ตอนที่ 84 คิดอ่านหาเงินทอง

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เพียงแต่ถ้าใช้ฐานะคนซื้อเข้าร่วมกองคาราวาน ด้วยฐานะการเงินของมันตอนนี้คงซื้อได้เพียงหญ้าหลิงจือพันจินเท่านั้น นอกจากหาค่าคอมมิชชั่นหรือค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆ จากกองคาราวาน จำนวนเงินสี่หลักของมันก็ไม่มีทางขยับไปไหน

เงินจ๋า เงิน

ท่าทางของฉินจิ่วเกอชวนให้หวังซานรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย หมอนี่ไม่ใช่คนดี ต้องอยู่ให้ห่างเอาไว้

“ข้าไม่เป็นคนคุ้มกันแล้ว” ฉินจิ่วเกอล้มเลิกความตั้งใจ

สายตาของหวังซานทอแววเหยียดหยาม เพิ่งจะพูดกันอยู่หยกๆ เจ้านี่กลับคำซะแล้ว การเดินทางไปเมืองล่วนโต้วมีอันตรายไม่น้อย เพิ่มคนคุ้มกันหนึ่งคนเท่ากับเพิ่มโอกาสรอดชีวิตหนึ่งชีวิต

“ข้าต้องการเข้าร่วมขบวน มีส่วนร่วมในการเสนอสินค้ากับกองคาราวาน” ฉินจิ่วเกอเอ่ยด้วยความมั่นใจ

“คิดเข้าร่วมขบวนสินค้า เจ้าต้องมีทุนวางอย่างน้อยห้าร้อยจิน หากประสบหายนภัยหรืออุบัติเหตุอันใดขึ้น พวกเราก็ไม่อาจรับประกันกำไรให้เจ้าได้”

หวังซานเปลี่ยนท่าทีเป็นผู้ทำการค้าขึ้นมาทันควัน ขับเน้นบุคลิกของผู้รับผิดชอบขบวนสินค้าอันโดดเด่น มันล้วงเอาลูกคิดออกมาดีดดังแกร๊กๆ ทันที

“นี่คือสองพันศิลาวิญญาณ” ฉินจิ่วเกอควักแหวนมิติออกมา คนดูร่ำรวยขึ้นทันตา

หวังซานเบิกตาโปนโต อีกฝ่ายเป็นไก่อ่อนนี่เอง

ที่นี่ไม่มีผู้ใดพกพาเงินน้อยกว่าหลักพัน ทว่ายามควักล้วงซื้อหาสินค้าอย่างมากจ่ายออกมาหลักร้อยเท่านั้น เนื่องเพราะเกรงกลัวถูกปล้นชิงทุบตีจนมีสังขารไม่อาจหวนคืน

ทวีปฉงหลิง ห่างไกลอย่างมากจากคำว่าสงบสุขร่มเย็นที่หลายคนคิด

“ได้ นี่ใบเสร็จ” หวังซานออกใบเสร็จรับเงินทันควัน เมื่อมีสองพันศิลาวิญญาณสมทบเข้ากองทุนของคาราวานรอบนี้ ย่อมสามารถว่าจ้างพิสุทธิ์ไพศาลเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง ความปลอดภัยย่อมเพิ่มพูนไม่น้อย

“ช้าก่อน” ฉินจิ่วเกอคว้าชายแขนเสื้อหวังซาน เจ้าแก่นี่อายุมากความจำสั้น คล้ายคนเป็นอัลไซเมอร์

หวังซานเกาหัวแกรกๆ ตนเองได้รับฉายาลูกคิดทองคำ ไหนเลยจะลืมเลือนเรื่องอันใดได้?

