ตอนที่ 112 หรือกำลังวิ่งอยู่บนฝ่ามือ

My Death Flags Show No Sign of Ending

เมื่อได้ยินว่าเอริกะฟื้นแล้ว ทั้งไลเนอร์และพรรคพวกต่างรู้สึกโล่งอก

ในที่สุดพวกเขาก็สามารถกลับมายิ้มได้อีกครั้ง

นั้นเพราะ ความเป็นศัตรูที่ฮาโรลด์แสดงออกมาอย่างชัดเจนและชัยชนะอันท่วมท้นได้สร้างบาดแผลขนาดใหญ่ใหักับกลุ่มของพวกเขา

ไม่เพียงแค่ที่พวกเขารู้สึกเจ็บปวดจากการทรยศของฮาโรลด์ พวกเขายังรู้สึกกังวลในความแข็งแกร่งของพวกเขาเองอีกด้วย

หลังจากได้สัมผัสความแข็งแกร่งอันหาที่สุดไม่ได้ของฮาโรลด์แล้ว พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าถ้าหากต้องเผชิญหน้ากันอีกครั้งพวกเขาจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่ ?

แต่ทว่าความยินดีที่ได้รับรู้ว่าเอริกะนั้นฟื้นแล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากได้เห็นสีหน้าของลีฟาที่เป็นผู้มาแจ้งข่าวนั้นเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด มันเครียดเสียจนแม้แต่ไลเนอร์ที่ไม่ค่อยละเอียดอ่อนกับความรู้สึกของคนอื่นยังสังเกตเห็นได้

และเมื่อไลเนอร์ถามกับเธอว่าเกิดอะไรขึ้นรึปล่าว ลีฟาเธอลังเลไปครู่หนึ่งถึงจะตอบกลับเขามาว่า

 

“——- เอริกะอยากจะคุยกับนาย ดังนั้นพรุ่งนี้ช่วยมาที่โรงพยาบาลหน่อยนะ”

 

แม้เธอจะพูดอย่างนั้นแต่การแสดงออกของเธอมันบ่งบอกเขาว่าอย่าไปตามที่เธอพูดเลยจะดีกว่า

ถ้าเป็นตามปกติ ไลเนอร์คงถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นั้นเพราะถ้าเขาได้ยินว่าเอริกะฟื้นแล้ว ไลเนอร์คงยืนกรานที่จะไปพบกับเอริะให้เร็วที่สุดเพื่อยืนยันความปลอดภัยของเธอด้วยตาของตนเองไปแล้ว

แต่เหตุผลที่ไม่ทำให้ไลเนอร์ทำเช่นนั้น นั้นเพราะเขาสามารถเดาจากอารมณ์ของลีฟาได้ว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำนั้นมันไม่อาจก่อให้เกิดผลดีใดๆ แถมในเวลานี้ไลเนอร์เองก็สภาพจิตใจไม่ค่อยจะดี หรือสรุปสั้นๆ จิตใจของเขาไม่พร้อมที่จะรับฟังข่าวร้ายใดๆได้อีกในตอนนี้

ซึ่งไลเนอร์ไม่ใชเพียงคนเดียวที่รู้สึกแบบนั้น สมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มต่างรู้สึกท้อแท้อยู่ไม่น้อยเช่นกัน ทำให้ไม่มีใครต่างพยายามมองเข้าไปหาความหมายที่แท้จริงในคำพูดของลีฟา

และวันรุ่งขึ้นก็มาถึง ไลเนอร์และคนอื่นๆต่างเดินทางมาที่โรงพยาบาลด้วยความรู้สึกที่เศร้าหมองกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

และด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ลีฟากับไม่ได้นำทางพวกเขาไปยังห้องที่เอริกะใช้พักรักษาตัวอยู่ แต่กลับพามายังห้องประชุมที่อยู่ภายในโรงพยาบาลแทน

ก็อกๆๆ—-

เสียงเคาะประตูของลีฟาดูหนักกว่าทุกครั้งที่เคย

แม้ว่าไลเนอร์จะมองเห็นเพียงแผ่นหลังของลีฟา แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าเธอนั้นดูตัวเล็กขนาดนี้ คนอื่นๆก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน

 

[ เชิญเข้ามาได้เลยค่ะ ] – เอริกะ

 

มันเป็นเสียงของเอริกะที่ดังมาจากด้านใน

น้ำเสียงของเธอยังคงเหมือนเดิมแต่ว่านั้นยิ่งกลับทำให้ไลเนอร์และคนอื่นๆรู้สึกไม่สบายใจยิ่งขึ้น

 

[ มีหนึ่งสิ่งที่จะต้องบอกไว้ก่อน ] – ลีฟา

 

