บทที่ 76 ฝ่ามืออสนีบาตฉบับปรับปรุง

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

ฉินฟางหยุดไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “ทำความเข้าใจพลังธาตุในร่างกายของเจ้าเองก่อนเป็นลำดับแรก ตั้งแต่โบราณมา ผู้ที่มีพื้นฐานพลังวิญญาณก็เคยมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นมาก่อน เจ้ามีธาตุดิน หากสามารถเพิ่มพลังป้องกันของตนได้ย่อมเป็นกองกำลังป้องกันที่ดีได้”

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ” เยี่ยนซีโหรวกล่าวอย่างอ่อนน้อม

ฉินฟางใจดีกับชิงเป่ยเป็นพิเศษ ดังนั้นเจอกันครั้งแรกก็มอบคัมภีร์ฝึกวิชาชื่อว่า ‘ฝ่ามืออสนีบาต’ ให้ ชิงอวี่เองก็ดูจะเป็นที่โปรดปรานไม่น้อยด้วยมีน้องชายฝาแฝดเป็นผู้มีพรสวรรค์ ระหว่างสอนคาถาธาตุไฟที่สามารถเสริมพลังให้แกร่งขึ้นได้ยังยิ้มให้นางอยู่บ่อยครั้ง

การกระทำเหล่านี้ย่อมทำให้เยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่ยิ่งริษยาและเกลียดชังเด็กแฝดมากกว่าเดิม

หลังจากนั้นคนทั้งหมดก็เริ่มการฝึกในวันแรก ฉินฟางคอยจับตาดูอยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ

ทางฝั่งเยี่ยนซีอู่ แม้จะมีพรสวรรค์ระดับธรรมดาไม่โดดเด่น แต่ก็มีความตั้งใจสูง เมื่อได้รับการชี้แนะจากฉินฟาง จากคราแรกที่ไม่มีความเข้าใจในธาตุน้ำในร่างตน นางกลับสามารถกลั่นพลังออกมาเป็นสายน้ำได้ดั่งใจสั่ง แม้แต่ตัวนางเองยังต้องแปลกใจ

ตอนที่นางเพิ่งเข้าใจพลังธาตุในร่างของตน นางทำได้เพียงกลั่นพลังออกมาเป็นหยดน้ำไม่กี่หยด พวกมันพากันสลายหายไปภายในพริบตา

แต่ตอนนี้นางสามารถเรียกน้ำออกมาได้มากมาย ทั้งยังสามารถควบคุมพวกมันได้ ความรู้สึกไม่พอใจและเสียใจเมื่อก่อนหน้าพลันคลายลง กลายเป็นความประหลาดใจยามที่ตนเอ่ยถามขึ้นด้วยความดีใจ “ท่านผู้อาวุโส ข้าพัฒนาขึ้นหรือไม่?”

ฉินฟางพยักหน้าเคร่งขรึมให้นาง “ไม่เลว เจ้าไม่ได้หัวทึบมากนัก ฝึกซ้อมต่อไป!”

“เจ้าค่ะ!”

กลับกัน เยี่ยนซีโหรวกับความสามารถ “ไร้ประโยชน์” ของนาง ไม่นานก็ทำให้ทุกสายตาเห็นว่ามัน “ไร้ประโยชน์” อย่างแท้จริง

ฉินฟางอบรมชี้แนะนางเป็นพิเศษ สอนให้นางค้นหาพลังธาตุในทะเลจิต ตามหามันอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากนั้นให้คว้าพลังเหล่านั้นไว้ให้ได้ทั้งหมดแล้วเปลี่ยนมันเป็นพลังของตนเอง

“หลับตาลง อย่าคิดเรื่องอื่น ทำจิตใจให้สงบเสีย เจ้าต้องไม่ได้ยินเสียงใด ไม่เห็นภาพใด เบื้องหน้าเจ้ามีเพียงหมู่ดารานับไม่ถ้วนเพียงเท่านั้น”

“รอบกายเจ้ามีจุดแสงล่องลอยอยู่ทั่ว เจ้าค่อย ๆ เข้าใกล้มัน พยายามสื่อจิตถึงมัน นั่นคือพลังธาตุในร่างของเจ้า เจ้าจำต้องรวบรวมพวกมันกลับเข้าร่างจึงจะสามารถปลุกธาตุดินในร่างให้ตื่นขึ้นได้…..”

