เมื่อมองชายที่พยายามกดความโกรธจนเขาไม่กล้าเอ่ยคำใดแล้ว ชายวัยกลางคนก็พ่นลมหายใจเย้ยหยันออกมาก่อนเอ่ย “หากเจ้ามีเวลาคิดแก้แค้นไป๋หลี่จีหราน เหตุใดไม่ใช้เวลาตรงนั้นช่วยคิดหาทางเพิ่มกำลังอำนาจให้หุบเขาไร้กังวลแทนเล่า พวกเราจะได้เหนือกว่าพวกมือถือสากปากถือศีลที่กล่าวว่าตนมีศีลธรรมสูงส่งอย่างสำนักละอองหมอกและสำนักไร้สิ้นสุดได้”
“ข้าน้อยคิดน้อยเกินไป” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา จากนั้นใบหน้าพลันเจือด้วยแววยินดี “แม้ไป๋หลี่จีหรานจะยื่นมือเข้ามา หากแต่ในเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญครั้งนี้ ทั้งเชียนชางและเชียนเฉินแสดงฝีมือได้ดีมาก โดยเฉพาะเชียนชางที่สามารถนำตำแหน่งนักบุญชายอันสูงส่งกลับมาได้ ทั้งยังได้รับสมบัติล้ำค่าจากองค์ฮ่องเต้ แล้วยังได้ทำคำขอส่วนตัวให้เป็นจริงหนึ่งข้อ”
ได้ยินเช่นนั้น ชายวัยกลางคนจึงเผยสีหน้าปรานีออกมา “เชียนชางเป็นหน่ออ่อนล้ำค่าของสำนักเรา อนาคตไกลยิ่งนักหากได้รับการฟูมฟักอย่างถูกต้อง กระทั่งบนดินแดนระดับสูงอย่างแดนเมฆาสวรรค์ก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม”
“ท่านเจ้าหุบเขาสายตากว้างไกลนัก”
ที่อีกด้านหนึ่ง ตั้งแต่เยี่ยนหนิงลั่วแนะนำให้เหล่าน้อง ๆ ของนางลองไปทำการทดสอบเข้าสำนักละอองหมอก เยี่ยนซู่ก็เริ่มจริงจังนับแต่ตอนนั้น เขาถึงขนาดเชิญอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยสอนอยู่ในสำนักละอองหมอกมาก่อนมายังจวน ในอดีตผู้อาวุโสท่านนี้เคยได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์หนึ่ง ตนเองไม่อยากเป็นตัวถ่วงของสำนัก ดังนั้นจึงทิ้งตำแหน่งตนเองออกมา
เยี่ยนซู่รู้จักกับผู้อาวุโสท่านนี้ ทั้งเยี่ยนหนิงลั่วยังเคยได้รับการสั่งสอนจากเขามาก่อน
ในลานฝึกจวนหย่งอันอ๋องตอนนี้ เยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่ยืนพร้อมเพรียงกันกับชิงอวี่ และชิงเป่ย เยี่ยนซู่ส่งคนไปบอกข่าวพวกนางตั้งแต่เช้าตรู่ว่าให้พวกนางมารอที่นี่
แม้ชิงเป่ยจะยังคงนั่งเก้าอี้เข็น หากแต่อวิ๋นฉีกล่าวกับเยี่ยนซู่เมื่อไม่กี่วันก่อนว่าอาการของเด็กหนุ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ โอกาสที่จะสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งสูง เยี่ยนซู่จึงคิดว่าภายในเวลาครึ่งปีนี้ ชิงเป่ยอาจจะสามารถลุกจากเก้าอี้เข็นได้อีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงบอกให้ชิงเป่ยมาด้วยเช่นกัน
