ฉินจิ่วเกอเริ่มตระเตรียมสัมภาระอีกครา พร้อมออกท่องผจญภัย

เป็นศิษย์พี่ใหญ่นี่ช่างยากลำบากจริงๆ รอจนพระเอกของเราฟื้นขึ้นมา หากไม่มอบศิลาวิญญาณให้มันสักหลายล้าน เท่ากับติดหนี้มันไม่อาจชดใช้

เฝ้าวนเวียนวอแวกับศิษย์น้องเล็กราวกับกาวตราช้าง จากนั้นไปลับฝีมือฝึกปรือชีวิตขึ้นๆ ลงๆกับเจ้าอ้วนน่าตาย ร่ำสุราสนทนาเรื่องราวกับสวีเซิ่ง

จุดหมายปลายทางครั้งนี้ห่างไกลจากที่ตั้งพรรคหลิงเซียวค่อนข้างมาก อาวุโสสองแวะมาเยี่ยมเยียน คิดถ่ายทอดวิชาทักษะยุทธ์เพื่อเอาชีวิตรอดแก่ฉินจิ่วเกอ เกรงว่าจะไปประสบชะตากรรมที่เบื้องนอก

ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า สามารถเป็นฝีมือใช้เพื่อหลบหนีเอาชีวิตรอด เช่นใช้กรงเล็บคว้าจับวัตถุในรัศมีพันเมตร จากนั้นดึงร่างตนเองหลบหนีผ่านไป ร่วมกับเคล็ดท่าร่างมารมายาที่ร้อยเปลี่ยนพันแปลง นับว่าเหมาะเจาะพอดีอย่างที่สุด

อาวุโสสองดุดันยิ่ง ด้วยเกรงว่ามากไปกลับย่อยไม่หมด จึงเสนอทักษะยุทธ์แก่ฉินจิ่วเกอหนึ่งวิชา บอกว่าต้องการวิชาประเภทใดสามารถบอกกล่าวได้เลย

น่าเสียดายเคล็ดกำลังภายใน ฉินจิ่วเกอมีลักษณะพิเศษ คนฝืนเลือกสรรเคล็ดกำลังภายในระดับห้ามาหนึ่งเล่ม วิชาที่เหมาะสมกับคุณสมบัติของมัน ในพรรคหลิงเซียวยังไม่มี

ฉินจิ่วเกอครุ่นคิดใคร่ครวญอย่างหนัก จำได้ว่ามีอาวุโสท่านหนึ่งเคยกล่าว ต่อยตีสู้ไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ถ้าหนียังหนีไม่รอด เช่นนั้นก็สมควรตาย

“ข้าอยากเรียนทักษะยุทธ์สำหรับหนีเอาชีวิตรอด จะดีที่สุดหากหลบหนีขี่ม้าไม่เหลียวหลัง ก้นบิดอุจจาระเล็ด ” ฉินจิ่วเกอกล่าวอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง

อาวุโสสองหน้าบิดหน้าเบี้ยว! ประเสริฐ ยังไม่ทันต่อยตีก็คิดหนีทัพแล้ว หรือว่าฮวงจุ้ยพรรคหลิงเซียวตกต่ำย่ำแย่ลงถึงขั้นเกินเยียวยาแล้ว?

ฉินจิ่วเกอสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย เร่งกล่าวแก้ “อ่า ศิษย์คิดร่ำเรียนทักษะยุทธ์ที่เน้นการป้องกัน สามารถจู่โจมและหลบหลีกได้พร้อมกัน ถ้าจะให้ดี เวลาคับขันสามารถให้ศิษย์ใช้กลยุทธ์ถอยมาตั้งหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

อาวุโสสองนัยน์ตาแย้มยิ้ม แม้ว่าสรุปแล้วคุณสมบัติไม่แตกต่าง ทว่าเมื่อเปลี่ยนคำพูดคำจา ฟังแล้วค่อยเป็นวาจาของผู้คนขึ้นมาบ้าง

