บทที่ 65 บุคคลที่ควรค่าแก่การเชื่อถือ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 65 บุคคลที่ควรค่าแก่การเชื่อถือ

เฉินจื่ออันเหลือบมองผู้ดูแลอู๋โดยไม่พูดอะไรสักคำ

เขารู้ว่าผู้ดูแลอู๋ไม่ใช่คนดี เป็นเพียงคนที่ฉกฉวยผลประโยชน์จากความโกลาหลนี้เท่านั้น

คนแบบนี้คุยด้วยไม่ยากหรอก

“หัวหน้าซู ถึงคราวของคุณที่จะมอบการปันส่วนสาธารณะแล้วใช่ไหม?” เฉินจื่ออันถามซูฉางจิ่วโดยตรง

ซูฉางจิ่วไม่คาดคิดว่าเฉินจื่ออันจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดกับเขาก่อน และครู่หนึ่งเขาก็คิดไม่ตกว่าควรตอบอย่างไรดี

“เป็นอะไรไปหัวหน้าซู อ้าปากพูดมันยากมากหรือ?” เฉินจื่ออันขมวดคิ้ว

เป็นเพราะลุงเขยอาศัยอยู่ในชุมชนการผลิตหงซินหรอก ถึงได้คิดรักษาหน้าให้ซูฉางจิ่ว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะโง่เขลาไปหน่อย!

หรือซูฉางจิ่วรู้สึกว่าตัวเขาคนนี้มีอำนาจไม่เท่าคนปัจจุบันของชุมชนใหญ่?

เป็นไปได้ไหมว่าชื่อเสียงเขามีไม่มากพอ?

ซูฉางจิ่วที่ถูกโต้กลับมา ตนตกใจจึงรีบพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ครับหัวหน้าเฉิน เดิมทีพวกผมมาต่อแถวเป็นอันดับที่สอง แต่แถวของชุมชนการผลิตตงเฟิงหงมีธัญพืชไม่พอ จึงถึงตาของพวกเราแล้วครับ”

เขาจะไม่เข้าใจความหมายของเฉินจื่ออันได้อย่างไร วันนี้อาจจะทำให้ผู้ดูแลอู๋ขุ่นเคือง แต่ถ้ากอดต้นขาหัวหน้าเฉินได้ ผู้ดูแลอู๋ก็ต้องชั่งน้ำหนักมันแล้ว

อย่างที่คาดไว้ สีหน้าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเฉินจื่ออันคุยกับเขา

ก่อนหน้านี้ผู้ดูแลอู๋ได้ยินมาว่าหัวหน้าเฉินเคยไปที่ชุมชนการผลิตหงซินมาก่อน แต่ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับความสัมพันธ์พิเศษใด ๆ ระหว่างหัวหน้าเฉินกับซูฉางจิ่วเลย

เกิดอะไรขึ้น? หัวหน้าเฉินเป็นคนนอกไม่ใช่หรือ? ไม่น่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับชุมชนการผลิตหงซินนี่?

ต่อให้ทำคนอื่นขุ่นเคือง แม้จะเป็นผู้ดูแลฉีมันยังไม่เป็นอะไรมาก แต่ถ้าทำให้หัวหน้าเฉินขุ่นเคืองจะต้องเกิดเรื่องตามมาแน่

ผู้ดูแลอู๋กำลังคิดว่าจะคุยกับเฉินจื่ออันอย่างไรดี แต่ก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้นมา “งั้นก็ตาคุณแล้ว รีบไปจ่ายปันส่วนซะ จ่ายเสร็จก็พาผมไปดูพวกคุณหน่อย”

แม้กระทั่งโอกาสเริ่มประจบยังไม่มีเลย ผู้ดูแลอู๋รู้สึกเสียใจนัก

ถ้ารู้ก่อนคงไม่พูดแบบนั้นออกไปหรอก อย่างน้อยก็แสดงตนให้หัวหน้าเฉินพอใจ ตอนนี้อีกฝ่ายจะโกรธเขาหรือเปล่านะ?