ฉินจิ่วเกอทอดสายตารักใคร่แก่หวังซาน ดวงตาคลอหยาดน้ำ เอ่ยด้วยท่าทีออดอ้อน “ท่านลุงหวัง”

“ไม่ต้อง เรียกข้าพี่หวังก็พอ” หวังซานสะบัดกาย หนาวๆ ร้อนๆ ไปทั่วร่าง รูขุมขนลุกเป็นหนังตูดไก่จนขนร่วงกระจายเต็มพื้น

“พี่หวังท่านลืมเลือนแล้ว? ข้ามาสมัครเป็นผู้คุ้มกันขบวน!” ฉินจิ่วเกอเร่งกล่าว ยุงแม้ตัวเล็กกระจิ๋วหลิวยังนับเป็นเนื้อ เงินแม้จำนวนกระจ้อยร่อยก็ยังเป็นเงิน หลายสิบศิลาวิญญาณได้มาง่ายดาย ประเสริฐเลิศถึงเพียงไหน

หวังซานตะลึงจนโง่งม คนทำขบวนคาราวานการค้ามานานหลายปี ยังไม่เคยพบเห็นผู้ใดกระหายใคร่งกเงินทองมากมายปานนี้ เจ้ากระทั่งสองพันศิลาวิญญาณยังจ่ายออกร่วมทุนสินค้า ยังคิดจะเอาค่าจ้างคนคุ้มกันด้วย?

“ได้ ไปลงชื่อทางด้านหลัง” หวังซานโบกไม้โบกมืออย่างเหลืออด ไม่คิดเห็นหน้าผีน้อยจอมละโมบนี้อีกต่อไป

สามวันต่อมา ขบวนคาราวานก็ออกเดินทางจากเมืองซวนอู่ กอปรไปด้วยรถม้าบรรทุกทั้งหมดเจ็ดแปดสิบคัน มุ่งไปยังเมืองล่วนโต้ว

กำลังของขบวนไม่เพียงพอ ดังนั้นต้องว่าจ้างสัตว์อสูรลากรถ คิดหวังกำไรเงินทองมากขึ้นอีกหน่อย

เพียงแต่เมืองเทียนเอินมังกรมัจฉาอาละวาดวุ่นวาย ในนั้นยังมียอดฝีมือเผ่าอสูร หากถูกพบเห็นเข้าต้องกลายเป็นเรื่องยุ่งยากแล้ว

ระหว่างทาง ฉินจิ่วเกอสำรวจดูกำลังทั้งหมดของขบวนคาราวาน

มีพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลางหนึ่งคน ขั้นต้นสามคน ยังมีปราณสุริยันสิบคน ทั้งหมดเท่านี้

ระดับขุมกำลังเท่านี้ หากเป็นเมืองซวนอู่ ถือว่าอยู่ระดับกลางค่อนไปทางสูง ทว่าหากเป็นในใต้หล้า ถือว่าเป็นกองกำลังอันกระจ้อยร่อยเกินจะกล่าว

มีแต่กลั่นดวงธาตุ จึงจะมีคุณสมบัติขั้นต่ำในการท่องทะยานทั่วทั้งแผ่นดิน มิเช่นนั้นต่อให้เป็นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด แต่หากไม่อาจทะลวงด่านดวงธาตุทองคำ ล้วนยังไม่ขวัญกล้าบังอาจเหยียบย่างไปยังสถานที่อันสับสนวุ่นวายเช่นนั้น

ฉินจิ่วเกอออกเดินทางจากเมืองซวนอู่ อาวุโสใหญ่ก็มาถึงเมืองล่วนโต้ว ซึ่งเป็นเมืองปริมณฑลของเมืองเทียนเอินเอง

ในเมื่อเป็นสถานที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายที่สุดบนทวีป โจรร้ายมากมายล้วนซุ่มซ่อนตามรายทาง เข่นเขี้ยวดูดเลือดสังหารคนปล้นชิงทรัพย์

เวลานี้ อาวุโสใหญ่เริ่มวิตกกังวลต่อสวัสดิภาพของศิษย์รัก หรือว่ามันเลือกมาด้วยอารมณ์มุทะลุกันแน่นะ?