ขณะที่ลีฟากำลังจะเปิดประตูเข้าไป แต่ว่ามือของเธอก็หยุดอยู่ที่ลูกบิดและกล่าวขึ้นมา

เธอกล่าวออกมาเช่นนั้น โดยไม่แม้จะหันหลังกลับมา

 

[ ทุกคน …เมื่อเข้าไปด้านในฉันอยากให้ทุกคนช่วยใจเย็นกันด้วยนะ โดยเฉพาะนาย ไลเนอร์ ] – ลีฟา

[ … เธอหมายความว่ายังไง ? ] – ไลเนอร์

[ พอนายเข้าไปก็จะเข้าใจเอง ] – ลีฟา

 

โดยไม่คลายความสงสัยให้กับไลเนอร์ ลีฟาเปิดประตูเข้าไปทันที

และสิ่งที่พวกเขาพบก็คือ เอริกะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องประชุม เธอสวมอยู่ในชุดกิโมโนเช่นเคย

ไลเนอร์กังวลมากเมื่อได้ยินมาเอริกะนั้นสลบไปเพราะใช้พลังเวทย์มากเกินไป แต่เขาก็รู้สึกโล่งใจที่ได้เห็นเอริกะที่ดูแข็งแรงดี

แต่มันเป็นความรู้สึกโล่งใจเพียงชั่วครู่

นั้นเพราะเขาได้เห็น หญิงสาวและผู้ชายคู่หนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ด้านหลังของเอริกะ ความรู้สึกโล่งใจเมื่อซักครู่กลับถูกถาโถมด้วยความรู้สึกโกรธเกรี้ยว

 

[ พ-พวกแก !!!!! ] – ไลเนอร์

 

2 คนนี้คือคนที่ทำร้ายพ่อแม่และชิงดาบของเขาไป 

นั้นทำให้ไลเนอร์จับไปที่อาวุธเพื่อเตรียมพร้อมในทันที แต่เขาก็รู้สึกตัวว่าเขาไม่ได้พกมันติดตัวมาด้วย ดังนั้นเขาจึงมองไปยังรอบๆห้องเพื่อหาอะไรที่เขาสามารถมาใช้เป็นอาวุธได้ แต่ว่ามันก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถใช้ได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะพุ่งเข้าไปต่อสู้ด้วยมือเปล่า

 

[ กรุณาใจเย็นลงก่อนค่ะ ] – เอริกะ

 

เอริกะยืนขึ้นอย่างช้าๆ และก้าวมาด้านหน้าของทั้ง 2 คนราวกับต้องการที่จะปกป้องพวกเขา

แน่นอนว่าการกระทำนี้ไม่เพียงพอที่จะสามารถทำให้ไลเนอร์รับฟังได้

 

[ ทำไม! ทำไมผมต้องใจเย็นด้วย !! พวกมันเป็นโจรที่ทำร้ายพ่อแม่ของผมนะ !!!! ] – ไลเนอร์

 

ด้วยคำพูดของไลเนอร์ ทำให้เด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังของเอริกะถึงกับตัวสั่น

ดูเหมือนว่ามันจะทำให้เธอรู้สึกกลัวหรือสะดุ้งเพราะอะไรบางอย่าง แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาของไลเนอร์ และที่สำคัญกว่านั้น เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเอริกะถึงพยายามปกป้อง 2 คนนี้ด้วย

ตอนนี้ไลเนอร์เริ่มรู้สึกสงสัยในตัวเอริกะอีกคน

หรือว่าเธอก็จะหักหลังพวกเขาเช่นกัน

 

[ ท่านไลเนอร์ ] – เอริกะ

 

แม้ว่าน้ำเสียงของเอริกะจะไม่แสดงถึงความคุกคามใดๆ แต่เมื่อได้ยินเธอกล่าวชื่อของเขาออกมา มันก็อดไม่ได้ที่ไลเนอร์จะสะดุ้ง

ด้วยสายตาที่เฉยชาที่มองเข้ามายังดวงตาของเขา เอริกะจึงถามขึ้น

 

[ คุณต้องการจะทำอะไรกับพวกเขากันแน่คะ ? ] – เอริกะ

[ ก็ – มัน … ! ] – ไลเนอร์

 

แม้ว่าไลเนอร์อยากจะตอบกลับแค่ไหน แต่ทว่าเขาก็ไม่สามารถหาคำพูดใดๆตอบกลับไปได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนนั้นคือเขาไม่สามารถอภัยให้ทั้ง 2 คนนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เขาถูกถามว่าต้องการจะทำอะไรกันแน่ เขากลับไม่สามารถอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดได้ แน่นอนว่านั้นไม่ได้หมายความว่าเขาอภัยให้กับพวกเธอทั้ง 2 แต่สิ่งที่เอริกะถามทำให้ไลเนอร์ตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องการจะทำอะไรกันแน่