อาจเป็นเพราะชีวิตผกผัน ต้องจากความหรูหราสุขสบายไปในไม่ช้า สำหรับเยี่ยนซีอู่ที่มีอารมณ์มั่นคงนับว่าไม่แย่เท่าใดนัก หากแต่การเปลี่ยนแปลงนี้สำหรับเยี่ยนซีโหรวถือว่าหนักหนา นางเคยเป็นแม่นางน้อยรูปร่างอวบเล็กน้อย ตอนนี้กลับกลายเป็นผอมบางลงมาก กระทั่งไม่ว่าจะถูกล่อด้วยชุดงามหรือเครื่องประดับล้ำค่าใดก็ไม่อาจดึงความสนใจนางได้
เยี่ยนซีอู่วางท่าสงบนิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แตกต่างกับใบหน้าของเยี่ยนซีโหรวนัก
เวลาเกือบหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ด้านนอก เสียงหนึ่งหนักแน่นกว่าเล็กน้อย อีกเสียงหนึ่งแผ่วเบาทุกย่างก้าว ไม่นานก็เห็นคนสองคนเดินเข้ามาด้านใน เยี่ยนซู่เดินนำชายชรารูปร่างผอมผู้หนึ่งที่ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่เข้ามาด้านใน
ชายชราสวมชุดผ้าเนื้อธรรมดายิ่ง ผมกว่าครึ่งเป็นสีดอกเลา แม้จะมีอายุมากพอควร หากแต่ท่าทางดูมีกำลังวังชา แววตาไม่ขุ่นมัว ยังคงเฉียบคมและหนักแน่น ดูเป็นผู้ยิ้มยากผู้หนึ่ง
“พวกเจ้ารีบมาเร็วเข้า ข้าจะแนะนำให้รู้จัก” เยี่ยนซู่กวักมือเรียกเด็ก ๆ “ท่านนี้คือผู้อาวุโสฉินฟาง เป็นอาจารย์ที่ข้าเชิญมาช่วยสั่งสอนพวกเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้น ในหกเดือนนี้ท่านจะสอนวิชาและเคล็ดลับต่าง ๆ เพื่อให้พวกเจ้าสามารถผ่านการทดสอบเข้าสำนักละอองหมอก พวกเจ้าจะได้เข้าไปเรียนรู้วิชาในสำนักได้”
พูดจบเขาก็หันไปกล่าวกับชายชรา “ผู้อาวุโสฉิน เด็กเหล่านี้คือลูก ๆ ที่ฝีมือด้อยกว่าหนิงเอ๋อร์อยู่เล็กน้อย หวังว่าผู้อาวุโสฉินจะสามารถสั่งสอนบางสิ่งให้พวกเขาได้บ้าง”
ฉินฟางพยักหน้ารับ “ท่านอ๋องก็กล่าวเกินไป หากนายน้อยและคุณหนูเหล่านี้ตั้งใจจริง ชายชราผู้นี้จะสอนทุกสิ่งทุกอย่างที่มีให้จนสิ้นไม่ปิดบัง”
เยี่ยนซู่เตือนพวกเด็ก ๆ ให้เชื่อฟังผู้อาวุโส ไม่ให้ใช้กลลวงหรือขี้เกียจ ไม่เช่นนั้นจะมีบทลงโทษรออยู่
พูดเสร็จเขาก็เดินจากไป
ฉินฟางกวาดสายตามองกลุ่มเด็กตรงหน้า ก่อนจะหยิบหินสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เขาวางมันลงกลางลานฝึก ทันทีที่หินก้อนนั้นแตะพื้น มันก็ขยายตัวใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นหินขนาดใหญ่ สูงเท่าครึ่งตัวคน “พวกเจ้าทุกคนลองมาทดสอบกับศิลานี่ ข้าต้องประเมินพรสวรรค์และระดับพลังของพวกเจ้าเสียก่อน”
หินขาวก้อนนี้คือศิลาทดสอบพรสวรรค์ ในดินแดนแห่งนี้ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก
ศิลานี้ใช้ทดสอบพรสวรรค์ของตัวคนเพื่อให้รู้ว่าคนผู้นั้นมีธาตุอะไร และใช้ทดสอบระดับพลัง ศิลานี้ของฉินฟางเหนือกว่าศิลาทดสอบอื่น ด้วยสามารถยืดหรือหดขนาดลงได้ตามใจสั่ง พกติดตัวไปไหนมาไหนสะดวก ไม่เหมือนศิลาทดสอบพรสวรรค์ในสำนักต่าง ๆ ที่มีขนาดใหญ่โต ไม่อาจเคลื่อนได้ หินก้อนนี้จึงเหมือนสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับการเสริมพลังชิ้นหนึ่ง