ด้วยความสามารถของเด็กน้อย อำนาจการก่อเรื่องสร้างราวสูงพลังฝีมือต่ำ ยากที่จะผ่านด่านได้

ระหว่างการเดินทาง อาวุโสใหญ่สังหารโจรภูเขาไปสามกลุ่ม ในนั้นยังมีดวงธาตุระดับหนึ่งอยู่ ถูกอาวุโสใหญ่ใช้ส้นรองเท้าตบจนไปเฝ้ายมบาล

แผ่นดินสับสนวุ่นวาย! บนเส้นทางหลวงอันเปิดเผยโอ่โถง ดินทรายเหลืองคละคลุ้ง ท้องฟ้ากว้างไกลไพศาล

ที่เบื้องหน้าสายตาปราศจากสีเขียวขจีของเมืองซวนอู่ หากแต่เต็มไปด้วยผืนทรายเหลืองสุดลูกหูลูกตา บางครั้งปรากฏภูเขาเตี้ยๆ ขึ้นคั่นกลางไม่กี่ลูก จนคนไม่อาจแยกแยะระยะและเขตแดนได้กระจ่าง

ไอมรณะเข้มข้นอบอวลกองคาราวาน น้อยครั้งที่คนจะส่งเสียงอันใด

เงินทอง มิใช่หามาได้โดยง่าย บรรดาผู้พลังฝีมือต่ำบังเกิดความหวาดกลัว กริ่งเกรงโจรร้ายฆ่าชิงทรัพย์อันใดพลันผุดโผล่ออกมาขวางทาง ไม่เพียงชิงสิ่งของ ยังประสงค์เอาชีวิต

พวกที่พลังฝีมือสูงเองก็ตะครั่นตะครอ ตัวสั่นเป็นพักๆ บางทีก็อยู่ๆ ปล่อยรังสีฆ่าฟันตั้งท่าต่อสู้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

กลิ่นอายหนาหนักเข้มข้นครอบคลุมลงทั่วทั้งกองคาราวาน ไม่ต่างจากแมลงที่ถูกสต๊าฟไว้ในอำพัน

มีเพียงทางด้านท้ายของขบวน ปรากฏเสียงหัวเราะชืดชาสายหนึ่งลอยมา อาจบางทีมีคนเหยียดหยาม หรืออาจมีคนหมดความอดทน เพียงแต่ไม่มีใครส่งเสียง หวังซานคิดในใจว่าตนเองปีนี้ดวงอับโชค สงสัยต้องเสียทรัพย์เป็นแน่

หรือจะเป็นพวกก่อกวน ต้องไปดูที่ท้ายขบวนหน่อยแล้ว

ฉินจิ่วเกอพอดีกำลังเบื่อหน่ายกับการนับนิ้วฆ่าเวลา เมื่อเห็นหวังซาน แน่นอนว่าอดไม่ได้ต้องออกปากทักทาย

ในขบวนสินค้า นอกจากหวังซานที่เทียวไปเทียวมาหลายรอบแล้ว ยังมียอดฝีมือที่พลังต่อสู่สูงสุดชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลางอีกคนที่ร้อนๆ รนๆ อยู่ไม่สุข

พ่อค้าก็คือพ่อค้า หวังซานกระทำการแทนผู้อื่นประสานงานทั้งแปดทิศ พูดจาระรื่นหู ฉินจิ่วเกอยินดีพูดจากับมันฆ่าเวลาสักเล็กน้อย

พ่อค้า เงี่ยหูฟังวาจาถ่างตาดูสีหน้าคน พรสวรรค์ในการคาดการณ์ของพวกมันแข็งแกร่งยิ่ง

หวังซานต้องเผชิญพบกับใบหน้าเว้าวอนที่ปั้นแต่งมาของฉินจิ่วเกอซ้ำไปซ้ำมา มันต้องบอกอีกฝ่ายหุบปากไว้ อย่าได้ขัดขวางการเดินตรวจเหนือใต้ออกตกของมัน

เพราะเหตุนั้น หวังซานใจสลายแล้ว ฉินจิ่วเกอมิใช่คนค้าขาย อีกฝ่ายสีหน้าเป็นอย่างไร มันล้วนไม่สนใจ

ฉากหน้าของแขกเหรื่อเจ้าภาพล้วนยินดีชื่นมื่น หวังซานในใจอัดแน่นด้วยน้ำมะระขมปี๋ ขมขื่นจนไม่ทราบสมควรอธิบายออกมาอย่างไรได้

ฉินจิ่วเกอถามก็ไม่ถาม แต่ก็ไม่ยินยอมปลดปล่อยหวังซานตามลำพัง สุดท้ายถามถึงหวังซานทำกิจการเพื่อผู้อื่นดีหรือไม่ดี หวังซานสุดท้ายสลัดหลุดจากมาได้ ต้องตวาดใส่ม้าให้รีบวิ่งหนีออกห่างอย่างเร็วไว