 

[ คุณต้องการเพียงแค่ระบายความโกรธของคุณงั้นหรือคะ ? หรือคุณอยากจะให้พวกเขาทั้ง 2 ถูกลงโทษอย่างเหมาะสมกันแน่ ? ] – เอริกะ

[ ผ- ผมแค่ .. ] – ไลเนอร์

[ … ถ้าหากคุณยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน โปรดฟังที่พวกเขากำลังจะพูดเสียก่อนค่ะ มันยังไม่สายเกินไปที่คุณจะตัดสินใจหลังจากนั้น ] – เอริกะ

 

ตามคำพูดของเอริกะ พวกเขาทั้ง 2 ก็ก้าวขึ้นมาที่ด้านหน้าของเอริกะ

“เธอหมายถึงอะไร ? ทำไมถึงต้องรับฟัง 2 คนนี้ด้วย ?” มีคำถามเกิดขึ้นมากมายในใจของไลเนอร์ขณะที่มองไปยัง 2 คนนี้

พวกเขาทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้ๆอย่างช้าๆ แต่ทันทีที่พวกเขาเดินมาถึงที่ตรงหน้าของเขา พวกเขาทั้งคู่กับก้มโค้งลงอย่างสุดตัว

 

[ พวกข้าขอโทษจริงๆ! ] – เวนโตส

[ พวกเราขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆค่ะ! ]  – ลิเลี่ยม

 

คำขอโทษที่จู่ๆก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดทำให้ทุกๆคนในห้องรวมถึงไลเนอร์ต่างพากันสับสน

มีเพียงแค่ลีฟาและเอริกะเท่านั้นที่ไม่แสดงอาการใดๆ

ภายในห้องประชุมเงียบลงอยู่ครู่หนึ่ง

พวกเขาทั้งหมดยกเว้นเพียง 2 คนนั้นที่กำลังก้มโค้งขอโทษอยู่ต่างมองไปยังไลเนอร์ราวกับรอให้เขาพูดขึ้น 

 

[ … พวกแกหมายความว่ายังไง ? พวกแกขอโทษ? ขอโทษอะไร ? พวกแกทำร้ายพ่อแม่ของผมนะ! พวกท่านอาจถูกฆ่าตายได้เลย! แต่พวกแกกลับมาขอโทษ! พวกแกจะขอโทษยังไงก็ช่าง! ผมไม่มีทางที่จะให้อภัยแน่! ] – ไลเนอร์

 

ไลเนอร์เป็นคนแบบไหนงั้นหรือ ?

ใครก็ตามที่ได้รู้จักกับเขาก็ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไลเนอร์นั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ เขาไม่เคยพูดโกหก เขาเกลียดชังความอยุติธรรม

ในเมื่อพ่อแม่ของเขาไม่ได้ทำอะไรผิดแต่กลับต้องมาถูกทำร้าย แล้วจะให้เขาอภัยให้กับ 2 คนนี้ที่ทำร้ายพวกท่านได้อย่างไร ?

 

[ ถ้าหากพวกแกคิดที่จะขอโทษและสำนึกหลังจากทำเรื่องพวกนั้น ทำไมพวกแกไม่สำนึกที่จะไม่ทำเรื่องเลวๆพวกนั้นตั้งแต่แรกกันล่ะ!! ] – ไลเนอร์

 

ความโกรธของไลเนอร์ที่แฝงมาในน้ำเสียงของเขาทำให้อากาศรอบๆสั่นสะเทือนได้เลย

และมันทำให้ร่างอันผอมบางของเด็กสาวที่ยืนอยู่ต่อหน้าไลเนอร์ถึงกับสั่นเทาด้วยความกลัว

เธอนั้นยังเด็กอยู่

ในทางกลับกับ ผู้ชายอีกคนที่อยู่ข้างๆนั้น เขาโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว เขายังคงก้มโค้งอยุ่มั่นคงโดยไม่รับผลกระทบใดๆ

แต่สิ่งนี้ทำให้ชายคนนั้นต้องพูดขึ้น

เขาพูดขึ้นช้าๆ ราวกับกำลังคิดถึงในสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกมา

 

[ มันเป็นอย่างที่นายพูด สิ่งที่พวกเราทำลงไปนั้นมันไม่สามารถให้ให้อภัยได้ และพวกเราก็ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ ที่จะใช้ให้นายยกกโทษให้พวกเรา ] – เวนโตส

[ … แกอยากจะพูดอะไรกันแน่ ? ] – ไลเนอร์

[ ในเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ข้าจะสารภาพทุกอย่างและขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นข้าอยากขะขอให้นายยอมปล่อยลิเลี่ยม– เด็กคนนี้ไปจะได้มั้ย ? ] – เวนโตส

