บทที่ 42 ท่านแม่แข็งแกร่งเสมอ
เหยาซูยืนอยู่หน้าประตูมองดูเรื่องตลกนี้ด้วยแววตาอันเย็นชา
หลังจากที่ทั้งคู่ต่อสู้กันจนเหนื่อยหอบไม่เหลือเรี่ยวแรง เหยาซูก็ค่อย ๆ เดินเข้ามา นางหยุดฝีเท้าลงที่ด้านหน้าของโต๊ะและจ้องมองดวงตาของเด็กอ้วนก่อนจะถามว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
เจ้าเด็กอ้วนตัวสั่นไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้ “รู้ รู้… ท่านคือมารดาของหลินจื้อกับหลินซือ..”
เหยาซูก้มตัวลงและลูบไปที่หัวของเด็กอ้วนเบา ๆ “ฉลาดดีนี่! งั้นบอกท่านน้าซูสิว่าต่อไปจะต้องทำอย่างไร”
เจ้าอ้วนไม่กล้าขยับเขยื้อนราวกับว่าสายตาของเหยาซูจับจ้องอยู่ที่ตัวเขาตลอดเวลา
หญิงสาวตรงหน้าเขามีใบหน้างดงามและอ่อนโยน ท่าทางเป็นมิตร แต่แววตากลับเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งที่อยู่บนชายคาบ้านด้านนอกเสียอีก
“ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว จะไม่รังแกหลินจื้อและหลินซืออีกต่อไป”
เจ้าเด็กอ้วนสะอึกสะอื้นแต่ไม่กล้าร้องไห้เสียงดัง “ข้า ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ!”
เหยาซูยิ้มอย่างพึงพอใจ นางลูบหัวของเด็กอ้วนแล้วพยักหน้า “เด็กดี ท่านน้าซูจะจำสิ่งที่เจ้าพูดในวันนี้เอาไว้”
พูดจบนางก็ยืดตัวตรงช้า ๆ จนเจ้าเด็กอ้วนรู้สึกว่าหูขวาของเขาเย็นเฉียบด้วยความหวาดกลัว
เขารีบยกมือขึ้นลูบคลำโดยไม่รู้ตัว ยังดีที่หูยังอยู่
เหยาซูชำเลืองมองเข้าไปในห้อง นอกจากเตียงเตาที่เจ้าเด็กอ้วนนั่งอยู่แล้ว ที่อื่นก็แทบจะไม่มีที่ดีเลยสักที่ โต๊ะและเก้าอี้ของบ้านนี้ถูกพลิกคว่ำแตกเป็นเสี่ยง ๆ ถ้วยชามบนโต๊ะแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถั่วลิสงและเมล็ดแตงกระจายเต็มพื้น
เจ้าอ้วนเหยาและภรรยาของเขาหยุดมือมาครู่หนึ่งแล้ว พวกเขาหอบหายใจ ทว่ายังคงมองหน้ากันราวกับหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะเริ่มลงไม้ลงมืออีกครั้ง
เหยาซูเดินมาหยุดตรงหน้าของพวกเขาและพูดว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ วันนี้พวกเราแค่มาสะสางเรื่องราวที่นี่ถูกไหม? ดังนั้นจะเหลือห้องครัวไว้ให้พวกท่านใช้ พวกเราจะไม่ไปทุบทำลายมัน”
ภรรยาของเจ้าอ้วนเหยาผู้มีใบหน้าบวมเป่งจ้องมองไปที่เหยาซูด้วยสายตาอาฆาต ขณะที่นางกำลังจะด่าออกมา เจ้าอ้วนเหยาก็รีบดึงนางเอาไว้
“น้องสาว! ขอบคุณอย่างยิ่งที่เห็นแก่พวกเรา!”