นับแต่ออกจากเมืองซวนอู่ มุ่งทางเหนือมาเจ็ดวัน ตลอดรายทางปลอดภัยไร้เรื่องราว เบื้องหน้าสายตาปราศจากควันไฟจากน้ำมือมนุษย์ บรรยากาศอวลไอมรณะของกองคาราวานค่อยๆสลายหาย

ขนาดฉินจิ่วเกอที่ปากมาก ยังไม่อาจหาหัวข้อมาซักถามสนทนาอับหวังซานได้อีก ดังนั้น คนได้แต่นอนบนรถบรรทุกสินค้าอย่างเกียจคร้าน ปล่อยให้ม้าลากรถเขย่าซ้ายขวาลากไปตามทางอย่างไม่รีบไม่ร้อน

ฉินจิ่วเกอดูดซับพลังจากศิลาวิญญาณอย่างค่อยเป็นค่อยไป ระดับพลังฝีมือก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างช้าๆ หากยังคงไม่ทะลวงด่านฝีมือ ตันเถียนยามนี้ถูกควบกลั่นขึ้นมา หากทว่ายังคงค้างเติ่งอยู่ที่ปราณสุริยันขั้นปลาย

ฝีกปรือไร้ก้าวหน้า ฉินจิ่วเกอเองก็คร้านที่จะลงแรง หากถูกอาวุโสใหญ่ล่วงรู้ ไม่ถูกบิดหูจนขาดก็แปลกไปแล้ว

วิถีแห่งการฝึกตน ไม่ต่างจากน้ำหยดลงบนก้อนศิลาทีละหยดๆ ประเภทฉินจิ่วเกอที่คิดก้าวเดียวสู่กลั่นดวงธาตุย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ความสามารถทางการต่อสู้และไพ่ตายของมันสามารุต้านทานพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลางได้ ไม่สมควรมีปัญหา

ส่วนถ้าเจอพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด สู้ไม่ได้ หนีเอาชีวิตรอดสมควรไม่ยากเย็น

“พี่น้องทั้งหลาย อีกไม่นานเราก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว รอจนถึงเมืองล่วนโต้วเมื่อใด ข้าจะแถมงานเลี้ยงสุราให้แก่พวกท่านทั้งหลายเป็นพิเศษ ให้สมกับความเหน็ดเหนื่อยของทุกคน!”

ยิ่งใกล้บรรลุถึงเมืองล่วนโต้ว หยาดเหงื่อแรงกายนับหลายวันกำลังจะผลิดอกออกผล หวังซานก็ประกาศออกมาเสียงดัง สร้างความมีชีวิตชีวาแก่กองคาราวาน

ทว่า ฟ้าดินกลับไม่เป็นใจ ท้องฟ้าสดใสมานานหลายวัน คืนนี้กลับหม่นทะมึน ค่อยๆบังเกิดพายุลมก่อตัวขึ้น

ตอนกลางคืนสัตว์อสูรชุกชุม ยิ่งเข้าใกล้เมืองเทียนเอินมากเท่าไหร่ ยิ่งไม่อาจคลายความระวังได้มากเท่านั้น กองคาราวานเริ่มหยุดพักเป็นระยะ ใครเล่าจะคาด อยู่ๆ ท้องฟ้าก็กลายเป็นมืดสลัวปะปนกลิ่นอายชั่วร้าย ช่วงเวลาย่ำค่ำเกิดลมสลาตันพัดกรรโชก ฝุ่นดินฝุ่นทรายฟุ้งตลบจนลืมตาไม่ขึ้น

ผ่านช่วงย่ำค่ำไปแล้ว กลับมีเศษหินร่วงตกลงมาดุจห่าฝน ลมกรรโชกศิลาปลิดปลิวไปทั่วบริเวณ หวังซานท่องยุทธภพมานาน รู้ได้ทันทีว่าต้องตัดสินใจอย่างไร ใกล้ๆ นี้มีมรสุมกำลังก่อตัว