[ คุณเวนโตส !? ] – ลิเลี่ยม

 

เห็นได้ชัดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้มีชื่อว่าลิเลี่ยม เธอแสดงท่าทางด้วยความประหลาดใจอย่างมากราวกับไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดจะกลายมาเป็นเช่นนี้ ความสับสนทั้งหมดถูกแสดงออกมาทางสีหน้าของเธออย่างชัดเจน

 อย่างไรก็ตาม เวนโตสกลับพูดต่อโดยไม่สนใจปฎิกิริยาของเธอ

 

[ พวกเราจะสารภาพทุกอย่างในสิ่งที่พวกเราทำ และเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเราถึงต้องทำ ไม่ว่าจะเรื่องการขโมยหรือเรื่องอื่นๆทั้งหมด และหลังจากที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดนายจะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่นายได้เลย แต่ว่าก่อนอื่นอยากให้ช่วยรับปากว่าปล่อยลิเลี่ยมไ— ] – เวนโตส

[ มะ- ไม่! คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ คุณเวนโตส!!! ] – ลิเลี่ยม

[ …. ด้วยคำอธิบายแค่นั้นไม่เพียงพอสำหรับเขาหรือพ่อแม่ของเขาได้หรอก ไม่ว่าเหตุผลของพวกเราจะเป็นยังไง ข้าก็จะขอรับผิดชอบต่อผลของการกระทำของพวกเรา ] – เวนโตส

[ ถ้างั้น หนูก็จะรับผิดชอบด้วย! ] – ลิเลี่ยม

 

พวกเขาทั้งคู่เริ่มที่จะเถียงกัน

ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ไลเนอร์ก็พบว่าตนไม่สามารถที่จะทำอะไรได้นอกเสียจากเฝ้าดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ห่างๆ

และคนที่พูดขึ้นหยุดพวกเขาทั้งคู่ก็คือ ฮิวโก้

ฮิวโก้นั้นเงียบมาโดยตลอด บางทีเขาคงหมดความอดทนแล้วเช่นกัน

 

[ ฮืมม ไหนดูสิ เอาล่ะ พวกเธอทั้งคู่ช่วยสรุปสั้นๆให้พวกเราเข้าใจหน่อยจะได้มั้ย ? ] – ฮิวโก้

[…มันคงจะต้องใช้เวลาสักหน่อย ดังนั้นหากพวกคุณไม่ว่าอะไร ได้โปรด กรุณานั่งลงก่อนค่ะ มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะยืนอยู่กันเช่นนี้ ] – เอริกะ

 

ที่โต๊ะกลางห้องของห้องประชุมมีที่นั่งเพียงพอสำหรับทุกคน

ซึ่งเอริกะได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว

เธอนั่งลงที่หัวโต๊ะ ซึ่งไลเนอร์และคนอื่นๆนั่งลงที่ฝั่งซ้าย ส่วน ลีฟา เวนโตส และลิเลี่ยมนั่งลงที่อีกฝั่ง

เมื่อทุกคนนั่งประจำที่กันครบหมด เอริกะเธอก็เสริฟชาดำให้กับทุกคนเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง

 

[ เอาล่ะ คุณช่วยเล่าเรื่องของคุณให้ฟังอีกครั้งได้ไหมคะ ท่านเวนโตส? ] – เอริกะ

[ … ได้ อันดับแรก ข้าและลิเลี่ยม พวกเราต่างเกิดและเติบโตในเผ่าสเตลล่า ที่ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าเบลติส ] – เวนโตส

[ เอ๊ะ? แต่ป่่านั้นมัน—… ] – คลอเล็ต

 

คลอเล็ตแสดงอาการตกใจออกมาเมื่อได้ยินคำว่าป่าเบลติส

ซึ่งแตกต่างจากไลเนอร์ ที่เขายังคงเงียบ แต่เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น

 

[ พวกเราอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ ไม่ว่าจะดีหรือแย่ พวกเราก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขภายในป่าใหญ่ ] – เวนโตส

 

“อย่างไรก็ตาม เมื่อ 5 ปีก่อน สถานที่อันแสนสงบสุขของพวกเรากลับถูกทำลายลง” เวนโตสเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในเวลานั้น

ไลเนอร์เองก็ได้ยินเรื่องเหล่านี้มาบ้างจากปากของฮาโรลด์ การต่อสู้ในป่าเบลติสที่ซึ่งเป็นฝีมือของยูสตัส เหตุการณ์นี้น ทำให้เกิดการลักพาตัวคนของเผ่าสเตลล่าเป็นจำนวนมากเพื่อการทดลองอะไรบางอย่าง 

 