“ข้ามีวิชาหนึ่ง แม้เพียงเป็นทักษะระดับหก ทว่าท่าร่างพิสดารยิ่ง ค่อนข้างเหมาะสมกับเจ้า เรียกว่าหมื่นบรรพตค้ำสมุทร สามารถเพิ่มพูนพละกำลังราวขุนเขาหมื่นจินได้ในพริบตา ใช้โจมตีอีกฝ่ายโดยไม่ทันตั้งตัว ศัตรูจะไม่อาจรับมือได้ในระยะเวลาสั้นๆ ถือเป็นทัพพิสดาร”

“หมื่นบรรพตค้ำสมุทร?”

ฉินจิ่วเกอเลียริมฝีปากอย่างตื่นเต้น ดวงตาเบิกกว้าง น่าสนใจยิ่ง

ยามลงมือ หากจู่ๆ กระบวนท่าพลันเพิ่มพูนพลังนับหมื่นจิน อีกฝ่ายถูกกดดันจนแตกตื่นลนลานไม่อาจตั้งตัวรับมือได้ จากนั้นซ้ำเติมด้วยฝ่ามือกิเลนครองฟ้า ถือว่าปิดจ็อบ

นอกจากนั้น ยามหลบหนีเอาชีวิตรอด หากถ่วงเวลาอีกฝ่ายได้หนึ่งวินาที ก็เป็นโอกาสรอดชีวิตอันหายากสุดเปรียบแล้ว

“มีความหมาย ข้าเรียนวิชานี้ล่ะ!” ฉินจิ่วเกอตัดสินใจ

“จะไม่ลองคิดดูใหม่เลยรึ ตัดสินใจแน่นอนแล้ว?”

“แน่นอน หากไม่ได้เรียนข้าจะอดข้าวประท้วง”

“ดี มีความตั้งใจ! นี่คือคัมภีร์ของทักษะหมื่นบรรพตค้ำสมุทร”

“ว่าซั่น หนาปานนี้ กว่าจะดูหมดคงต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ”

คัมภีร์เล่มหนาเหมือนพจนานุกรม กว้างยาวราวกับหน้าม้าๆ ของอาวุโสสอง ฉินจิ่วเกอรู้สึกกดดันยิ่ง

อาวุโสสองสูงส่งไร้คู่ต่อกร เอ่ยอย่างหนักแน่น “ข้าใช้เวลาอ่านสามปี ฝึกสามสิบปี จึงสามารถฝึกฝนถึงขอบเขตขั้นสมบูรณ์ ลงมือไม่ขยับตัว หนึ่งกระบวนท่าหนักสิบหมื่นจิน เพียงชั่วกะพริบตาสามารถสะกดกลั่นดวงธาตุขั้นหกในหนึ่งกระบวนท่า”

“เจ้ายังมีเวลาสามวัน สามวันนับจากนี้ จงไปตามหานาวาเรืองปัญญา เมื่อไปถึงเมืองเทียนเอิน เจ้าคงยุ่งวุ่นวายจนไม่เป็นอันทำอะไร ”

อาวุโสสองพยายามยัดเยียดเนื้อหาสาระสำคัญของวิชา ส่วนฉินจิ่วเกอมีปัญญารับไว้เท่าไหร่นั้น เวลาแค่สามวัน เกรงว่าแค่ท่องจำไว้ยังไม่ง่าย

ฉินจิ่วเกอรู้สึกว่าอาวุโสสองมีเจตนาขุดหลุมดักมัน อาจารย์ของมันเองก็เช่นกัน

เมืองเทียนเอิน เป็นสถานที่ที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายที่สุดในทวีปฉงหลิง ประชากรแปดล้านคน ตั้งอยู่ใจกลางแผ่นทวีป กั้นขวางสามเผ่ามนุษย์อสูรมาร