จากนั้นก็ได้ยินชายคนนั้นพูดอีกครั้ง

“ผู้ดูแลอู๋ คุณว่าสิ่งที่ผมพูดมันถูกหรือผิด?”

เฉินจื่ออันพูดไปด้วย มือขวาเลื่อนไปที่ปืนพกตรงเอวด้วย ไม่รู้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ

ผู้ดูแลอู๋มองเห็นอย่างชัดเจนตกใจจนพระพุทธเจ้าองค์แรกดับขันธ์แล้วองค์ที่สองก็ลงมาประสูติ*[1] กลัวว่าตัวเองจะพูดสิ่งที่หัวหน้าเฉินไม่ชอบฟังออกไปแล้วอีกฝ่ายจะดึงปืนออกมา

แล้วเขากล้าโต้กลับเสียที่ไหนก็เลยรีบเข้าไปประจบเฉินจื่ออันท่าทางแตกต่างจากตอนตัวเขามองคนอื่นมาก

“ใช่ครับ ๆ สิ่งที่หัวหน้าเฉินพูดมีเหตุผลมาก หัวหน้าหลี่เอ๋ย รีบเรียกให้ชุมชนการผลิตหงซินไปจ่ายปันส่วนเถอะ ผู้ดูแลซูถึงชุมชนของคุณจะอยู่ไกล แต่ปีนี้คุณได้อันดับหนึ่งมา จิตวิญญาณช่างน่ายกย่องนัก กลับไปเมื่อไรผมจะรายงานผู้ดูแลเฉียนฟังว่า ให้เรียกทุกชุมชนการผลิตมาศึกษาให้เหมือนกับชุมชนของคุณ!”

ผู้ดูแลอู๋เป็นคนไร้ที่ติจริง ๆ ตอนที่พูด แม้แต่เฉินจื่ออันไม่เจอปัญหาอะไร

ซูฉางจิ่วไม่เคยเห็นผู้ดูแลอู๋พูดกับใครบางคนด้วยท่าทีเคารพนับถือแบบนี้มาก่อน ชั่วขณะหนึ่งเขามองผู้ดูแลอู๋เหมือนคนโง่

คนคนนี้คือผู้ดูแลอู๋ที่หยิ่งยโสจริงใช่ไหม?

คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะมีวันที่ได้เห็นผู้ดูแลอู๋พูดกับพวกขาจุ่มโคลนอย่างพวกเขาในชีวิต

ไม่ใช่แค่ซูฉางจิ่วที่โง่เขลา แต่หัวหน้าอู๋แห่งชุมชนการผลิตตงเฟิงยังโง่ด้วย

ในที่สุดชุมชนการผลิตตงเฟิงก็ออกมาพร้อมกับผู้มีอำนาจอย่างผู้ดูแลอู๋ สองปีมานี้ใช้ประโยชน์จากพวกเขาไปไม่น้อย

ครั้งนี้พวกเขาคุยกันแต่เช้าตรู่ว่า ชุมชนการผลิตตงเฟิงจะเป็นอันดับหนึ่ง รอตอนที่ได้รับรางวัลจะขับรถไถออกไปอย่างสง่างาม

ก่อนนี้พูดไว้เสียดิบดี ทำไมผู้ดูแลอู๋ถึงเปลี่ยนใจล่ะ

รถไถของชุมชนการผลิตพวกเรา…

“ผู้ดูแลอู๋ แบบนี้ไม่ดีแล้วกระมัง? ไม่ใช่ว่าพูดกันแล้วหรือ…” หัวหน้าอู๋แห่งชุมชนการผลิตตงเฟิงรีบพูด

ผู้ดูแลอู๋รู้สึกว่าสิ่งเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น จึงรีบขัดจังหวะผู้ดูแลอู๋อย่างรวดเร็ว

ทำไมมีตาหามีแววไม่ขนาดนี้? ดูไม่ออกหรือไงว่าคนตรงหน้าแกเป็นใคร!

