บทที่ 83 สังหารลู่หยวน (ปลาย)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 83 สังหารลู่หยวน (ปลาย)

บทที่ 83 สังหารลู่หยวน (ปลาย)

มือของหวังเหิงสั่นสะท้าน นั่นเป็นเสียงของอู่หมิงเสวี่ย!

ผู้อาวุโสใหญ่กำลังจะปล่อยกระบี่ยาวในมือ เตรียมที่จะเผ่นหนีอย่างสุดกำลัง

ต้วนคงซิวเห็นว่าหวังเหิงกำลังทิ้งกระบี่เพื่อหลบหนี ในใจก็ลอบสบถอย่างเดือดดาล แต่เขารู้แล้วว่าเรื่องในวันนี้พลาดท่าแล้ว ทำให้ต้องล่าถอยออกมาในทันที

อู่หมิงเสวี่ยเดินออกมาจากด้านหลังลู่หยวน นางสวมชุดเจ้าสำนักดูสง่างาม ยันต์ทั่วทั้งร่างสั่นไหว แสงสว่างสีทองสาดส่อง ราวกับเซียนในภาพวาด

บัดนี้แววตาของนางเต็มไปด้วยจิตสังหาร ถือกระบี่ยอดครามยาวสามฉื่อ ราวกับอยากกวาดล้างทุกสิ่งตรงหน้า

ยอดฝีมือที่เหลือเมื่อตระหนักได้ว่าอู่หมิงเสวี่ยอยู่ที่นี่ ผู้ลอบสังหารคนแล้วคนเล่าต่างอยากพากันหลบหนี แต่พวกเขายังไม่ทันลงมือ ก็พลันเห็นอสนีบาตวูบวาบอยู่รอบข้าง สายฟ้าที่รูปร่างเหมือนหอกยาวพลันพุ่งเข้าหาพวกเขา

หอกอัสนีพุ่งผ่าอากาศ แทงเข้าใส่ผู้ลอบสังหารราวกับพายุลูกเห็บโปรยปรายจากฟ้า

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

สายฟ้าวูบไหว โลหิตสาดกระเซ็น พร้อมศพล้มลงไปกองกับพื้นเกลื่อนกลาด

ไกลออกไป หวังเหิงและต้วนคงซิวใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อหลบหนีไป ลอบภาวนาในใจว่าอู่หมิงเสวี่ยจะไม่ไล่ตามพวกเขา

อีกด้าน ดวงตางดงามของเจ้าสำนักตรวจสอบสองร่างที่กำลังหลบหนี นางยืนขึ้นพร้อมกับยกกระบี่ยาวในมือมาไว้ตรงหน้า

เรียวปากบางขยับ ไม่ทราบได้ว่านางกำลังท่องอะไร

เมื่อสิ้นเสียง ยันต์รอบข้างก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง

ยันต์ทั้งหมดลอยขึ้นท้องนภาใบแล้วใบเล่า พวกมันทั้งหมดแตกสลาย

เมื่อยันต์เหล่านั้นหายไป กระบี่ยาวในมือนางก็ส่องแสงสว่างสีทองเป็นลำแสงขนาดมหึมา พลังที่จะทำลายโลกรวมตัวขึ้นในกำมือของอู่หมิงเสวี่ย

เหลยโม่ที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นดังนี้ หัวใจก็แทบจะหยุดเต้น เขารีบปกป้องพวกลู่หยวนที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นกระตุ้นรากฐานการบ่มเพาะทั้งหมดเพื่อสร้างโล่อัสนีมาป้องกันเอาไว้

อู่หมิงเสวี่ยสะบัดกระบี่ยาว

ฟุ่บ!

เสียงแผ่วเบายิ่งดังขึ้นมาจากความว่างเปล่า

เงียบไปสักพัก จากด้านข้างของอู่หมิงเสวี่ย แสงสว่างสีขาวที่แทบจะปกคลุมโลกได้ปรากฏขึ้น คลื่นพลังมหาศาลก่อตัวอยู่ไกลออกไป

ตูม! ตูม! ตูม!

คลื่นพลังกระจายไปทุกทิศทางราวกับคลื่นยักษ์กระทบชายฝั่ง ที่ใดที่พวกมันพุ่งผ่าน ทุกสิ่งรอบข้างพลันถูกกลืนหายไปในทันที

หวังเหิงและต้วนคงซิวที่อยู่ไกลออกไปย่อมสัมผัสการโจมตีจากพลังอันน่าสะพรึงนี้ได้ พวกเขาไม่กล้าผ่อนคลาย ต้องหลบหนีอย่างสุดกำลัง

“ลอบสังหารลูกชายของข้าผู้นี้ คิดหรือว่าวันนี้จะหนีรอด?”