สี่พรรคใหญ่เผ่ามนุษย์เอง เมื่ออยู่ ณ ที่นั้น อิทธิพลอำนาจยังลดราคาลงหลายส่วน ที่นั่นไร้ซึ่งกฎหมาย ไม่มีกฎเกณฑ์ กำปั้นคือความสามารถที่แท้จริง กำปั้นคือทั้งหมดทั้งมวล

กล่าวอีกอย่าง มหาโจรหลิวเชียน แทรกตัวเข้าไปอยู่ภายในกลุ่มมนุษย์เมืองเทียนเอิน แม้แต่ตัวมันเองยังกลายเป็นแค่โจรกระจอก

กฎสรรพสิ่งไม่อาจกล่าว ทว่าท่ามกลางมหาชนแปดล้าน มดหนูมังกรปะปนในพื้นที่ กลั่นดวงธาตุล้วนมีไม่น้อย

คนทั้งสามเผ่า หากไม่มีเหตุจำเป็น ล้วนไม่กล้ามุ่งหน้าเข้าสู่เมืองเทียนเอิน เป็นที่รู้ได้ถึงกิตติศัพท์

ในที่นั้น สงครามการเข่นฆ่าล่าล้างไม่จบสิ้น ได้แต่ต้องร่ำร้องวิงวอนต่อสวรรค์ เรียกหาดินดินไม่รับ เรียกหาฟ้าฟ้าไม่ขาน

นาวาเรืองปัญญาของผู้เฒ่าเรืองปัญญา สามร้อยปีมานี้จอดอยู่ที่ตำบลใจกลางเมืองเทียนเอิน

และเจตนาของอาวุโสใหญ่ กลับต้องการให้ฉินจิ่วเกอไปเยือนรอบนอกเมืองเทียนเอิน

หลังจากไปถึงรอบเมืองเทียนเอินแล้ว ค่อยสมทบกับอาวุโสใหญ่อีกครั้ง ใช้ท่าหิ้วลูกเจี๊ยบ พาศิษย์รักของมันสู่ใจกลางเมืองเทียนเอิน ขึ้นสู่นาวาเรืองปัญญา

พฤติการณ์ที่ขุดหลุมฝังศิษย์ตนเองนี้ นับว่าไม่อาจยอมรับได้จริงๆ

ผู้เฒ่าเรืองปัญญา กิตติศัพท์ของมันคือยอดคนที่ไอคิวและอีคิวสูงส่งที่สุดในทวีปฉงหลิง นอกเหนือจากบรรพชนวิญญาณ

ตลอดชีวิตโดดเดี่ยวแสวงหาความแพ้พ่าย เพียงต้องการหาผู้สามารถโค่นล้มมันลงได้

นับแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน ผู้ที่ขึ้นสู่นาวาเรืองปัญญาเพื่อขอผลอู๋เลี่ยงไม่ต่างจากฝูงปลาข้ามแม่น้ำ ทว่าผู้ที่สามารถขึ้นไปล้วนนับนิ้วได้

เคยมีนักปรุงยาขั้นแปดประกาศ ผู้ใดสามารถนำผลอู๋เลี่ยงสดๆมาให้มันวิจัยได้ อยากจูบอยากกอดล้วนได้ทั้งนั้น เห็นได้ชัดว่าผลนี่มีความสำคัญปานใด

เมืองเทียนเอิน เป็นสถานที่อันตรายและวุ่นวายที่สุดในทวีปฉงหลิง กลั่นดวงธาตุมิใช่ผู้ชี้ขาด ทุกวี่วันล้วนมีขุมกำลังแจ้งเกิดและร่วงหล่น

ผู้เฒ่าเรืองปัญญา ทั่วทั้งทวีปนี้คือผู้ที่อยู่มานานที่สุด รับประทานมากที่สุด ศีรษะโตที่สุดและยังมีชีวิตอยู่

ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของฉินจิ่วเกอ คือขุนเขาไพศาลสองลูก