เยี่ยนซีโหรวยืนหน้าซีด นางกำลังจะอ้าปากพูดบางอย่าง หากแต่สายตาเฉียบคมของฉินฟางกลับตวัดมามองที่นาง นางรีบหลบตา ก่อนจะถอนหายใจยอมแพ้ ค่อย ๆ เดินไปวางมือบนศิลาแผ่นนั้น
แสงเรืองแผ่ออกมาจากศิลาทดสอบพรสวรรค์ เป็นแสงเรืองสีเหลืองโคลน นอกจากเยี่ยนซีอู่แล้ว คนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงกันหมด
กระทั่งใบหน้าเรียบเฉยของฉินฟางยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับไม่คิดว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้
แสงที่แผ่ออกมาเป็นสีของธาตุดินที่มีพลังป้องกันแข็งแกร่งมาก หากแต่แสงจากธาตุดินมักจะเป็นแสงสีเหลืองสว่าง ทั้งยังเป็นสีเหลืองจัด แสงสีเหลืองที่สำแดงออกมาเมื่อครู่บ่งบอกให้ทุกคนเห็นชัดว่าเช่นนี้คือธาตุ “โคลน”
ธาตุ “โคลน” คืออะไรงั้นหรือ? มันเป็นธาตุคล้ายธาตุดิน หากแต่มีความสามารถในการป้องกันเพียงน้อยนิด พูดตรง ๆ ก็คือเป็นธาตุที่เงอะงะงุ่มง่ามที่เกิดจากพื้นฐานร่างกายอันไร้ค่า
ไม่แปลกที่เยี่ยนซีโหรวทำหน้าเหมือนกำลังจะไปตาย ความสามารถไร้ประโยชน์เช่นนี้หาได้ยากนัก นับได้ว่าส่งนางไปสำนักละอองหมอกก็เท่ากับส่งไปตาย!
เยี่ยนซีโหรวเดินก้มหน้าออกมา นางละอายใจจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเผชิญสายตาดูถูกของคนรอบข้าง
เยี่ยนซีอู่มองนางขมวดคิ้ว จากนั้นก้าวออกไปทดสอบเป็นคนที่สอง แสงเรืองสีน้ำเงินเปล่งออกมาศิลาทดสอบพรสวรรค์ครู่หนึ่งก่อนจางหายไป เป็นธาตุน้ำ หากดูจากความเข้มของแสงแล้ว ดูท่านางจะเพิ่งเข้าใจพลังธาตุของตนเอง ก้าวเข้าสู่หนทางแห่งการบำเพ็ญตนในที่สุด
ฉินฟางขมวดคิ้วแน่นจนแทบฆ่าแมลงที่บินผ่านไปมาได้ เทียบกับเยี่ยนหนิงลั่วเมื่อก่อน เด็กสาวสองคนนี้ไม่เพียงฝีมือด้อยกว่าเล็กน้อย หากแต่เรียกได้ว่าเทียบกันไม่ติด!
จากนั้นเขาก็เลื่อนสายตาไปมองคู่แฝดชายหญิงที่มีใบหน้างดงามโดดเด่นด้านข้าง นัยน์ตาเขาล้ำลึกขึ้น สังเกตว่าเด็กทั้งสองคนมีท่าทางสงบและสำรวมท่าทีตั้งแต่ต้น ท่วงท่ามั่นคงนัก ในใจพลันคิดสงสัย….. ว่าเด็กสองคนนี้มีพลังสูงส่งหรือเพียงวางท่าไปอย่างนั้นกันแน่
ชิงอวี่มองศิลาทดสอบพรสวรรค์ด้วยความสนใจ นางตบไหล่เด็กหนุ่มก่อนเอ่ยเสียงเบา “เจ้าไม่ไปลองดูเล่า? ข้าอยากเห็นว่าเจ้ามีพลังถึงขั้นไหนแล้ว”
ชิงเป่ยพยักหน้า เคลื่อนเก้าอี้เข็นไปยังหน้าศิลาทดสอบพรสวรรค์ จากนั้นโน้มตัวไปข้างหน้า เอื้อมมือแตะลงบนแผ่นศิลา ดันใดนั้นแสงสีม่วงพลันเปล่งประกายจ้าออกมา
นัยน์ตากระจ่างของฉินฟางพลันส่องประกายวาบ “สายฟ้า!”