[ ไม่ใช่เพียงแค่ข้าและลิเลี่ยมเท่านั้นที่ถูกลักพาตัวมา ยังมีคนอีกจำนวนมากเช่นกัน แต่ว่า … ] – เวนโตส

 

แม้ว่าเขาจะพยายามหลบเลี่ยงที่จะไม่พูด แต่ทุกๆคนภายในห้องต่างเข้าใจดีในสิ่งที่เวนโตสพยายามจะสื่อ

ไม่มีใครที่รอดชีวิตกลับมาได้เลยซักคน

หากไม่ใช่เพราะฮาโรลด์บางที 2 คนนี้อาจจะต้องพบกับชะตากรรมเดียวกันคนอื่นๆ

 

[ ข้าเองได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับสิ่งที่ดร.ฟรอยด์กระทำ ถ้าคุณไม่รังเกียจ กรุณาลงลึกในรายละเอียดได้ไหม ? ] – ฟรานซิส

[ เขาฉีดของเหลวบางอย่างให้กับพวกเรา มีเครื่องจักบางอย่างถูกนำมาติดตั้งบนหัวของพวกเรา และกระตุ้นพวกเราด้วยการช๊อตไฟฟ้าจนกระทั้งพวกเราสลบไป …. หลังจากนั้นข้าเองก็จำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ที่แน่ๆ หมอนั้นกีดศีรษะของข้าเพื่อเปิดกระโหลกและผ่าตัดอะไรบางอย่างกับสมองของข้า ] – เวนโตส

 

คำตอบทั้งหมดที่เวนโตสกล่าวออกมาต่อคำถามของฟรานซิส ไม่มีส่วนใหนของประโยคเลยที่เรียกได้ว่ามีมนุษยธรรม

คลอเล็ตที่จินตนาการถึงสิ่งที่เขาโดนถึงกับหน้าซีดเผือก

 

[ ขณะที่การทดลองต่างๆดำเนินไป ข้าก็ไม่รู้สึกอะไรอีก ไม่มีแม้กระทั้งความเจ็บปวด ความสิ้นหวัง หรือความกลัว ] – เวนโตส

[ นายจะบอกว่าพวกนายถูกทรมาณจนกระทั้งสมองปิดกั้นตัวเองจากความเจ็บปวดแบบนั้นใช่มั้ย ? ] – ฟรานซิส

[ ไม่ … ดูเหมือนว่าจุดประสงค์ของการทดลองนี้คือการปิดกั้นเจตจำนงของตัวเรา ตัดความคิด ความรู้สึกต่างๆออกไป ] – เวนโตส

 

แน่นอนว่าคำตอบของเวนโตสนั้นยากที่จะเชื่อ

ใครกันจะสามารถปิดกั้นความคิด อามรมณ์ ความรู้สึกของคนๆหนึ่งได้ ?

อย่างไรก็ตาม ด้วยคำตอบนั้น ทำให้ไลเนอร์ตระหนักถึงบางสิ่ง

ในคืนนั้น ตอนที่เขาได้ปะทะกับเวนโตสและลิเลี่ยมเป็นครั้งแรก สายตาที่ไลเนอร์ได้เห็นนั้นเป็นสายตาที่ไร้ความรู้สึก เย็นชา จนดูราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิตอย่างไรอย่างงั้น

หากมาคิดดูดีๆ ทั้ง 2 คนนี้ในตอนนั้นดูไม่เหมือนมนุษย์ปกติจริงๆ

 

[ และหลังจากที่ข้าและลีเลี่ยมสูญเสียตัวตนไป พวกเราก็ถูกใช้ในฐานะเบี้ยของยูสทัส ] – เวนโตส

 

พวกเขาทั้งคู่กลายเป็นหุ่นเชิดที่รับคำสั่งจากยูสทัสเพียงผู้เดียวเท่านั้น 

ขณะอยู่ในสภาพนั้น พวกเขาทั้งคู่ไม่สามารถคิด หรือแสดงอารมณ์ใดๆได้อีก ไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกผิดบาปเลย

ตรงกันข้ามกับเวนโตสที่พูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย ลิเลี่ยมกลับมองลงต่ำด้วยความรู้สึกผิดพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า

หากทั้งหมดเป็นเรื่องจริง นี่จะเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมากสำหรับเด็กสาวอย่างลิเลี่ยม

ซึ่งสำหรับไลเนอร์ เขารู้สึกเห็นใจพวกเธอเป็นอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาทั้ง 2 จะเป็นศัตรูที่เขาไม่สามารถอภัยให้ได้ก็ตาม

 

[ ข้ามี 1 คำถาม หากอิงตามที่นายเล่า จะให้พวกเราสรุปว่าพวกนายไม่มีความทรงจำหรือความรู้สึกใดๆในตอนที่ถูกล้างสมองเลยใช่รึปล่าว ? ] – ฟรานซิส