น่าเสียดายที่มันคิดอยากปีนเขามือเปล่า เพียงเกรงว่าหินภูเขาจะทิ่มนิ้วยับเยิน

แน่นอน คิดเข้าสู่นาวาเรืองปัญญา มิใช่วาจาไร้สาระ

หากปริศนาที่ถามถูกผู้เฒ่าเรืองปัญญาตอบได้ ต้องกลายเป็นผู้รับใช้ในนาวาเรืองปัญญาหนึ่งร้อยปี

เคยมีผู้ถามปัญหาผู้เฒ่าเรืองปัญญา ถามว่าบนท้องฟ้ามีดาวกี่ดวง

ผู้เฒ่าเรืองปัญญากล่าวตอบ บนร่างเจ้ามีขนกี่เส้น ดวงดาวก็มีเท่านั้น

ดังนั้น มันถอนขนอีกฝ่ายออกมาทั้งร่างทีละเส้นทีละเส้น

เห็นได้ว่าผู้เฒ่าเรืองปัญญามิใช่คนเมตตากรุณา ที่แน่ๆ ไม่ใช่พวกประเภทเรียกคนไปทำร้ายบ้านช่องตนเองแน่

อาวุโสใหญ่มองการณ์ไกลนัก หากไม่อาจตอบคำถามของผู้เฒ่าเรืองปัญญา ต้องกลายเป็นบ่าวรับใช้บนนาวาหนึ่งร้อยปี น่าอนาถปานไหน

แบกหม้อก้นดำเป็นข้า ไปหาที่ตายเป็นเจ้า อาวุโสใหญ่จึงไม่รีรอ สุมภารกิจประเภทนี้ใส่ศีรษะลูกศิษย์โดยไว

ฉินจิ่วเกอแน่นอนว่าไม่ทราบโทษทัณฑ์ของการพ่ายแพ้ คิดว่าเป็นแค่การประลองเชาวน์ปัญญา มาเที่ยวเล่นเท่านั้น

ทางหนึ่งฝึกปรือหมื่นบรรพตค้ำสมุทร ทางหนึ่งขัดเกลาสติปัญญาของตนเอง มันเกิดมาสามภพ ต้องหาปัญหาที่ยุ่งยากหน่อยแล้ว

ถ้าหากดันไปถามปัญหาไร้สาระ ประเภทผู้เฒ่าท่านทำไมอายุยืนอะไรเทือกนั้น ดีไม่ดีจะถูกผู้เฒ่าเรืองปัญญาจับถอนขนจนหมดตัวเอา

ศิษย์พี่ใหญ่ ย่อมต้องเป็นบุคคลตัวอย่างแก่ทั้งพรรคหลิงเซียว

ครั้งที่หนึ่ง เอาชีวิตเข้าเสี่ยงในป่าปีศาจสวรรค์ หลุดสู่มหาสงครามมิติบรรพกาล

ครั้งที่สอง งานเลี้ยงสังหารที่เหลาไกรสร ทลายวงล้อม สัประยุทธ์ในตำหนักสุสาน

ครั้งที่สาม เข้าเมืองเทียนเอิน ขึ้นนาวาเรืองปัญญา

ฉินจิ่วเกอหากอยู่จนแก่ สามารถเขียนออกมาเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง เรียกว่า <ร้อยกรรมวิธีทดสอบ ใช่หรือไม่ใช่พระเอก> ย่อมต้องได้รับการตอบรับอย่างมหาศาลจากมวลมหาประชาคนข้ามภพทั้งหลายแน่

ฉินจิ่วเกอกำลังจะออกจากพรรคหลิงเซียวเพื่อผจญบนเส้นทางสายใหม่ อาวุโสใหญ่มาส่งก่อนทิ้งข้อความ “ศิษย์รัก อาจารย์จะล่วงหน้าไปรอเจ้าที่เมืองล่วนโต้ว เจ้าตามมาให้เร็วด้วย”

