บทที่ 77 อัจฉริยะที่แท้จริงย่อมไม่ทำตนโดดเด่น

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

เขาเคยคิดว่าเด็กสองคนนี้ดูคล้ายคลึงกันมาก แค่มองครั้งเดียวก็รู้ว่าเป็นคู่แฝดมังกรและหงส์ที่มาจากมารดาเดียวกัน เช่นนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรที่น้องชายจะมีพรสวรรค์สูงส่งแต่พี่สาวมีพลังธรรมดาสามัญ

หากแต่เขาก็ไม่คิดว่าเด็กสาวจะซ่อนพลังตนเสียมิด ทำทีว่าตนไม่โดดเด่น ทั้งที่ความสามารถของนางอาจจะโดดเด่นกว่าเด็กหนุ่มอัจฉริยะผู้นั้น!

เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าแดนมุกหยกกำลังจะมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นหรอกหรือ? เด็กอายุเพียงเท่านี้ยังมีฝีมือสูงส่ง นับได้ว่าไม่เป็นสองรองใคร

ฉินฟางยืนไตร่ตรองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินเข้ามาหาเด็กสาวท่าทางอับอายหน่อย ๆ พร้อมนัยน์ตาซับซ้อน เขาลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม “เจ้าสามารถใช้ธาตุได้กี่ธาตุ?”

ชิงอวี่กะพริบตา ท่าทางไร้เดียงสา จากนั้นเอ่ยตอบ “ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะผู้อาวุโส ศิลาทดสอบพรสวรรค์เองก็ยังไม่สามารถบอกได้เลยไม่ใช่หรือ?”

“…..” ฉินฟางเกือบสำลักเลือดคนชราออกมา

เจ้าว่าศิลาทดสอบพรสวรรค์ไม่สามารถบอกได้งั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่าเจ้าปีศาจน้อยตรงหน้านี้จงใจปกปิดพลังที่แท้จริงไว้!

“ข้าเห็นว่าเมื่อครู่เจ้าสามารถใช้ธาตุทอง ธาตุไฟ และธาตุสายฟ้าได้ ใช้ได้ถึงสามธาตุในเวลาเดียวกัน ดูจากความเข้มของไฟวิญญาณแล้ว พลังธาตุเหล่านั้นได้รับการบำเพ็ญเพียรจนถึงระดับสูง” สายตาอันเฉียบคมของฉินฟางจ้องนางนิ่ง “เจ้าต้องบอกข้ามาตามตรง ข้าจึงจะสามารถช่วยให้เจ้าก้าวหน้าได้”

ชิงอวี่ไม่รู้จะทำอย่างไร นางอยากบอกขอบคุณผู้อาวุโสท่านนี้ หากแต่นางไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากเขาจริง ๆ อีกทั้ง ‘วิชาฝังวิญญาณ’ ที่นางบำเพ็ญอยู่ก็ไม่ใช่วิชายุทธ์ที่เหมือนกับวิชาในดินแดนเหล่านี้ หากนางบำเพ็ญไปตามวิธีของฉินฟาง พลังอาจจะขัดกันเองและตีกลับได้

ชิงเป่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นสีหน้าพี่สาวตน ก็หยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส ข้าขอพูดตามตรง ชิงอวี่ปิดบังความสามารถที่แท้จริงเป็นเพราะเกรงว่าจะมีผู้ไม่หวังดีสังเกตเห็น นางต้องเข้าสำนักละอองหมอกได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน อีกทั้งนางยังเป็นนักปรุงยาผู้หนึ่งอีกด้วย”

ฉินฟางเบิกตากว้างอีกครั้ง “นักปรุงยา?”

คำเพียงสามคำนั้น ไม่เพียงแต่สามารถเข้าสำนักละอองหมอกได้ หากแต่อาจารย์ในสำนักคงต่อสู้แย่งชิงนางเป็นการใหญ่แน่ นางเป็นนักบำเพ็ญเพียรผู้เชี่ยวชาญถึงสองสายทาง หาได้ยากนัก!