[ ถ้าพูดให้ถูก ข้าเองก็พึ่งได้ความทรงจำของช่วงเวลาในตอนนั้นกลับมาและสามารถฟื้นคืนสติได้ ] – เวนโตส

[ นายได้ความทรงจำเหล่านั้นกลับมาได้อย่างไร ? ] – ฟรานซิส

[ ต้องขอบคุณท่านฮาโรลด์ข้าถึงฟื้นคืนสติได้ ] – เวนโตส

 

อีกครั้งที่ชื่อของฮาโรลด์ถูกเอ่ยขึ้นมา ร่างของไลเนอร์ถึงกับแข็งทื่อไป

มันทำให้จิตใจของเขาถูกผสมปนเปกันไปด้วยความโกรธ ความผิดหวัง และความเศร้าเสียใจ

อย่างไรก็ตาม ไลเนอร์ก็ทำได้เพียงอดทนมันไว้และรับฟังเรื่องราวที่เหลือของเวนโตสต่อ

 

[ ข้าคิดว่าพวกนายเองก็ได้เห็นกับตาแล้วในตอนนั้น จำตอนที่พวกเราต่อสู้กันบนคฤหาสน์ของแฮร์ริสันได้รึปล่าว ? ย้อนกลับไปตอนนั้น ท่านฮาโรลด์ได้โจมตีข้าและลิเลี่ยมด้วยด้ามดาบของเขา ในจังหวะที่ท่านฮาโรลด์ทำแบบนั้น ภาพทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็แว๊บเข้ามาในความทรงจำของข้า และทำให้ข้าจำเรื่องราวทั้งหมดได้ ] – เวนโตส

[ สรุปสั้นๆ นายกำลังจะบอกว่าฮาโรลด์ช่วยนายเอาไว้ ] – ฟรานซิส

[ ถูกต้อง แม้ว่าในตอนที่พวกเราถูกล้างสมอง พวกเราจะไม่สามารถสื่อสารใดๆได้ แต่ท่านฮาโรลด์ก็ปฎิบัติกับพวกเราเฉกเช่นมนุษย์คนหนึ่งและพยายามที่จะช่วยเหลือพวกเรามาโดยตลอด และที่สำคัญไปกว่านั้น หากไม่ใช่เพราะท่านฮาโรลด์ ทั้งข้าและลิเลี่ยมคงได้ข้ามเส้นสุดท้ายไปแล้ว … ] – เวนโตส

[ ฮืม เส้นสุดท้ายนั้น ? นายหมายถึง … ] – ฟรานซิส

[ … นายเองคงจะเดาได้สินะ คำสั่งต่างๆที่ยูสทั้งมอบให้กับพวกเรานั้น มันไม่สนว่าเป้าหมายจะอยู่หรือตาย ] – เวนโตส

 

หรือก็คือ ต่อให้ต้องสังหารผู้คน พวกเขาทั้งคู่ก็พร้อมที่จะทำตามเพื่อให้ภารกิจของพวกเขาสำเร็จ

 

[ ไลเนอร์ พ่อแม่ของนายน่ะแข็งแกร่งมาก แม้ว่าพวกเราจะถูกดัดแปลงร่างกายและถูกฝึกฝนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการต่อสู้ แต่ว่าพวกท่านยังสามารถรับมือพวกเราได้อย่างเท่าเทียม หากในตอนนั้นพวกข้าทำตามที่ได้รับคำสั่งมาจากยูสทัส ข้าเองก็ไม่คิดว่าเรื่องทุกอย่างจะไม่จบลงโดยที่ไม่มีใครตายได้ ] – เวนโตส

[ …. เดี่ยวก่อนะ นายจะบอกว่าฮาโรลด์เองก็อยู่ด้วยงั้นหรอในเวลานั้น ? ] – ไลเนอร์

[ อืมใช่ ท่านฮาโรลด์เองก็อยู่ด้วยในคืนนั้น พวกเราทั้ง 3 ได้รับภารกิจมาเหมือนกัน ] – เวนโตส

 

มีบางอย่างผิดปกติ ข้อสงสัยเหล่านั้นผุดขึ้นในใจของไลเนอร์

ถ้าหากฮาโรลด์อยู่ด้วยในตอนนั้นจริง เขาจะอดทนแอบดูอยู่เฉยๆโดยไม่เข้ามาช่วยได้จริงๆหรือ ? 