หากแต่พริบตาต่อมา ก็มีแสงสีทองเปล่งออกมาอีก ภายในแสงสีทองนั้นมีจุดแสงสีแดงที่ส่องสว่างราวดวงตะวันสีเลือดซุกซ่อนอยู่
“เป็นไปได้อย่างไร!?” ฉินฟางไม่อยากเชื่อสายตาตน นั่นมันธาตุทองหรือ? หากแต่แสงสีแดงภายในนั้นเป็นธาตุไฟไม่ผิดแน่
หรือจะเป็นธาตุทองแปรธาตุ? อาจจะเป็นธาตุที่แข็งแกร่งกว่าธาตุทองก็เป็นได้!
ชิงอวี่เลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นแสงสีทองผสมสีแดงส่องวาบขึ้น เหตุใดนางจึงรู้สึกว่า….. นางเคยเห็นไฟธาตุเช่นนั้นมาก่อนเล่า?!
“นายหญิง นั่นคือธาตุเปลวอัคคี เด็กที่สืบสายเลือดมาจากตระกูลโบราณจะมีพรสวรรค์นี้ ธาตุเปลวอัคคีในร่างของนายหญิงแข็งแกร่งกว่าของเด็กคนนี้มาก” เสียงเล็ก ๆ ของจั้งไหมดังขึ้นในร่าง
“ธาตุเปลวอัคคี?” ชิงอวี่เพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรกจึงอดสงสัยไม่ได้ “เช่นนั้นธาตุนี้มีสิ่งใดพิเศษ?”
“ธาตุนี้มีความสามารถในการฟื้นฟูตน ไม่ว่าบาดแผลจะหนักหนาเพียงไหน หากแต่ผู้ที่ถือครองธาตุนี้ยังสามารถฟื้นฟูร่างกายตนได้ การโจมตีของธาตุนี้ยิ่งรุนแรงกว่าขีดสุดของธาตุน้ำแข็งเสียอีก ซัดพลังเพียงครั้งก็สามารถสังหารผู้มีฝีมือได้แล้ว” จั้งไหมอธิบาย
ชิงอวี่อดเดาะปากทำเสียงประหลาดใจไม่ได้ “ทรงพลังถึงเพียงนี้เชียวหรือ? เช่นนี้ก็เหมือนใช้วัตถุศักดิ์สิทธิ์เลยน่ะสิ? ถึงจะถูกตีจนใกล้ตายก็ยังสามารถรักษาตนจนหายดีได้ในเวลาไม่นาน ทั้งยังไม่เหนื่อยเลยด้วย”
“ส่วนมากจะเป็นเช่นนั้น หากแต่มีข้อดีย่อมมีข้อเสีย ในวันหนึ่งบาดเจ็บได้เพียงหนึ่งครั้ง หากยังได้รับบาดเจ็บอีก ความเจ็บปวดจะมากกว่าปกติทวีคูณเป็นสิบเท่า”
ชิงอวี่นิ่งไป “…..” น่ากลัวมาก นางไม่บาดเจ็บย่อมดีที่สุด
อีกด้านหนึ่ง สายตาฉินฟางที่มองชิงเป่ยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขาเห็นเด็กหนุ่มมีความสามารถมากคนหนึ่ง ทั้งยังมีพรสวรรค์ล้ำหน้ากว่าสตรีอัจฉริยะเยี่ยนหนิงลั่ว
แม้ชิงอวี่จะลองทดสอบหลังจากนั้นและได้ธาตุไฟ หากแต่เทียบกับธาตุสายฟ้าและธาตุทองแปรธาตุของชิงเป่ยแล้ว ธาตุของนางไม่นับว่าน่าประทับใจเท่าของชิงเป่ย
ในหมู่คนสี่คน พรสวรรค์ของชิงเป่ยนับว่าโดดเด่นมากที่สุด ฉินฟางชื่นชอบเขามากเป็นพิเศษ หากแต่เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นแล้ว เขาก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ พรสวรรค์สูงส่งเช่นเด็กคนนี้แต่กลับต้องถูกผูกติดไว้กับเก้าอี้เข็น เรียกได้ว่าสวรรค์ริษยาคนมีความสามารถโดยแท้!