เยี่ยนซีโหรวทำตามฉินฟางสอน หากแต่เมื่อหลับตาลงกลับพบเพียงความมืด ไม่อาจเห็นสิ่งใด นางขมวดคิ้วแน่น พยายามสงบจิตใจตนและพยายามสัมผัสถึงพลังธาตุที่อยู่รอบกาย

“ทีนี้เจ้าเห็นมันหรือไม่?” น้ำเสียงลังเลหากแต่เป็นมิตรของฉินฟางดังขึ้น

“ไม่ ข้าไม่เห็นสิ่งเลยเจ้าค่ะ” เยี่ยนซีโหรวหลับตาแน่น กล่าวน้ำเสียงฉุนเฉียว

ฉินฟางขมวดคิ้ว “เจ้าต้องค้นหามันด้วยใจทีไรสิ่งใดเจือปน หากจิตใจเจ้าไม่สงบก็ไม่อาจสัมผัสพลังธาตุอันแผ่วเบาได้”

เยี่ยนซีโหรวขมวดคิ้วมุ่น ยิ่งนางฝืนจิตใจให้สงบไม่คิดสิ่งใดกลับยิ่งรู้สึกไม่สงบ พลันเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยอารมณ์เดือดดาล “ทำจิตใจให้สงบ ข้าจะทำใจให้สงบได้อย่างไร? ใจข้าเต็มไปด้วยเรื่องเด็กสองคนนั้น ชิงอวี่กับชิงเป่ย! พวกเด็กชาติกำเนิดต่ำต้อยเช่นพวกเขามีดีอะไรมามีพรสวรรค์มากกว่าข้า!? ข้าไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้! พวกนั้นสมควรไร้ฝีมือไร้พลังดั่งขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง ข้าสิสมควรจะเป็นผู้มีความสามารถ!!”

อาจเพราะนางเก็บความคับข้องใจไว้นาน ครั้งนี้เยี่ยนซีโหรจึงไม่สนสิ่งใด ปลดปล่อยทุกสิ่งอย่างที่กดไว้ออกมาจนสิ้น

ฉินฟางเห็นท่าทางนางก็ตกใจเล็กน้อย ใบหน้าเคร่งขรึมยิ่งทะมึนลงกว่าเก่า จากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไปพร้อมพ่นลมหายใจยิ้มเยาะ ก่อนจากยังเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง “ไม้ผุไม่อาจแกะสลักได้” (1)

ด้วยฐานะที่เคยเป็นผู้อาวุโสในสำนักละอองหมอก ผู้คนต่างเคารพนับถือเขาเป็นอย่างมาก และเขายังรู้จักกับเยี่ยนซู่ แล้วยังเคยชี้แนะยอดสตรีอัจฉริยะอย่างเยี่ยนหนิงลั่วมาก่อน ดังนั้นเมื่อถูกร้องขอ เขาจึงรับคำมาชี้แนะให้เด็ก ๆ เหล่านี้ในทันที หากแต่ไม่คิดว่า วีรบุรุษเช่นเยี่ยนซู่ที่ทั้งเที่ยงตรงและกล้าหาญจะมีลูกสาวจิตใจคับแคบใช้ไม่ได้เช่นนี้

หากรู้ตัวว่าตนไร้ความสามารถแล้วไม่ยอมฝึกฝนยังพอยอมรับได้ หาแต่นางกลับโทษผู้อื่นโทษโชคชะตา ริษยาน้องสาวและน้องชายตนเอง คนนิสัยเช่นนี้ แม้สามารถเข้าไปยังสำนักละอองหมอกได้ ต่อไปก็อาจเลือกทางเดินผิดได้

ฉินฟางเดินไปอีกฝั่งของลานฝึกด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขามุ่งหน้าไปยังมุมที่ชิงอวี่กำลังฝึกวิชา

ในขณะที่กำลังเดินไป เขากลับชะงักไปเล็กน้อย เบิกตามองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ

เดิมทีเขาคิดว่าแยกเด็กทั้งสี่คนออกจากกันจะง่ายต่อการสำรวจ และทำความเข้าใจในความสามารถของแต่ละคนได้ดีกว่า หากแต่ยามที่เขาเดินมายังฝั่งชิงอวี่ เขากลับพบว่าเด็กแฝดพี่น้องกลับจับคู่กันฝึกฝน เขาไม่เดินเข้าไปต่อว่า แต่ยืนจ้องทั้งสองคนอย่างไม่เชื่อสายตา

ขาทั้งสองข้างของชิงเป่ยหายดีมาหลายปีแล้ว ชิงอวี่ย่อมไม่ปล่อยให้เขาสันหลังยาวไม่ฝึกตน

ด้วยตำราและคัมภีร์วิชานับพันที่ถูกเก็บไว้ในห้องหนังสือของตระกูลชิง ใช้เวลาเพียงไม่เท่าไหร่ชิงอวี่ที่สามารถจดจำข้อมูลเป็นภาพไว้ในหัวได้ก็สามารถจดจำวิชาทั้งหมดในนั้น นางคัดลอกวิชาเหล่านั้นและมอบให้ชิงเป่ยนำไปฝึกและบำเพ็ญวิชา สำหรับชิงเป่ยแล้ว ‘ฝ่ามืออสนีบาต’นั้นด้อยกว่าเหล่าตำราที่พี่สาวของเขามอบให้นัก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจวิชาที่เพิ่งได้มานี้นัก

“อะไรกัน? แม้จะเป็นเพียงวิชายุทธ์ระดับต่ำ หากแต่เรียนรู้เพิ่มเติมอีกสักวิชาย่อมไม่เสียหาย เจ้าสามารถใช้มันเพื่อซ่อนความสามารถยามจำเป็นได้ หากพวกคนโลภไร้ยางอายเหล่านั้นรู้ว่าเจ้ามีวิชาพลังสูงส่งเช่นนี้ ระวังไว้เถอะว่าอาจเชื้อเชิญความตายเข้าหาตัวเอง” ชิงอวี่เอ่ยพลางเหลือบมองเด็กหนุ่มท่าทางหยิ่งผยอง อดหัวเราะเยาะเขาออกมาไม่ได้

ชิงเป่ยเลิกคิ้วสูง “ข้าก็ไม่ได้อยากชมตนเองหรอก แต่วิชายุทธ์เช่นนี้ไม่คุ้มค่าให้ฝึกฝนด้วยซ้ำ…..”

พูดแล้วก็เหมือนกับเกรงว่านางจะไม่เชื่อ เขายกฝ่ามือขึ้นฟ้าท่าทางแผ่วเบา ไม่ได้ใส่แรงไปมากนัก หากแต่กลับมีเสียงอสนีบาตฟาดกึกก้องท้องฟ้าทั่วบริเวณ ผืนฟ้านับพันลี้ที่สดใสอยู่ก่อนหน้าพลันมีเสียงสายฟ้าดังสนั่น นกฝูงใหญ่ตกใจเสียงฟ้า พากันบินแตกฮือขึ้นสู่ท้องฟ้ากันเป็นกระจุกใหญ่

ฉินฟางเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็ตกตะลึงไป

คนอื่นอาจไม่รู้ หากแต่วิชานั่นเป็นวิชาที่เขาเพิ่งมอบให้เด็กคนนี้ไปไม่นาน เหตุใดเขาจะไม่เข้าใจ? ยามฝึกบำเพ็ญวิชาฝ่ามืออสนีบาตจนถึงขั้นสุด ผู้นั้นจะสามารถเปลี่ยนสภาพอากาศ เรียกสายฟ้ามาใช้เพื่อให้การโจมตีรุนแรงได้

ชื่อ ‘ฝ่ามืออสนีบาต’ หมายถึงผู้ใช้สามารถเรียกสายฟ้าได้ดั่งใจปรารถนา เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ต้องใช้แรงมาก เพียงชูฝ่ามือขึ้นฟ้าไปอย่างสบาย ๆ แต่กลับสามารถสั่งให้สายฟ้าให้คำรามกึกก้องได้

วิชาฝ่ามืออสนีบาตไปอยู่ในมือเขาได้ยังไม่ถึงหนึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ! ระยะเวลาสั้นเพียงเท่านี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถสำเร็จวิชาจนถึงขั้นสุด เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือเด็กหนุ่มมีความสามารถในการเข้าใจสูงส่ง ทั้งยังมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา เป็นเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่เกิดมาเพื่อสะเทือนใต้หล้า!

