังไม่สามารถก้าวขึ้นเป็นระดับหนึ่งได้ คน ๆ นั้นก็จะเป็นเพียงสมาชิกชั่วคราวเท่านั้น หากเขาตายทางดินแดนมนต์ดําก็จะไม่สนใจในเรื่องนี้”
เฮกฮาร์ได้หยุดชั่วคราว เนื่องจากสังเกตเห็นว่านักเวทย์คนอื่น ๆ พูดคุยเรื่องโครงสร้างเวทย์มนต์หรือน้ํายาที่จะได้จากเมอร์ลิน เขาแสดงท่าทางดูถูกเหยียดหยามออกมา
“พวกคุณคงจะไม่รู้อะไร สิ่งที่มีค่าที่สุดในตัวเมอร์ลิน ไม่ใช่ทั้งโครงสร้างเวทมนต์หรือน้ํายา มันคือแหวนมนต์ดําที่อยู่ในมือของเขาต่างหาก!
ถ้าเรามีมัน เราก็จะสามารถเข้ารร่วมกับดินแดนมนต์ดําได้ เมื่อฉันฆ่าเมอร์ลินได้เมื่อไหร่ ฉันจะขอรับแหวนวงนั้นและเข้าร่วมกับดินแดนมนต์ดํา!” ดวงตาของเฮกฮาร์เต็มเปี่ยมได้ความคาดกวัง
“แหวนมนต์ดํา? ไม่ใช่ว่าเราได้สังหารสมาชิกของดินแดนมนต์ดําไปก่อนหน้านี้ มันคงจะไม่ง่ายที่พวกเขาจะยอมรับเราเข้าไปในองค์กร”
แม้แต่ลองการ์ดียังสนใจองค์กรนักเวทย์ที่เฮกฮาร์กล่าวถึง
“เป็นคําถามที่ดี ทุกคนที่จะเข้าไปในดินแดนมนต์ดําจะต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียด หากบุคคลนั้นเป็นบุคคลอันตรายจะต้องถูกค้นพบอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หากเป็นพวกเขาเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ เรื่องราวจะแตกต่างออกไป พวกสมาชิกทางการจะต้องลงนามในสัญญากับดินแดนมนต์ดําและจะได้รับการคุ้มครอง หากพวกเขาถูกสังหารทางดินแดนมนต์จะส่งคนไปกําจัดคนร้าย”
ดูเหมือนพ่อมดเฮกฮาร์จะคุ้นเคยกับดินแดนมนต์ดําเป็นอย่างดี
อยู่ ๆ นักเวทย์ร่างผอมได้ถามเสียงต่ําว่า “พ่อมดเฮกฮาร์ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านอธิบายไว้จริง แล้วพวกนักเวทย์ระดับเริ่มต้นของดินแดนมนต์ดําจะไม่เป็นอันตรายหรือที่ออกมาจากเขตแดนของพวกเขา”
นักวเทย์ระดับเริ่มต้นจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากดินแดนมนต์ดํา เมื่อพวกเขาออกมาจากที่นั่นทําให้พวกเขาไม่ต่างจากคลังสมบัติเคลื่อนที่ พวกเขาจะดึงดูดความสนใจของนักเวทย์พเนจรที่ต้องการจะแย่งชิงแหวนมนต์ดําของพวกเขา
พ่อมดเฮกฮาร์ชําเลืองมองนักเวทย์คนนั้นอย่างสงบ จากนั้นเขาก็หัวเราะเยาะ “คุณคิดว่าองค์กรนักเวทย์คืออะไร พวกเขาไม่เคยขาดแคลนนักเวทย์ระดับเริ่มต้น พวกเขาจึงไม่ต้องสนใจว่านักเวทย์เหล่านั้นว่าจะอยู่หรือจะตาย”
ด้วยคําพูดของเฮกฮาร์ทําให้นักเวทย์คนนั้นหนาวสั่นไปทั่วสันหลัง ดูองค์กรนักเวทย์จะไม่ได้ยอดเยี่ยมอย่างที่พวกเขาคิด…