“เจ้าชื่ออะไร?” ฉินฟางเอ่ยถาม มองเด็กหนุ่มด้วยความเมตตา
“ตอบท่านผู้อาวุโส ข้ามีนามว่าเยี่ยนชิงเป่ย ส่วนนี่คือพี่สาวข้า นามว่าเยี่ยนชิงอวี่”
แม้เขาจะไม่รู้ว่าชิงอวี่ซ่อนเร้นพลังของนางให้ออกมาธรรมดาสามัญเช่นนี้ได้อย่างไร ทำให้เขากลายเป็นจุดรวมความสนใจ หากแต่ก็ไม่ต้องการให้คนอื่นดูถูกนางเช่นกัน
ฉินฟางพยักหน้ารับ “ไม่เลว ไม่เลว พวกเจ้าทั้งคู่ฝีมือไม่เลวทีเดียว ส่วนขาของเจ้า…..”
“ผู้อาวุโสมิต้องเป็นกังวล ขาของข้ากำลังฟื้นตัว ท่านนักปรุงยาหลวงจากราชสำนักกล่าวว่าอีกครึ่งปีข้าจะสามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งหนึ่ง” ชิงเป่ยกล่าว
“เยี่ยมมาก ไม่เช่นนั้นร่างกายของเจ้าอาจส่งผลกระทบต่อโอกาสในการเข้าสำนักละอองหมอกได้” ฉินฟางพยักหน้ากล่าว สีหน้าดูพึงพอใจ
เยี่ยนซีอู่สายตาทะมึนลง นางกำมือแน่นแต่ไม่ได้เอ่ยอันใด
ส่วนเยี่ยนซีโหรวยืนตาแดงก่ำ สายตาจ้องไปยังชิงอวี่และชิงเป่ยที่ได้รับความสนใจจากท่านอาจารย์ด้วยความเกลียดชัง นางกัดริมฝีปากอิ่มของตนจนเลือดออก
เหตุใดนางจึงเกิดมามีพื้นฐานร่างกายไร้ค่าเช่นนี้ เด็กสองคนนั้นด้อยกว่านางมาโดยตลอด เหตุใดเด็กที่เกิดจากนางบำเรอชั้นต่ำกลับสามารถครอบครองพรสวรรค์สูงส่งเช่นนี้ได้?
นางไม่ได้อยากเข้าสำนักละอองหมอกอะไรนั่นแม้แต่นิด แต่ตอนนี้นางกลับถูกฉีกหน้าถึงเพียงนี้
ฉินฟางสั่งสอนเด็กหนุ่มอีกเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทางเยี่ยนซีอู่ “ความสามารถเจ้าด้อยไปเล็กน้อย เพิ่งเข้าใจพลังธาตุในร่างหากแต่เริ่มตอนนี้นับว่ายังไม่สาย สิ่งที่เจ้าต้องเรียนรู้ในตอนนี้คือการดูดซับพลังวิญญาณจากรอบกายตนเพื่อนำมาเสริมพลังบำเพ็ญเพียร อีกสักพักข้าจะสอนวิธีให้เจ้า”
“รับทราบเจ้าค่ะ” เยี่ยนซีอู่ตอบ
ฉินฟางพูดจบก็หันมาทางเยี่ยนซีโหรวที่ยืนหน้าซีดอยู่ “ส่วนเจ้า…..”