สำหรับไลเนอร์แล้ว คำตอบนั้นแน่ชัดอยู่แล้วคือ ไม่มีทาง ฮาโรลด์ไม่ใช่คนแบบนั้น

ถ้าหากฮาโรลด์เป็นคนเข้าต่อสู้กับพ่อแม่ของไลเนอร์ เขาคงสามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆลงได้อย่างอยู่หมัดโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเสียด้วยซ้ำ

แล้วทำไมฮาโรลด์ต้องทำเรื่องไร้สาระอย่างการแอบดูอยู่เงียบๆด้วย ทำไมเขาถึงต้องทำอะไรยุ่งยากอย่างการแอบดูการต่อสู้อยู่เงียบๆ แทนที่จะลงมือจัดการง่ายๆด้วยตนเอง ?

 

[ แล้ว ฮาโรลด์กำลังทำอะไรอยู่ในตอนนั้น ? ] – ไลเนอร์

[ … ข้าเองก็ไม่รู้ ท่านฮาโรลด์ปล่อยให้พวกเรารับมือกับพ่อแม่ของนาย แต่เขาได้สั่งกับพวกเราเอาไว้ว่าห้ามฆ่าพวกท่านเด็ดขาด ] – เวนโตส

 

คำตอบเหล่านี้อาจเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า คำสั่งของฮาโรลด์นั้น เป็นสิ่งที่ช่วยห้ามไม่ให้พวกเขาทั้งคู่ข้ามเส้นสุดท้ายไป

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้กลับทำให้ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง

ถ้าหากเวนโตสและลิเลี่ยมทำตามคำสั่งของฮาโรลด์จริง 

ใครที่ได้ฟังคงจะคิดว่า ฮาโรลด์คงยุ่งอยู่กับการขโมยดาบโดยที่ให้เวนโตสและลิเลี่ยมเข้าต่อสู้ถ่วงเวลา

อย่างไรก็ตาม ไลเนอร์รู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้น นั้นเพราะเขาจำได้ดีว่าตอนนั้นเขาเห็นเวนโตสกำลังสะพายกล่องที่บรรจุดาบของเขา

 

[ ทำไมล่ะ ทำไมต้องทำให้เกิดการต่อสู้ขึ้นด้วย ? ทำไมพวกนายและฮาโรลด์ไม่ขโมยดาบไปเงียบๆ ? ] – ไลเนอร์

[ ท่านฮาโรลด์ไม่ได้บอกถึงเหตุผลเหล่านั้นกับพวกเรา เขาบอกเพียงแค่ว่าพวกเราถูกพบแล้วเท่านั้น ] – ฮาโรลด์

 

นี่มันฟังดูราวกับเป็นเรื่องตลกร้ายสำหรับไลเนอร์ เขาควรจะทำใจเชื่อจริงๆหรือว่าคนที่มีความสามารถอย่างฮาโรลด์เนี้ยนะจะสามารถถูกตรวจพบโดยนักผจญภัยวัยเกษียณแล้วสองคน ?

แต่จะเป็นอย่างไรหากการที่เวนโตสและลิเลี่ยมเข้าต่อสู้กับพ่อแม่ของไลเนอร์นั้นเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของฮาโรลด์ ? ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่าฮาโรลด์จงใจให้ตัวเองถูกเจอตัวเพื่อบรรลุจุดประสงค์เหล่านั้น 

หากเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่ได้จากผลการต่อสู้คืออะไรกันแน่ ? และเหตุใดสิ่งเหล่านี้ถึงนำพาให้เขาต้องมาพบเจอกับฮาโรลด์อีกครั้งในที่สุด

ไลเนอร์คิดอะไรไม่ออก ทุกๆอย่างตื้อไปหมดจนได้ยินเสียงของหัวใจตัวเองเต้นดังอยู่ในหูของเขา ตัวของเขาเริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อ ถึงกระนั้นมันก็มีคำถามหนึ่งที่เขาอยากจะถามออกไปให้ได้

 

[ หลังจากที่นายขโมยดาบไปแล้ว ผมไล่ตามไปจับนายได้ยังไงกัน ? ] – ไลเนอร์

 

เท่าที่ไลเนอร์จำได้ หลังจากที่เขาวิ่งไล่ตามโดยไม่หยุดพัก ในที่สุดเขาก็มาถึงที่หุบเขาแห่งหมอก

ทัศนะวิสัยในตอนนั้นค่อนข้างแย่ ทำให้ยากยิ่งขึ้นสำหรับไลเนอร์ที่เหนื่อยมากอยู่แล้วเป็นทุนเดิมที่จะสามารถไล่ตามต่อไปได้

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะพักเสียหน่อย แต่สุดท้ายมันกลับกลายเป็นเขาเผลอหลับไปจนถึงเช้าแทน

จนถึงตอนนี้ ไลเนอร์คิดมาโดยตลอดว่าเขาโชคดีมากๆที่โจรทั้ง 2 นั้นหยุดพักเช่นเดียวกันเขา 