“หัวหน้าอู๋ ถ้าอยากได้อันดับหนึ่งนับว่าเป็นความคิดที่ดีแล้ว แต่การที่จะเป็นที่หนึ่งคุณต้องมีจิตวิญญาณแห่งความบากบั่น และมีความกล้าที่จะแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่ง จะคิดถึงสิ่งที่ตนมีหรือไม่มีมันไม่ได้” ผู้ดูแลอู๋พูดกับหัวหน้าอู๋ด้วยความลื่นไหล

ซูฉางจิ่วยิ้มเยาะ เห็นได้ชัดว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างลุงแท้ ๆ กับหลานชาย ทว่ากลับใช้ตำแหน่งผู้ดูและและหัวหน้าเรียกกัน เจ้าเล่ห์เสียไม่มี

แต่ตอนนี้ชุมชนการผลิตของซูฉางจิ่วกำลังจ่ายปันส่วนสาธารณะอยู่ ก็เลยไม่สนใจเรื่องพวกนี้แล้วตรงดิ่งไปทำงาน

หัวหน้าซูตะโกนเสียงดังเพื่อให้สมาชิกของชุมชนเอาธัญพืชออกมา ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น

เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ เฉินจื่ออันไม่ได้ขยับแต่ยืนอยู่ที่ประตูสถานีอาหารแล้วจ้องมองเท่านั้น

“เสี่ยวเถียน หนูเหนื่อยไหม?” เขาไม่ลืมที่จะถามเด็กหญิงด้วยความระมัดระวัง

“คุณลุงเฉิน หนูไม่เหนื่อยเลยค่ะ! นั่งรถไม่เหนื่อยสักนิด!” ดวงตากลมโตคู่งามเป็นประกาย

คุณปู่ซูและลูกชายทั้งสามจากที่ไกล ๆ รู้สึกไม่สบายใจเสมอเมื่อลูกสาวของพวกเขาจับมือกับคนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดกัน จึงมองดูเฉินจื่ออันครั้งแล้วครั้งเล่า

พูดให้ถูกคือ เขามองเฉินจื่ออันที่กำลังจับมือของซูเสี่ยวเถียนอยู่

เหล่าพี่ชายบ้านซูแทบรอไม่ไหวที่จะก้าวไปข้างหน้า และเอาตัวน้องสาวกลับมา

แต่เขายังกลัวความโหดร้ายของเฉินจื่ออันอยู่ จึงทำได้เพียงมองจากที่ไกล ๆ

ผู้ดูแลอู๋อยากจะชวนเฉินจื่ออันนั่งไปที่ชุมชนใหญ่ แต่ดันทำอะไรไม่ถูกเพราะคนตรงหน้าน่ากลัวมากจนไม่กล้าทำอะไรเลย

นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ดูแลอู๋ยืนอยู่ที่ประตูสถานีอาหาร ท่าทางเหมือนนกกระทา

เขาอึดอัดมาก แต่ไม่สามารถไปไหนได้

กระทั่งลังธัญพืชกล่องสุดท้ายขึ้นชั่งเสร็จ เฉินจื่ออันก็หันกลับมาพูด “ไปกันเถอะผู้ดูแลอู๋ พาผมไปพบผู้ดูแลเฉียนที!”

เขาไม่ได้วางแผนที่จะพบอีกฝ่าย แต่เรื่องของวันนี้จะถูกตัดสินโดยผู้ดูแลเฉียนเท่านั้น

หากสุดท้ายมีเรื่องเกิดขึ้น เฉินจื่ออันก็เป็นคนเอาหน้าเช่นกัน และใบหน้านี้ก็ไม่มีใครมาลูบไล้ได้!