บนผืนดินสีน้ำตาลเกรียมอันรกร้างแห่งนี้ ไม่ทราบมีซากศพโครงกระดูกกี่ชีวิตที่ถูกกลบฝังเอาไว้ ทุกครั้งที่เกิดลมมรสุม วิญญาณอาฆาตพวกนี้ก็จะทลายผนึกออกมา กลับมายังดินแดนแห่งคนเป็นเพื่อช่วงชิงชีวิตอีกครั้ง

แม้จะเป็นเรื่องเล่าปากต่อปาก แต่ลมมรสุมนี้ก็ผิดปกติอยู่ดี เอาแค่วังวนใจกลางมรสุมนั้น หากไม่ใช่ชนชั้นกลั่นดวงธาตุอย่าคิดว่าจะรับมือได้

ปากเรียกรวมพล ฝ่ามือควานเปะปะไปตามความมืด หวังซานเดินออกมาข้างหน้า ก้มตัวสัมผัสผิวดินที่อยู่ห่างวังวนมรสุมนั้น

จะให้พวกมันทุกคนบุกฝ่าลมมรสุมใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ฉินจิ่วเกอลอบก่นด่าในใจ สภาพแวดล้อมในละแวกนี้ย่ำแย่เหลือทน จำต้องเรียกร้องให้มีการป้องกันทางระบบนิเวศเป็นการด่วน

ลมมรสุมพัดวนอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ จนพวกมันทุกคนแทบตัวเย็นเป็นน้ำแข็ง แม้แต่เลือดลมก็ทำท่าว่าจะจับตัวเป็นแข็งค้าง

เผชิญกับสายลมที่คมเหมือนใบมีด ขบวนคาราวานทุกคนเฝ้ารอจนร่างกายชาด้านไปหมดแล้ว ขณะที่ได้แต่นิ่งมองอย่างทำอะไรไม่ได้ ทรายเม็ดสุดท้ายก็ร่วงหล่นกลับสู่ผิวดินในที่สุด

ท้องฟ้ายังคงมืดสลัว หวังซานยกมือลูบเศษดินโคลนออกจากใบหน้า ดวงตามีแต่เส้นเลือดฝอย คนทั้งขบวนล้วนอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง

ฉินจิ่วเกอที่ดูดซับไอวิญญาณจากศิลาวิญญาณมาตลอดทาง แม้จะใช้ไปไม่น้อย แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาไม่น้อยเช่นกัน สภาพจิตตอนนี้ยังพอฝืนทนได้อยู่ ในอากาศสีเทาหม่น แสงสว่างทั้งหมดคล้ายถูกกักขังเอาไว้ ด้านหน้าแว่วเสียงเคลื่อนไหวของเมืองยามค่ำคืนที่ไม่เคยหลับใหลมาเบาๆ

ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ อย่าบอกนะว่าพวกตนไม่ทางใดก็ทางหนึ่งได้มาถึงเมืองล่วนโต้วแล้ว?

ไม่รู้ใครเป็นคนเริ่มก่อน แต่ไม่นานทุกคนต่างก็โห่ร้องยินดีต่อกันไปเป็นทอดๆ บ้างก็ทุบอกตะโกนขึ้นฟ้า บ้างก็ฉีกชายเสื้อระบายความอัดอั้น รอดพ้นจากหายนะคุกคามชีวิตมาหมาดๆ ในใจย่อมตื่นเต้นยินดีเป็นล้นพ้น

“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้!”

หวังซานรีบร้องปรามฝูงชนอย่างร้อนใจ กลิ่นอายฆ่าฟันข้างหน้าเข้มข้นราวกับวิญญาณร้าย ในอากาศยังได้กลิ่นคาวเลือดปะปน

นี่ไม่ใช่เมืองล่วนโต้วอันใดทั้งนั้น แต่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งพวกมันทั้งหมดได้พลัดหลงมาถึงรังโจรแล้วต่างหาก และก็เพราะเสียงโห่ร้องนี้เอง ผู้คุ้มกันที่เฝ้าอยู่หน้าที่มั่นกองโจรจึงรู้ตัว รีบวิ่งเข้าไปแจ้งนายท่านทั้งสามของพวกมันทันที