เมืองล่วนโต้ว คือเมืองรอบนอกของเมืองเทียนเอิน สภาพการณ์เองก็ยุ่งเหยิงวุ่นวาย แม้ไม่ได้ดุดันรุนแรงเหมือนเทียนเอิน แต่ก็นับเป็นสถานที่อึกทึกวุ่นวายที่ทุกผู้คนบนทวีปฉงหลิงล้วนยอมรับ

อาวุโสใหญ่ไม่สามารถร่วมทางไปกับฉินจิ่วเกอได้

มันคิดทดสอบศิษย์ของมันเล็กน้อย ดังนั้น ตั้งอกตั้งใจปล่อยให้ฉินจิ่วเกอเดินทางไปยังเมืองล่วนโต้วเพียงลำพัง

แน่นอน นี่ไม่นับรวมว่าอาวุโสใหญ่วิตกกังวลถึงภาระค่าใช้จ่ายของการเดินทางของคนสองคนย่อมมากมายมหาศาล

หากมีคนเดียว เงินทองที่ต้องจ่ายออกสามารถประหยัดไปได้อีกมาก

“เอาล่ะ ระวังตัวเองดีๆ ข้าไปแล้ว!”

อาวุโสใหญ่สะกิดเท้า คนทะยานสู่ฟ้า

“ร้ายกาจ เทพยดาเดินดินล้วนเหาะเหินเดินอากาศ” ฉินจิ่วเกอมองตามขึ้นฟ้า จากนั้นได้แต่ต้องก้มหน้าลง สาวเท้าก้าวเดินไปตามพื้น

น่าอนาถาจริงๆ เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียว ความปลอดภัยอะไรนั่นไม่มีความหมาย สุดท้ายก็ต้องเดินเท้าไปยังเมืองล่วนโต้วด้วยตนเอง

ได้แต่ปลอบประโลมตนเอง ครั้งนี้คือการออกเดินทางเพื่อกอบกู้ประเทศประชาชนใต้หล้า ไม่คิดเลยว่าต้องมาตกต่ำถึงเพียงนี้ เป็นคนดีนี่มันยากเย็นจริงๆ!

อาวุโสใหญ่พุ่งทะยานท่องเมฆาขาวท้องฟ้ากว้าง ไม่อาจเห็นร่องรอยตั้งนานแล้ว ฉินจิ่วเกอก้าวเดิน ผ่านเมืองที่ใกล้ที่สุดกับพรรคหลิงเซียว เมืองซวนอู่

กองคาราวาน คือเส้นโลหิตที่เชื่อมต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์มารอสูรทั้งสาม ขอบฟ้าสุดมหาสมุทร ไม่มีที่ใดที่พวกมันไปไม่ถึง

ไม่ว่าสถานที่นั้นเสี่ยงภยันตรายมากมายปานไหน ขอเพียงมีกำไรให้ค้นหา ย่อมต้องมีกองคาราวานยาวเหยียดออกเดินทางไปไม่เกี่ยงกลางวันกลางคืน

ฉินจิ่วเกอคาดคิดคำนวณ ตนเองไปเมืองซวนอู่ก่อนเพื่อหากองคาราวานที่กำลังหาคน มิเช่นนั้นไม่ทันถึงเมืองล่วนโต้วก็คงหลงทางตั้งแต่แรก

พอดีว่า ในเมืองซวนอู่มีกองคาราวานที่ตั้งขบวนเตรียมเดินทาง จุดหมายปลายทางคือเมืองรอบนอกเทียนเอินล่วนโต้ว สถานที่เดียวกับฉินจิ่วเกอ

ขุมกำลังของกองคาราวานเพียงพออย่างเต็มฝืน ครั้งนี้ไปเมืองล่วนโต้วเป็นไปได้ว่าจะเห็นเลือดไม่หวนกลับ ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่ากล้าคิดเข้าไปในใจกลางเมืองล่วนโต้ว

ที่นั่นคือรอบเมืองด้านในของเมืองเทียนเอิน แม้แต่ยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุ ยังไม่กล้าท่องโดดเดี่ยวเข้าไปเพียงลำพัง!