หากแต่เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีเรื่องที่ทำให้เขาต้องตกตะลึงมากกว่าเดิมอยู่อีก

หลังจากชิงอวี่เห็นวิชาฝ่ามือของเขาแล้ว นางก็เลิกคิ้วขึ้นสีหน้าแปลกใจนัก “ดูท่าฝ่ามืออสนีบาตนี้….. จะยังสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อีก”

นางดึงตำราจากมือเด็กหนุ่มไปพลิกเปิดอ่าน จากนั้นก็พบว่ามีบางอย่างแปลกไป “วิชานี้ยังไม่สมบูรณ์”

อย่างน้อย ๆ ก็มีส่วนที่สามที่หายไป ไม่เช่นนั้นก็อาจนับเป็นวิชาระดับกลางได้

“เช่นนั้นก็เป็นตำราที่ไม่สมบูรณ์ ไม่แปลกที่ข้ารู้สึกว่ามีบางส่วนที่ไร้เหตุผล พลังของมันลดลงไม่น้อย” ชิงเป่ยคิดแล้วก็บ่นออกมา “หรือว่าผู้อาวุโสฉินจะซ่อนส่วนนั้นไว้?”

“เจ้าเด็กตัวเหม็น!” ชิงอวี่กลอกตาใส่เขา “เจ้าไม่เห็นหรือว่าผู้อาวุโสชอบเจ้า ดังนั้นจึงมอบวิชาล้ำค่าเช่นนี้ให้เจ้า? ตำราที่เขามีเป็นตำราที่ไม่สมบูรณ์ก็เท่านั้น อีกทั้งเขายังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ธาตุสายฟ้า เขาจะซ่อนมันไปเพื่ออะไร?”

เมื่อถูกว่ากล่าวเช่นนั้น ชิงเป่ยจึงทำปากยื่น “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น!”

ชิงอวี่ลูบคางตนสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นมองตัวอักษรในตำรานิ่ง “มีเพียงยามที่สายฟ้าและเปลวเพลิงควบรวมกันจึงจะสามารถดึงพลังขั้นสุดออกมาได้….. หรือว่าจะเป็น…..”

เด็กสาวร่างบางหน้าตางดงามพลันรวบรวมพลังทั่วทั้งร่างเข้าด้วยกัน จากนั้นใช้นิ้วชี้แตะลงที่กลางหว่างคิ้ว ยามนางลืมตาขึ้นอีกครา นัยน์ตานางก็ส่องประกายแสงสีแดงและทองวาบหนึ่ง ก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว นางพลิกฝ่ามือแบออก ก้อนพลังสีแดงและทองพลันก่อตัวขึ้น แสงสว่างจ้าส่องวาบตัดกับผิวขาวผ่องของนาง

“พลังของเปลวไฟอัสนี….. อาจต้องใช้ธาตุไฟมาหลอมรวมเข้าด้วยกัน”

ชิงอวี่เอ่ยเสียงเบา ทันใดนั้น ต่อหน้าสายตาตกตะลึงของชิงเป่ยและฉินฟางที่ยืนอยู่ไกล ๆ ฝ่ามือนางพลันส่งเสียงร้อนฉ่าออกมา มันเปล่งแสงสีม่วงของพลังธาตุสายฟ้าออกมาอย่างแจ่มชัด