เหยาซูยิ้มและยังพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่อ้วนเหยาสุภาพเกินไปแล้ว ของที่เสียหายภายในบ้านและห้อง ข้ามองคร่าว ๆ แล้วก็ไม่มีของมีค่าใด คิดดูแล้วมีเพียงต้องซ่อมหน้าต่างและโต๊ะเก้าอี้ใหม่ ข้ามีเงินอยู่ 1 – 2 ตำลึง ขอมอบให้กับท่าน”
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า เจ้าอ้วนเหยามองไปที่บ้านที่ทรุดโทรมของตนเองแล้วก็พลันใจสลาย
เขาฝืนยิ้มมุมปากและรับเงินจากเหยาซู จนกระทั่งกลุ่มคนเดินจากไป เขาก็รู้สึกอ่อนล้า… มองไปรอบ ๆ โดยไม่รู้ว่าจะนั่งพักที่ไหนดี
ภรรยาและลูก ๆ ร้องไห้ฮือ ๆ อยู่ด้านข้าง และไม่มีเรี่ยวแรงที่จะก่อความวุ่นวายอีก
เจ้าอ้วนเหยานั่งลงบนขอบเตียงเตาอย่างยอมรับชะตากรรม พลางพูดกับภรรยาของเขาว่า “ต่อให้คนบางคนจะดูอ่อนแอ แต่ก็ไม่ควรไปยุ่งกับพวกเขา… เจ้าไม่เห็นบิดาและพี่ชายของนางหรือว่าเป็นคนประเภทใด? ลูกสาวของเขาออกมาจากบ้านด้วยตัวเองเช่นนี้ เราจะไปยั่วโมโหได้อย่างไร?”
ภรรยาของเจ้าอ้วนเหยาเริ่มรู้สึกหวาดกลัว ทว่ายังปากแข็งฝืนพูดออกมา “นางจึงกล้าทุบทำลายข้าวของพวกเราน่ะหรือ? ทั้งที่สุดท้ายนางก็เสียเงินให้กับพวกเรา…”
เจ้าอ้วนเหยากล่าวอย่างโมโห “ขนาดเขามาทำลายบ้านแล้ว เจ้ายังต้องการอะไรอีก?! การชดเชยด้วยเงินของเขาใช่ว่าจะทดแทนเรื่องนี้ได้ทั้งหมด ยังดีที่วันนี้คนที่เจ้ายั่วโมโหคือเหยาซูจึงเกิดเรื่องแบบนี้ ข้าบอกไว้เลยว่าบิดาของเขาซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน และพี่ใหญ่ของเขาที่ออกไปทำการค้าข้างนอก ไม่มีใครไม่รู้จักพวกเขา? ไม่ต้องนึกถึงพี่รองของนางเลย เขาเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจการอยู่ในอำเภอ ด้วยฐานะของพวกเขาแล้วตรงไหนเล่าที่เราควรที่จะเข้าไปหาเรื่อง!”
ภรรยาของเจ้าอ้วนเหยารู้สึกคับแค้นใจ แต่ความขุ่นเคืองนั้นก็มอดดับด้วยความหวาดกลัว
เหยาซูไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้ ทั้งท่านพ่อเหยาและท่านแม่เหยาต่างรู้กันหมด แต่พวกเขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ในใจของเหยาซูยิ่งมีความคิดจะย้ายออกมาจากครอบครัวใหญ่แน่วแน่ขึ้น
เมื่อเด็กทั้งสองคนได้ยินว่าท่านแม่ได้ระบายโทสะให้กับพวกเขาแล้ว พวกเขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ดวงตาของอาจื้อเป็นประกายราวกับสุนัขที่ซื่อสัตย์ “ท่านแม่ ท่านพาคนไปทำลายบ้านของพวกเขาจริง ๆ เหรอ?”
เหยาซูดีดหน้าผากอาจื้อเบา ๆ “ทำไมเหรอ คิดว่าเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นหรือ”
“ว้าว! ท่านแม่ร้ายกาจมาก…”
เมื่อเห็นว่าลูกชายของตนเหมือนกับสุนัขตัวน้อยที่กระดิกหางไปมา เหยาซูก็หัวเราะ
อาจื้อพูดกับอาซืออย่างหนักแน่นว่า “ท่านแม่แข็งแกร่งเสมอเลย”
เหยาซูกอดลูกทั้งสองไว้พลางถอนหายใจเบา ๆ “เพราะพวกเจ้า แม่ถึงได้แข็งแกร่งขึ้น…”
………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
กระตุกหนวดนางเสือแม่ลูกอ่อนก็เจอดีแบบนี้แหละค่ะ นอนในบ้านผุ ๆ พังๆ ท้าลมหนาวไปนะครอบครัวเจ้าอ้วน
ไหหม่า(海馬)