บทที่ 68 เกิดเรื่องขึ้นกับบริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ป

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีขยับริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาในเวลาต่อมา “แต่ทำไมฉันไม่รู้เลยแม้แต่น้อย?”

“คุณไม่รู้อยู่แล้วล่ะ เพราะยังไม่ทันได้บอกคุณ คุณก็……”

“นัทธี!” พิชญาตัดบทของเขาขึ้นมาในทันที

เธอไม่สามารถให้เขาพูดได้ว่าวารุณีจะหลบหนีไปกับผู้ชายคนอื่นไปแล้ว

เมื่อเป็นแบบนี้ คำโกหกนั้นก็ถือว่าจะถูกเปิดโปงแล้วไม่ใช่เหรอ?

เมื่อคิดไป พิชญาก็ดึงแขนเสื้อของนัทธี ก็มีสีหน้าซีดลง ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “นัทธี เรื่องที่ผ่านไปแล้ว พวกเราไม่พูดอีกแล้วได้ไหม ตอนนี้คนที่คุณหมั้นด้วยก็คือฉัน ฉันสิถึงเป็นคู่หมั้นที่จะจัดงานหมั้นกับคุณ!”

นัทธีถกแขนเสื้อขึ้นพลางขมวดคิ้ว “คู่หมั้นของฉันเป็นคุณอยู่แล้ว แต่!”

เขาก้มมองเธอ “นี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ฉันจะให้คุณ ถ้าคุณทำเรื่องอะไรแบบนี้อีก ถึงห้าปีก่อนคุณจะช่วยฉันเอาไว้ แต่ฉันก็จะยกเลิกการหมั้นหมายกับคุณอยู่ดี”

“โอเคๆ ฉันจะไม่ทำผิดอีกแล้ว ฉันจะไม่มีทางทำอะไรผิดอีกแล้ว ฉันสาบาน!” พิชญารีบชูสามนิ้วขึ้นมา

วารุณีแอบเบ้ปากอย่างเงียบๆ

เธอไม่มีทางเชื่อคำพูดหลอกลวงของพิชญา

เธอเปิดโปงตัวตนที่พิชญาใส่ใจมากที่สุดออกไปต่อหน้าทุกคนแล้ว พิชญาจะไม่อยากกำจัดเธอได้อย่างไร?

ขณะที่กำลังคิดอยู่ มือถือของพิชญาก็ดังขึ้น

เธอเช็ดน้ำตา ก่อนจะหยิบมือถือมารับสาย “พ่อ”

“พิชญา แย่แล้ว มีคนร้องเรียนบริษัท บอกว่าคุณภาพสินค้าของพวกเราไม่ได้มาตรฐาน แถมยังขาดส่งภาษีและบัญชีปลอมรั่วไหลออกมาด้วย ตอนนี้มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังมาตรวจสอบแล้วล่ะ”

“อะไรนะ?” พิชญาร้องออกมาด้วยความตกใจ

วารุณีกับนัทธีมองตากันเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้เธอตื่นตระหนกได้ขนาดนั้น

“ใครร้องเรียนงั้นเหรอ?” พิชญารีบถามพลางกำมือถือแน่น

“พ่อไม่มั่นใจถึงได้โทรหาหนูไงล่ะ หนูถามนัทธีแทนพ่อให้หน่อย ว่าช่วยอะไรได้ไหม” สุภัทรพูดด้วยน้ำเสียงร้อนใจจนจบก่อนจะวางสายไป

พิชญาวางมือถือลง “นัทธี เกิดเรื่องกับพ่อฉันแล้ว”

เธอบอกเรื่องที่เพิ่งคุยทางโทรศัพท์ไป

วารุณีขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะหัวเราะพรวดออกมา

ก่อนหน้านี้บริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ป มีแม่เธอคอยช่วยบริหาร เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นที่ไหนกัน

ตอนนี้ไม่มีแม่ของเธอแล้ว ก็เกิดปัญหามากมายขึ้นมาทันที ขนาดเรื่องการขาดจ่ายภาษีกับบัญชีปลอมยังมีเลย ไม่แปลกเลยที่ผ่านไปเจ็ดปี บริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปยังไม่มีการพัฒนาอะไรเลย

“ฉันจะช่วยคุณตรวจสอบว่าใครร้องเรียนบริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปของพวกคุณ” นัทธีปัดแขนเสื้อที่ถูกพิชญาจับเมื่อครู่ ก่อนจะเปิดปากพูดเบาๆ

จากนั้นก็ไม่รอให้พิชญาดีใจ เพราะเขาพูดต่อว่า “แล้วถ้าหาเจอแล้วล่ะ?”