นางยืนตัวตรง เหยียดฝ่ามือขึ้นสูง พลังจากสองธาตุควบรวมเข้าด้วยกันในพลัน ส่งผลให้ท้องฟ้าสดใสแปรเปลี่ยนเป็นดำทะมึน ก่อนเมฆสีเทาที่ลอยอยู่จะเปล่งเสียงคำรามออกมา สายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าฟาดลงมาเสียงดังสนั่น เมื่อเห็นดังนั้น ชิงอวี่จึงรีบสลายพลัง เป็นเพราะสายฟ้าเส้นนั้นซัดลงมาไม่ห่างจากนางมาก จากนั้นทุกอย่างก็สงบลง ท้องฟ้าค่อย ๆ กลับสู่สภาพเดิม

นางถึงกับสามารถฝึกวิชาเปลี่ยนสภาพอากาศเช่นนี้เล่นๆ ทำให้คนภายนอกตื่นตกใจนัก

“เกิดอะไรขึ้น!? ฟ้าใสเช่นนี้ จู่ ๆ มีสายฟ้าฟาดลงมาได้อย่างไร!?”

“ข้าถูกผีสิงหรือ? นึกว่าจะถูกสายฟ้านั่นฟาดตายเสียแล้ว! ไม่คิดว่าจะยังมีชีวิตรอดมาได้!”

“หรือว่าอาจจะมีปรมาจารย์วิทยายุทธ์สูงส่งกำลังประมือกันอยู่แถวนี้กัน?”

“อันตรายเกินไปแล้ว ข้าไปหาที่ปลอดภัยหลบก่อนจะเจอเรื่องซวยดีกว่า”

และ ณ ลานฝึกในจวนอ๋อง ชิงเป่ยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว พลันกลืนน้ำลายลงคอแล้วเอ่ยขึ้น “สายฟ้าที่ฟาดลงมาเมื่อครู่ ข้านึกว่าจะไม่รอดเสียแล้ว”

รู้สึกเหมือนจริงเกินไปแล้ว!

ชิงอวี่กะพริบตามองเขาด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “ข้าแค่แสดงให้เจ้าดูว่าแท้จริงแล้ววิชาต้องใช้อย่างไรก็เท่านั้น วิชาฝ่ามืออสนีบาตเล่มนี้ขาดเนื้อหาไปบางส่วน ยังสามารถปรับปรุงได้อีกมาก”

“แต่ท่านเล่นลองวิชาเสียงดังสนั่นเช่นนี้ ข้าว่าผู้อาวุโสคงจะรับรู้แล้วกระมัง” ชิงเป่ยเอ่ยสีหน้าสิ้นหวัง

“แล้วอย่างไร? บอกเขาว่าเป็นเจ้าฝึกฝ่ามืออสนีบาตก็ได้นี่ เจ้ามีพรสวรรค์มากเช่นนั้น ผู้อาวุโสคงคิดว่าเจ้ามีความเข้าใจสูง ต้องไม่สงสัยอะไรแน่” ชิงอวี่กล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“แต่ดูท่าผู้อาวุโสฉินจะเห็นทุกอย่างแล้ว” ชิงเป่ยเอ่ยพร้อมยักไหล่ ชี้ไปที่ด้านหลังนาง

ชิงอวี่ไม่รู้ว่าฉินฟางเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจเพราะนางมีสมาธิจดจ่อมากเกินไป ดังนั้นประสาทสัมผัสจึงทื่อไปเล็กน้อย

ด้วยเหตุนี้ ยามที่นางหันหลังกลับไป นางก็เห็นใบหน้าขรึมของฉินฟางที่กำลังจ้องมองนางอยู่ราวกับจ้องมองปีศาจตนหนึ่ง คล้ายกับกำลังครุ่นคิดว่าที่แท้นางมีธาตุอะไรอยู่ในร่างบ้าง และนางทำอย่างไรจึงสามารถหลอกศิลาทดสอบพรสวรรค์ได้ ศิลาทดสอบพรสวรรค์ของเขานั้นมีความแม่นยำกว่าศิลาที่ตั้งอยู่ที่สำนักละอองหมอกเสียอีก

เว้นเสียแต่ว่า….. พลังที่แท้จริงของนางนั้นสูงส่งเกินกว่าที่ศิลาทดสอบพรสวรรค์จะสามารถประเมินได้!

เชิงอรรถ

ไม่ผุไม่อาจแกะสลักได้ หมายถึง สอนแล้วไม่จำ ไม่เชื่อฟัง