เขาจับมือของซูเสี่ยวเถียนและกำลังจะมุ่งหน้าไปทางชุมชน พลันเห็นผู้ดูแลเฉียนรีบวิ่งเข้ามาหาเสียก่อน

ผู้ดูแลเฉียนเป็นชายร่างท้วมมาก อายุประมาณห้าสิบปี ตอนนี้เขากำลังวิ่งสุดแรง ร่างกายสั่นสะท้าน มีเหงื่อเต็มหน้าผาก

ซูเสี่ยวเถียนสงสัย ทำไมคนคนนี้วิ่งเร็วจัง? มีหมาป่าไล่หลังอยู่หรือ?

“หัวหน้าเฉิน ท่านมาได้อย่างไรครับ? ทำไมไม่เห็นมีใครพูดอะไรก่อนหน้านี้เลย พวกผมจะได้ต้อนรับให้ดี!” ผู้ดูแลเฉียนปาดเหงื่อจากหน้าผากด้วยแขนเสื้อ หอบหายใจหนัก

เฉินจื่ออันพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “เดิมทีจะไปเยี่ยมญาติ แต่ใครจะรู้เล่าว่าพอมาถึงบังเอิญเจอเรื่องบางอย่างเข้า จึงคอยดูแลอยู่สักพัก ขอผู้ดูแลเฉียนว่าอย่าโทษผมที่ทำหน้าที่แทนเลยนะ!”

คำพูดดูอ่อนน้อมถ่อมตน แต่กลิ่นอายก็พอทำให้ผู้ดูแลอู๋หวาดกลัวจนรู้สึกไม่มั่นคง

หัวหน้าเฉินจะเป็นคนที่เอาไปฟ้องไหม? ยืนยันเลยว่าเรื่องวันนี้ผู้ดูแลเฉียนยังไม่รู้!

ผู้ดูแลเฉียนมองไปที่ผู้ดูแลอู๋ที่มือไม้อ่อนแรงข้าง ๆ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าชายไร้สมองคนนี้เป็นคนสร้างปัญหา

เขาจ้องเขม็งไปที่ผู้ดูแลอู๋

ก่อเรื่องไว้แล้วยังไม่รู้จักดูอีก ตามีแววบ้างไหม? ไม่รู้เรื่องว่าคนตรงหน้าคือเทพแห่งโรคระบาด?

ผู้ดูแลอู๋รู้สึกผิดมาก เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าชุมชนการผลิตหงซินมีความเกี่ยวข้องกับหัวหน้าเฉิน?

แต่หัวหน้าเฉินคนนี้เป็นคนต่างถิ่นไม่ใช่หรือ? แล้วจะมีความสัมพันธ์กับคนในชุมชนการผลิตหงซินได้อย่างไร?

“หัวหน้าเฉินครับ มันเป็นความผิดของพวกเราเองครับ เป็นเพราะพวกเราไม่ประจำการ ต้องแก้ไข ต้องแก้ไข! เป็นพระคุณของคุณมาก อย่าใส่ใจพวกหนอนแมลงเช่นพวกเราเลยครับ!”

“ผมก็ไม่อยากใส่ใจเหมือนกันนะ แต่ว่า…” เฉินจื่ออันพูดครึ่งเดียว และประโยคต่อจากนั้นเป็นคำว่า ‘แต่ว่า’ ซึ่งทำให้หัวใจของทุกคนบีบรัด

“ผู้ดูแลเฉียน ผมไม่คิดปิดบังคุณหรอกนะ แต่ในช่วงแรก ๆ มีจากคนชุมชนการผลิตหงซินจิตใจดี ช่วยเหลือคนเอาไว้ได้ และผมก็ได้รับความไว้วางใจด้วย”

ขนาดพูดแค่ครึ่งเดียว ทั้งยังไม่ได้พูดช่วยใครด้วย ผู้ดูแลเฉียนกลับกลัวแทบตาย!

พวกเขารู้ดีว่าใครอยู่เบื้องหลังหัวหน้าเฉิน