อู่หมิงเสวี่ยพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา

จากท้องนภา ลำแสงสีทองกระจายจากทั้งแนวตั้งและแนวนอน ในพริบตา ค่ายกลที่ถูกสลักด้วยอักขระซับซ้อนพลันปรากฏขึ้นเมื่อแสงสว่างสีทองเคลื่อนลงมา มันปกคลุมภายในรัศมีหลายพันลี้

คลื่นแสงมหึมาราวกับแสงสวรรค์ปะทะใส่พวกเขาทั้งสองทันที ทำให้ทั้งสองถูกบดขยี้จากแรงกดดันดังกล่าวจนล้มลงกับพื้น!

สองตัวการใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อขัดขืน แต่มันช่างเปล่าประโยชน์

ภายในไม่กี่อึดใจ คลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้ามา ร่างกายของหวังเหิงและต้วนคงซิวเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ยามมองดูคลื่นขนาดใหญ่ที่มีพลังอันน่าสะพรึงกลืนกินพวกเขาอย่างสิ้นหวัง

ตูม! ตูม! ตูม!

เสียงดังกึกก้องหยุดลงในที่สุด เหลยโม่เองก็คลายโล่เช่นกัน

ลู่หยวนมองรอบข้าง พบว่าท้องนภายังเป็นสีครามที่มีหมู่เมฆสีขาวล่องลอยน่าอภิรมย์ ทว่าเมื่อก้มมองลงมา กลับพบเพียงแต่ดินแดนรกร้างเท่านั้น

การโจมตีเพียงหนึ่งกระบี่… ทำให้ไม่เหลือหญ้าสักต้นในรัศมีหลายพันลี้

แม้แต่เหลยโม่ผู้ติดตามอู่หมิงเสวี่ยมาหลายปียังต้องกลืนน้ำลายเมื่อได้เห็น ภายใต้พายุแห่งโทสะดังกล่าว หากเป้าหมายเป็นเขา ย่อมไม่สามารถหนีรอดไปได้

อู่หมิงเสวี่ยวางกระบี่ยาวในมือ หลังสะบัดมือซ้าย สองร่างที่อยู่ไกลออกไปพลันถูกพลังบางอย่างกวาดล้าง

มีเพียงเสียงเปรี้ยงที่ดังขึ้น ก่อนพวกเขาทั้งสองจะตกลงสู่พื้นอย่างรุนแรง

สองตัวการผู้ตกสู่พื้น หนึ่งในนั้นเสียขา อีกคนเหลือเพียงครึ่งร่าง

เสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดังมาจากปากของทั้งสอง โลหิตไหลรินออกจากบาดแผล

อู่หมิงเสวี่ยก้มมองพวกเขา ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเย็นชาและจิตสังหาร

นางยกกระบี่ขึ้น ราวกับกำลังจะฟันออกไป

ดวงตาของหวังเหิงเบิกกว้าง พลางแค่นเสียงกล่าวอย่างยากลำบากว่า “ท่านฆ่าข้าไม่ได้!”

ผู้อาวุโสใหญ่หอบหายใจ ก่อนพยายามสุดความสามารถเพื่อส่งเสียง “ข้าคือสมาชิกของสำนักอักขระสวรรค์ หากกระทำผิด สมควรถูกพิจารณาเพื่อตัดสินโทษในสำนักอักขระสวรรค์ หากท่านฆ่าตอนนี้ เท่ากับเป็นการฆ่าสหายร่วมสำนัก!”

อู่หมิงเสวี่ยเย้ยหยันว่า “ไม่จำเป็น ข้าในฐานะเจ้าสำนักขอประกาศ ณ ที่นี้ว่าเจ้าต้องถูกประหาร!”

“ท่านเจ้าสำนัก!”

ร่างหนึ่งคลานเข้ามาหา “ท่านเจ้าสำนัก โปรดอย่าฆ่าอาจารย์ของข้าเลย!”

เป็นกู่หงเฟยที่มา เขาคุกเข่าลงตรงหน้าอู่หมิงเสวี่ยอย่างร้อนรนยิ่ง ปกป้องร่างของหวังเหิงไว้ด้านหลัง ศีรษะแนบชิดกับพื้น

“ท่านเจ้าสำนัก ข้ารู้ว่าอาจารย์สมควรตายเพราะการกระทำในวันนี้ แต่เห็นแก่ที่เขารับใช้สำนักมาหลายปี โปรดไว้ชีวิตได้หรือไม่ ปล่อยให้เขากลับไปเป็นผู้อาวุโสผู้ไร้อำนาจในอนาคตก็ยังดี ข้าสัญญาว่าไม่ให้เขาปรากฏตัวต่อสายตาท่านในอนาคต ดังนั้นโปรดไว้ชีวิตเขาด้วย!”