“ไปเร็ว รีบไปจากที่นี่!” พอเห็นว่ากองโจรภูเขามีเงาคนเคลื่อนไหวไปมา ชัดเจนว่าต้องเป็นภูติผีปีศาจ บริเวณปากทางเข้ายังมีกะโหลกเน่าเปื่อยกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด

หวังซานเรียกให้ทุกคนวิ่งหนีกลับทางเดิม แต่เป็นเพราะลมมรสุมที่พัดกวาดมาทั้งวัน ทำให้ผิวดินกลายสภาพเป็นเหมือนทรายดูด ทันทีที่ล้อรถบดทับลงไป จึงติดคาอยู่ตรงนั้นไม่ยอมกระดิกตัวไปไหน

“ช่วยกันดันเร็วเข้า! นั่นคือรังเก่าของกองโจรภูเขา ฉวยโอกาสตอนที่พวกมันยังไม่ออกมา รีบหนีไปจากที่นี่ให้ได้!” หวังซานสะบัดแส้ม้าในมือ ชัดเจนว่าร้อนรนจนแทบลุกเป็นไฟแล้ว

เหมือนแกะที่พลัดหลงเข้าปากพยัคฆ์ ปีศาจร้ายที่กินเนื้อมนุษย์ไม่คายกระดูกพวกนี้ย่อมจัดการพวกมันจนไม่เหลือแม้แต่ซากเป็นแน่แท้

“เป็นต้าตั่งเจีย!” ผู้คุ้มกันรีบวิ่งเข้ามาในห้องชุมนุมของฐานที่มั่นลมอำพัน ฐานที่มั่นนี้มีนายเหนืออยู่สามคน ต้าตั่งเจีย (หัวหน้าโจรใหญ่) คือยอดยุทธ์ชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลาย เอ้อร์ตั่งเจีย (หัวหน้าโจรลำดับสอง) คือพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง และซานตั่งเจีย (หัวหนาโจรลำดับสาม) ก็เช่นกัน

กำแพงภายในห้องเขียนเป็นภาพพยัคฆ์ขาวขย้ำเหยื่อ บนพื้นมีแต่คราบเลือดเป็นดอกดวง หากลองยกส้นรองเท้าขึ้นดูจะพบคราบเลือดติดขึ้นมาด้วยชั้นหนึ่ง

ภายในห้องมืดสลัวอึมครึม แสงเทียนหรุบหรี่ดั่งเพลิงจากขุมนรก ชัดเจนว่าใช้น้ำมันจากศพที่ถูกทารุณกรรมมาเป็นเชื้อเพลิง

บนที่นั่งหลัก มีชายหน้าตาคล้ายพยัคฆ์แต่ใบหน้าไร้สีเลือดนั่งอยู่ หนวดเคราดกครึ้มลงมาถึงคอ ใบหูทั้งสองแห้งเหี่ยว องคาพยพทั้งห้าไม่สมสัดส่วน คนผู้นี้ก็คือต้าตั่งเจีย (ชื่อเรียกหัวหน้าโจร)ผู้เลื่องชื่อของที่มั่นลมอำพัน

คนทั้งสามกำลังร่ำสุราด่าทอกันอย่างกักขฬะ พลันได้ยินผู้คุ้มกันเข้ามารายงานว่ามีกองคาราวานพลัดหลงเข้ามาถึงหน้าปากทางเข้าที่มั่นของพวกมัน ไม่ต่างจากแพะอ้วนพีที่ส่งตัวเองมาให้รับประทานถึงที่

ลมมรสุมเพิ่งสลายตัว แต่ก็อาจก่อตัวขึ้นมาใหม่ได้ทุกเมื่อ

อีกทั้งเส้นทางด้านนอกก็ไม่ต่างจากทรายดูด หากลองไปยืนดูก็อาจจะถูกดูดกลืนลงไปได้ทันที สภาพแวดล้อมพรรค์นี้ แม้แต่กองโจรที่ไม่เกรงฟ้ากลัวดินก็ยังไม่ยินยอมที่จะออกไป

นั่งฆ่าเวลาอยู่ในบ้าน ไม่คาดกลับมีธุรกิจมาเยือนถึงหน้าประตู อดพูดไม่ได้ว่าสวรรค์ท่านช่างกรุณาเหลือเกิน

.

.

.