“ดีมาก ดีมาก เป็นเด็กที่มีอนาคตไกล!” ฉินฟางเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากออกมา “ดูท่าเด็ก ๆ ของหย่งอันอ๋องจะไม่ธรรมดา ต่อไปเจ้าจะต้องเหนือกว่าพี่สาวของเจ้าและชิงเอาตำแหน่งยอดสตรีอัจฉริยะมาได้เป็นแน่!”

ชิงเป่ยยกยิ้มมุมปากเป็นรอยยิ้มเย้ย ใครสนตำแหน่งนั้นกัน? หากเทียบกันจริง ๆ ชิงอวี่คงทิ้งห่างเยี่ยนหนิงลั่วไปหลายขุม! มีแต่สตรีผู้นั้นที่สนใจในตำแหน่งเช่นนั้น

“ดูท่าพวกเจ้าทั้งสองคนคงสามารถเข้าสำนักละอองหมอกได้อย่างแน่นอน เช่นนั้นข้าจะไม่ชี้แนะพวกเจ้าสองคนมากนัก” ฉินฟางพูดไปพยักหน้าไป “หากแต่หลังจากเข้าสำนักละอองหมอกไปแล้ว ทางสำนักจะส่งศิษย์ออกไปทำภารกิจ อีกสักพักข้าจะจัดการส่งพวกเจ้าออกไปฝึกฝนเพื่อหาประสบการณ์การต่อสู้ หากแต่คุณหนูอีกสองคนพลังบำเพ็ญเพียรต่ำนัก คงต้องรออีกหน่อย”

ฉินฟางพูดจบก็ส่ายหน้าถอนหายใจ ในใจได้แต่คิดว่าเหตุใดเด็กที่เกิดในตระกูลเดียวกันถึงห่างชั้นกันถึงเพียงนี้ หากแต่ได้พบหน่ออ่อนมีความสามารถถึงสองคน ฉินฟางจึงอารมณ์ดีมาก เขาชอบเด็กที่มีความตั้งใจและมีความสามารถ

ที่ด้านนี้ไม่มีเรื่องใดให้ต้องเป็นห่วงนัก เขาทำเพียงเตือนให้ทั้งสองคนฝึกฝนต่อ จากนั้นจึงหันกลับไปดูเยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่

ที่ภายนอกจวน เป็นเพราะสายฟ้าสองสายที่ฟาดลงมาเสียงสนั่นท่ามกลางท้องฟ้าสดใสเมื่อครู่ ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่

สำนักละอองหมอกเป็นสำนักที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือ ด้วยเป็นสำนักใหญ่ระดับต้นๆ ที่เลื่องชื่อที่สุดคือเรื่องความลึกลับ หากไม่มีคนในสำนักคอยนำทางให้ ก็ไม่มีผู้ใดทางเข้าสำนักพบ

ผู้คนในใต้หล้ากล่าวว่าสำนักละอองหมอกเป็นที่อยู่ของเซียน อยู่สูงเกินสวรรค์ชั้นเก้า สูงกว่าแดนมนุษย์ธรรมดานัก ในนั้นมีตำหนักหินอ่อนและตำหนักหยกสวยงามงดงามเกินบรรยายมากมาย ทั้งยังหรูหราโอ่อ่าเป็นยิ่งนัก พบเห็นแต่ชายหนุ่มและหญิงสาวในชุดคลุมสีขาวเดินไปมา สง่างามดั่งเทพเซียนที่กินผลไม้เซียน ดื่มน้ำทิพย์จากแดนสวรรค์ เหาะเหินเดินอากาศ ใช้ชีวิตในแบบที่มนุษย์ปุถุชนเฝ้าฝันถึง

แน่นอนว่าส่วนมากเป็นเพียงเรื่องที่แต่งเสริมขึ้น หากแต่ด้วยความที่สำนักแห่งนี้นั้นลึกลับเกินจะกล่าว ดังนั้นคำร่ำลือจึงออกมาดูลึกลับพิศวงไม่เหมือนเช่นแดนมนุษย์