“หมายความว่าอย่างไร?” พิชญาตกใจอึ้งไป

วารุณีหัวเราะออกมา “ประธานนัทธีหมายความว่า ถึงจะหาเจอว่าใครเป็นคนร้องเรียน แต่ว่าผลกระทบอันหนักหนาสาหัสที่เกิดขึ้นกับบริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปในครั้งนี้ก็ไม่มีทางดีขึ้น การขาดจ่ายภาษีกับบัญชีปลอมนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ มันคือการทำผิดกฎหมาย ถ้าพ่อไม่อยากติดคุกก็ต้องคืนภาษีเป็นเท่าตัว แต่ว่าถ้าเป็นแบบนี้บริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปก็คง……”

ส่วนคำพูดประโยคต่อไปนั้น เธอไม่มีอะไรจะพูดต่อแล้ว

แต่ว่าพิชญาเข้าใจดี ว่าการชดเชยภาษี บริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปก็ไม่มีเงินเหลือแล้ว ซึ่งก็อาจจะเข้าสู่ความล้มละลาย!

ไม่ จะล้มละลายไม่ได้เด็ดขาด กว่าเธอจะมาอยู่แทนวารุณี แล้วได้เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลศรีสุขคํามันไม่ง่ายเลย ถ้าเกิดตระกูลศรีสุขคําล้มละลาย เธอก็ไม่เหลืออะไรแล้ว!

“นัทธี คุณจะช่วยฉันใช่ไหม?” พิชญาจ้องนัทธีไม่ห่าง

นัทธีเอามือใส่เอาไว้ในกระเป๋ากางเกง “คุณบอกฉันมาสิว่าจะช่วยอย่างไร?ถึงสุภัทรจะคืนภาษีจนหมดจนไม่ต้องเข้าคุก แต่ว่าเขาก็เป็นคนไม่มีเครดิตแล้ว แถมยังอาจจะถูกจดบันทึกเอาไว้ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหนึ่ง ถ้าเกิดว่าฉันช่วยเรื่องการเงินกับเขา บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปเองก็จะถูกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเหล่านั้นจับตามองด้วย ฉันไม่มีทางเสี่ยงหรอกนะ”

นัทธีปฏิเสธไปอย่างจัง จนทำให้พิชญาใจเย็นวาบ

มีเพียงวารุณีที่ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร

เรื่องนี้ ไม่ต้องพูดถึงนัทธีหรอก ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะไม่ช่วย

ทุกคนไม่ได้โง่ จะทำเพื่อบริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปได้อย่างไร มันเป็นการทำให้คนอื่นหันมาจับตามองบริษัทของตัวเอง!

แต่พิชญากลับไม่ยอมแพ้ เลยร้อนใจจนน้ำตาไหลออกมา “นัทธี คุณเป็นคู่หมั้นของฉันนะ คุณไม่รักษาน้ำใจขนาดนี้ได้อย่างไร?”

“ไม่ช่วยก็ถือว่าไม่รักษาน้ำใจงั้นเหรอ?” นัทธีเบ้ริมฝีปากบางด้วยความเย็นชา “งั้นฉันถามคุณหน่อย ถ้าเกิดว่าเกิดเรื่องกับบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป แล้วบริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปของพวกคุณจะมาช่วยไหม?”

“นี่……” คำถามนี้ ทำให้พิชญาถามอะไรไม่ออกอีก ปากก็ขยับเล็กน้อย แต่กลับตอบอะไรไม่ได้อีก

นัทธีนั้นพูดจาแดกดันเล็กน้อย “คุณดูสิ มันก็เห็นปลายทางกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่นะ นัทธี ไม่ใช่แบบนั้น ถ้าเกิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป พวกเราจะต้องช่วยแน่ แต่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปไม่เคยเกิดเรื่องอะไรไม่ใช่เหรอ” พิชญาก้มหน้าลง ก่อนจะพูดด้วยแววตาเป็นประกาย

วารุณีขำพรวดออกมา “ผู้จัดการพิชญาหมายความว่า บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปไม่เคยให้โอกาสบริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปในการช่วยใช่ไหม?”