เมื่อได้รับการปกป้อง ดวงตาของหวังเหิงพลันรื้นน้ำตาขึ้นมา ชายชรานึกเสียใจกับสิ่งที่ทำต่อกู่หงเฟยในก่อนหน้านี้ เขาถึงขั้นทุบตีอีกฝ่าย

ในช่วงลมหายใจสุดท้าย มีเพียงกู่หงเฟยที่ร้องขอชีวิตให้เขา

อู่หมิงเสวี่ยเพียงชำเลืองมองอัจฉริยะหนุ่มด้วยสายตาแข็งกร้าวไร้วี่แววสั่นคลอน

กระบี่ยาวในมือพลันฟาดฟันออกไป พลังมหาศาลถูกเหวี่ยงมาทางหวังเหิง

ผู้อาวุโสใหญ่หลับตา กระตุ้นค่ายกลในจิตเทวะด้วยกำลังเฮือกสุดท้าย

ปราณกระบี่ฟาดฟันตรงเข้าที่หน้าผากของชายชราในทันที

ฟู่!

ลมกระโชกพลันพัดเข้ามา ปราณกระบี่ที่กำลังทะยานหายไปในสายลม

“แม่หนูเสวี่ย เจ้ามาอาละวาดที่นี่งั้นหรือ?”

เสียงน่าเกรงขามดังมาจากท้องนภา

สายตาทุกคนล้วนหันไปมอง เห็นเพียงชายไว้เครา สวมชุดราบเรียบกำลังเหยียบย่างบนหมู่เมฆ

ร่างของชายผู้นั้นวูบไหว ก่อนจะลงมาอยู่ตรงหน้าผู้คนจำนวนมาก

เหลยโม่ยกมือขึ้นเพื่อคารวะทันที “คารวะท่านเจ้าสำนัก!”

ผู้ชายยิ้มอย่างจริงใจ ก่อนโบกมือ “เจ้าหนูโม่ ชายชราไม่ใช่เจ้าสำนักอีกต่อไปแล้ว เจ้าเรียกข้าแค่ผู้เฒ่าคังก็พอ”

เหลยโม่กล่าวด้วยความเคารพว่า “ท่านผู้เฒ่าคัง”

ลู่หยวนเพียงปรายตามองก็รู้ได้ถึงตัวตนของคนผู้นี้

อดีตเจ้าสำนักอักขระสวรรค์ คังซิงเจี้ยน

อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ของหวังเหิงอีกด้วย

กู่หงเฟยทราบถึงตัวตนของผู้ปรากฏกายใหม่เช่นกัน เขาก้มศีรษะให้ทันที “ท่านอดีตเจ้าสำนัก โปรดช่วยอาจารย์ด้วย!”

คังซิงเจี้ยนชำเลืองมองคู่ศิษย์อาจารย์ที่อยู่ด้านล้าง

เมื่ออู่หมิงเสวี่ยเห็นผู้เฒ่าคังก็ไม่ได้มีท่าทีจะคารวะแต่อย่างใด นางยังคงถือกระบี่ไว้ในมือ แทนที่จิตสังหารทั่วร่างจะลดลงกลับเพิ่มขึ้น “ผู้เฒ่าคังไม่ได้เก็บตัวอยู่หรอกหรือ? ทำไมถึงออกมาตอนนี้?”

คังซิงเจี้ยนไม่คาดคิดว่าท่าทีของเจ้าสำนักจะรุนแรงปานนี้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปแวบหนึ่ง ก่อนกลับมาเป็นปกติดังเดิม “แม่หนูเสวี่ย ในสำนักมีกฎอยู่ ต่อให้หวังเหิงจะทำผิดมหันต์ลงไป เขาก็ต้องได้รับการไต่สวนจากทางสำนักก่อนถูกลงโทษ”

เจ้าสำนักอู่เหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างข้องใจ “พาเขากลับสำนัก ไม่เท่ากับเป็นการให้ผู้เฒ่าคังมีโอกาสช่วยเขาหรอกหรือ?”

ทันทีที่พูดเช่นนี้ออกมา แม้กระทั่งสีหน้าของคังซิงเจี้ยนก็ไม่สู้ดี

เขาได้รับค่ายกลขอความช่วยเหลือจากหวังเหิงตอนที่ออกมาในครั้งนี้ ขณะทะลวงผ่านความว่างเปล่าก็พบอู่หมิงเสวี่ยกำลังยกกระบี่ขึ้นเพื่อหมายจะสังหารอีกฝ่ายพอดี