ฉินจิ่วเกอยืนอยู่ต่อหน้าผู้รับผิดชอบกองคาราวาน คิดอาศัยที่ตนเองมีพลังฝีมือชั้นปราณสุริยันขั้นปลาย ปะปนเป็นผู้คุ้มกันไปกับกองคาราวานด้วย ทั้งเดินทางฟรีทั้งมีเงินใช้ มันชมตนเองในใจว่ายอดเยี่ยมยิ่ง

“พวกมันทำอะไร?” ฉินจิ่วเกอมองคนแบกตะกร้าใส่โอสถระดับหนึ่งขึ้นหลังม้า

ผู้รับผิดชอบกองคาราวานหวังซานยืนอยู่ด้านข้าง เมื่อรู้พลังฝีมือของฉินจิ่วเกอ ต้องหัวเราะร่าไม่หยุด

“พวกเรากำลังบรรจุโอสถ เป็นเพราะปริมาณมากเกินไป ไม่อาจใส่เข้าในแหวนมิติหมดสิ้น นอกจากนี้ภายในแหวนมิติไร้ซึ่งพลังวิญญาณ โอสถวิญญาณจะเสื่อมสูญคุณสมบัติอย่างรวดเร็ว”

หวังซานอธิบายกลั้วหัวเราะ มันเป็นผู้รับผิดชอบขบวน เคยไปๆ มาๆ ระหว่างเมืองเทียนเอินและเมืองโดยรอบมาไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง

อา พ่อค้าสินะ ฉินจิ่วเกอลูบคางกล่าว “หญ้าหลิงจือเหล่านี้ ในเมืองซวนอู่ล้วนพบเห็นง่ายดาย เพียงเป็นวัตถุดิบระดับสองเท่านั้น ทำเงินได้ดีหรือ?”

หวังซานเห็นฉินจิ่วเกอไม่เข้าใจ คนว่างๆ อยู่ ค่อยเริ่มเปิดปากเรื่องภายในออกมา “น้องชายไม่รู้อะไรสินะ หญ้าหลิงจือแม้เป็นวัตถุดิบระดับสอง แต่มีสรรพคุณรักษาบาดเจ็บห้ามเลือด ระยะนี้เมืองเทียนเอินเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ ตำแหน่งนักปรุงยายิ่งสูงส่งขึ้น!”

“เพราะเหตุนี้ ราคาของโอสถวิญญาณเหล่านี้ไม่ธรรมดา จากเมืองซวนอู่สามร้อยจิน บรรทุกไปถึงเมืองล่วนโต้วแล้ว ปกติทำเงินได้นับพันศิลาวิญญาณ”

“อะไรนะ?” เงินพันศิลาวิญญาณ กับการเดินทางไปกลับหนึ่งรอบ นับว่ามากมายจนน่าแตกตื่น

เห็นหน้าฉินจิ่วเกอที่เหมือนอมไข่ไก่มาทั้งลูกไว้ หวังซานมิใช่เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก มันกลับไม่ตกใจเท่าใด เพียงหัวเราะขื่น

“น่าเสียดายกองคาราวานของข้ากำลังมีไม่มาก ไม่อย่างนั้นบรรทุกโอสถระดับสูงไป กำไรอาจมากถึงหมื่นจิน และแม้จะอย่างนั้น แต่การเดินทางแฝงภยันตรายมากมาย ไม่แน่ว่าต้องเสียทั้งคนเสียทั้งเงิน คงต้องพึ่งพาวาสนาฟ้าแล้ว”

ฉินจิ่วเกอครุ่นคิดใคร่ครวญ กองคาราวานนี้มีพิสุทธิ์ไพศาลนั่งนำหน้า สามารถเข้าร่วมเป็นกองกำลังคุ้มกันได้…

ช่างเถอะช่างเถอะ ตอนนี้ อย่างมากก็สามารถควักออกมาได้ไม่กี่สิบศิลาวิญญาณเท่านั้น

.

.

.