แต่จากสิ่งที่เขาได้ฟังมาทั้งหมดในวันนี้ มันสรุปได้ว่า ลิเลี่ยมและเวนโตสในเวลานั้นเป็นหุ่นเชิด ไม่มีทางที่พวกเขาทั้งคู่จะหยุดพัก หากไม่ได้รับคำสั่งให้ทำเช่นนั้น

 

[ นั้นเพราะท่านฮาโรลด์สั่งให้พวกเรารออยู่ในหุบเขาแห่งหมอกจนกว่าเขาจะตามมาสมทบ ] – เวนโตส

 

คำพูดนี้ทำให้ไลเนอร์สามารถประติดประต่อเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ในที่สุด

เพราะฮาโรลด์ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ ทำให้พ่อแม่ของไลเนอร์ต้องได้รับบาดเจ็บ ผลที่ได้ ไลเนอร์จึงไล่ตามพวกโจรไปเพียงคนเดียว

และเหตุผลเดียวที่ไลเนอร์สามารถไล่ตามพวกโจรได้ทันก็เพราะฮาโรลด์สั่งให้พวกเขาทั้งคู่อยู่ในจุดๆนั้น เพราะถ้าฮาโรลด์ไม่ออกคำสั่งเช่นนั้น พวกเขาทั้งคู่ก็จะสามารถหลบหนีไปโดยไม่ต้องพักและถูกจับได้แต่อย่างใด

และหลังจากนั้น คลอเล็ตก็ออกมาจากหมู่บ้านและตามมาช่วยเขา ซึ่งเขาก็ได้มารู้ในภายหลังว่าฮาโรลด์เป็นคนผลักดันให้เธอทำแบบนั้น

และหลังจากนั้น ฮาโรลด์ก็โผล่เข้ามาช่วยพวกเธอทั้งคู่ในจังหวะที่พอดิบพอดี

ซึ่งก่อนที่ฮาโรลด์จะปรากฎตัว ไลเนอร์และคลอเล็ตก็ได้เผชิญกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างไม่เคยพบมาก่อน แม้ว่าไลเนอร์และคลอเล็ตจะสามารถยืนหยัดและเอาชนะเวนโตสกับลิเลี่ยมมาได้ แต่กับคู่ต่อสู้คนนี้นั้นไม่มีหวังเลย

แม้ว่าคนๆนี้จะปกปิดตัวตัวเช่นเดียวกับเวนโตสและลิเลี่ยม แต่ในตอนนั้น มีแว๊บหนึ่งที่ไลเนอร์เผลอคิดไปว่า คนๆนี้ ทั้งความแข็งแกร่งและความเร็วคล้ายคลึงกับฮาโรลด์ที่เขาเคยสู้ด้วยในอดีต

จะเป็นยังไงถ้านั้นไม่ใช่การเข้าใจผิด ? ถ้าตัวตนจริงๆของคนๆนั้นคือฮาโรลด์นั้นเอง ? ด้วยทัศนวิสัยที่มองได้ยากในหุบเขาแห่งหมอก ก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหายตัวไปและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเพื่อปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง

แม้จะไม่รู้ว่าทำไมฮาโรลด์ถึงต้องทำอะไรแบบนี้ หรือเป้าหมายสุดท้ายของฮาโรลด์คืออะไรกันแน่ แต่การกระทำทั้งหมดของฮาโรลด์เป็นสิ่งนำไปสู่การกระทำของไลเนอร์ในเวลาต่อมาทั้งหมด มันจึงอดไม่ได้ว่าเขากำลังวิ่งอยู่บนฝ่ามือของฮาโรลด์

ราวกับฮาโรลด์อยู่เบื้องหลังทั้งหมดและเป็นคนผลักดันให้ไลเนอร์เข้าสู่ในสถานการณ์ปัจจุบันของเขา และถ้าใช่—

 

“—–ผมเป็นคนเดียวรึปล่าวที่คิดว่าพวกเราเป็นเพื่อนกัน …”

 

ไลเนอร์ได้แต่กลืนความคิดที่ผุดขึ้นมานี้ลงไปในลำคอ

ซักมุมหนึ่งในหัวใจของไลเนอร์ เขายังคงเชื่อในตัวของฮาโรลด์ เขาอยากจะเชื่อแบบนั้น และเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิด และครั้งต่อไปที่พวกเขาทั้งคู่พบกันพวกเขาจะสามารถกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้งได้

ตอนนี้ เขารู้สึกเศร้างั้นรึ ? หรือว่าเสียใจ ? ไลเนอร์เองก็บอกไม่ได้ว่าเขารู้สึกยังไงกันแน่

สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการพูดกับตัวเอง

 

[ บ้าเอ้ย ] – ไลเนอร์

 

มันเป็นเสียงที่พูดออกมาอย่างแผ่วเบา