“หุบปากไปเลยนะ คุณไม่พูด ก็ไม่มีใครในที่นี่คิดว่าคุณเป็นใบ้หรอก!” พิชญาตะคอกพลางจ้องเธอด้วยความดุร้าย

วารุณียกมือขึ้นพลางทำไม่รู้ไม่ชี้สนใจ “ไม่พูดก็ได้”

เมื่อพูดจบ เธอก็หุบปากลงจริงๆ พลางยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ

นัทธีถูจมูกเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงทุ้มออกมา “โอเค คุณกลับไปเถอะ สุภัทรเองก็คุมบริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปมาหลายปีแล้ว ฉันเชื่อว่าเขาคงจะไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีอะไรเลย”

“แต่ว่า……”

พิชญายังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

นัทธีขมวดคิ้วแน่น

พิชญาไม่ได้พูดอะไรออกมา เลยกัดฟันด้วยความโกรธแค้น ก่อนจะเดินออกจากห้องประชุม

หลังจากที่เธอไปแล้ว นัทธีเอามือถือออกมา แล้วก็โทรหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อถามว่าใครเป็นคนรายงานบริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ป

จากนั้น เขาก็วางมือถือลง พลางมีคำตอบอยู่ในมือแล้ว

วารุณีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะมองนัทธีพลางถาม “ประธานนัทธี ใครงั้นเหรอ?”

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนร่ำรวยของตระกูลศรีสุขคําแล้ว

แต่ว่ามีของเธอก็มีส่วนในบริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปด้วย เธอไม่สามารถไม่สนใจได้

นัทธีผลุบตาลงต่ำก่อนจะตอบออกมาเสียงเบา “เป็นแฮ็กเกอร์มากฝีมือคนหนึ่ง”

“แฮ็กเกอร์งั้นเหรอ?” วารุณีพูดเสียงดังขึ้น ก่อนจะเบิกตาโพลง

ไม่มีทางหรอก!

“ทำไม คุณรู้เหรอว่าเป็นใคร?” ท่าทีของเธอนั้นมันชัดเจนมากเลย นัทธีเลยหรี่ตาลง ก่อนจะรู้สึกสงสัยขึ้นมา

วารุณีลูบปลายจมูกเล็กน้อย “อือ ฉันพอจะรู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ให้อภัยฉันด้วยนะที่ฉันไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใคร”

เรื่องที่อารัณมีวิชาแฮ็กเกอร์ขั้นสูงนั้น เธอไม่คิดจะให้เขารู้ แต่เขานั้นเป็นพ่อแท้ๆ ของอารัณ เพราะยิ่งคนรู้น้อย ก็ยิ่งปลอดภัยกับอารัณมากขึ้นเท่านั้น

ถึงอย่างไรอารัณก็ยังอายุไม่ถึงห้าขวบ ถ้าเกิดถูกคนใช้ประโยชน์ไปจะทำอย่างไร!

นัทธีไม่รู้ว่าวารุณีกำลังกังวลอะไรอยู่ ในใจก็ไม่ค่อยพอใจความปิดบังของเธอเท่าไหร่ เลยพูดเสียงเย็นชาไปมาก “คุณไม่พูดก็ได้ แต่ว่าฉันอยากรู้ ว่าทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วย?”

“เขาอยากจะช่วยฉันแก้แค้น” วารุณีกุมขมับอย่างจนปัญญา ในแววตานั้นกลับมีความเอ็นดู “เขารู้ว่าฉันถูกสุภัทรทำร้าย และถูกพิชญาใส่ร้าย ดังนั้นเลยอยากสั่งสอนพวกเขาเล็กน้อย”

“ดูเหมือนเขาจะใส่ใจคุณมากเลยนะ” นัทธีมีมุมปากหนักใจลง พลางพึมพำเสียงเย็นชาออกมา

วารุณียิ้มตอบรับ “ใช่แล้วล่ะ”

นัทธียิ่งไม่สบายใจมากกว่าเดิม เลยเดินออกไปด้วยความมืดมนทั้งเนื้อทั้งตัว

วารุณีเพิ่งจะมีสติรู้ตัวว่าเขาเหมือนกับว่ากำลังโกรธ แต่กลับไม่รู้ว่าเขากำลังโกรธอะไร?

ตกบ่าย วารุณีไปรับลูก เมื่อเด็กทั้งสองคนเห็นเธอ ก็รีบวิ่งมาหาเธอ ก่อนจะกอดขาคนละข้าง “หม่ามี๊”

“เด็กดี!” วารุณีลูบหัวของเด็กทั้งสองคน ก่อนจะจูงพวกเขาลงมาจากแท็กซี่

บนรถ อารัณมองเธอตาปริบๆ “หม่ามี๊ วันนี้เห็นเซอร์ไพรส์ของหนูหรือยัง?”