หากแต่บางเรื่องก็กล่าวถูกต้อง สำนักละอองหมอกตั้งอยู่บนที่สูง อยู่บนพื้นที่ของยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง บนยอดเขาแห่งนั้นสูงเทียมเมฆ ที่ข้างเขาเป็นน้ำตกไหลเชี่ยวกราก ลดหลั่นลงมาเป็นชั้น มองดูราวกับสายน้ำที่ไหลลงมาจากสวรรค์ชั้นเก้า หลั่งไหลลงมาอย่างไม่รู้จบ

ส่วนทางเข้าสำนักละอองหมอกนั้นอยู่ที่จุดสูงสุดหลังน้ำตกแห่งนั้น

ในตอนนี้ศิษย์สำนักกำลังฝึกยามเช้ากันอยู่ เสียงดังสนั่นสองครั้งไม่เพียงทำผู้คนแตกตื่น กระทั่งสำนักละอองหมอกที่ปิดกั้นตนออกจากโลกภายนอกยังรับรู้ได้

เหล่าผู้อาวุโสและอาจารย์ทั้งหลายต่างรวมตัวกันพูดคุยเรื่องนี้ ปล่อยให้เหล่าศิษย์พูดคุยถกเถียงกันต่อไป

ภายในอาคารประชุมของสำนักละอองหมอก คนหกคนนั่งอยู่สองฝั่งซ้ายขวา นับรวมแล้วเป็นสิบสองคน พวกเขาคือผู้อาวุโสแห่งสำนักละอองหมอกที่มีอำนาจในสำนักสูงส่ง บางท่านยังมีตำแหน่งเป็นอาจารย์อาวุโสในสำนักอีกด้วย

คนที่นั่งอยู่บนที่นั่งหลักด้านบนคือชายหนุ่มที่ดูมีอายุเพียงสามสิบปีผู้หนึ่ง หน้าตาหล่อเหลามีอารยธรรม ดูเป็นคนอัธยาศัยดีผู้หนึ่ง

คนส่วนมากคงไม่เชื่อว่าเจ้าสำนักละอองหมอกจะเป็นชายหนุ่มที่อายุน้อยถึงเพียงนี้

มีเพียงคนในสำนักสายหลักเท่านั้นที่รู้ว่าท่าทางอ่อนโยนของชายหนุ่มเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขาจะสามารถกำราบเหล่าหมาป่าเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่หิวกระหายเหล่านี้ลงได้อย่างไร

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนที่สูง ข้อศอกตั้งอยู่กับที่วางแขน ยกมือขึ้นเท้าคาง เขาเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ทุกท่านคงจะได้ยินเสียงสายฟ้าฟาดเมื่อครู่แล้ว พวกท่านคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด?”

ชายชราสวมชุดคลุมสีน้ำตาลยาวกล่าวขึ้นหลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง “ข้าคิดว่าอาจจะเป็นเสียงที่เกิดจากผู้ใช้ธาตุสายฟ้ากำลังทะลวงผ่านขั้น”

“กำลังทะลวงผ่านขั้นหรือ? ผู้อาวุโสโม่แก่จนสายตาฝ้าฟางไปแล้วหรือ? สายฟ้าเมื่อครู่มีสองธาตุควบรวมอยู่อย่างเห็นได้ชัด คือธาตุทองและธาตุไฟ คงจะเป็นปรมาจารย์หลายท่านประมือกันเป็นแน่” ชายที่มีอายุน้อยกว่าผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น

กลุ่มคนรวมตัวกันถกเถียงประเด็นนี้อย่างไม่หยุดหย่อน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนา คนผู้นี้ดูมีอายุน้อยกว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนที่นั่งหลัก เขานั่งขมวดคิ้วนิ่ง ราวกับกำลังครุ่นคิดเรื่องเข้าใจยากอยู่

มุมปากชายหนุ่มพลันคลี่ยิ้มขบขันออกมา จากนั้นเลิกคิ้วเปิดปากถาม “ผู้อาวุโสเหยียนรู้หรือไม่?”

ชายที่ถูกเรียกชะงักไปเล็กน้อย ได้ยินดังนั้นเขาก็ขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม “ข้ามีความคิดอยู่อย่าง หากแต่คงจะเป็นเรื่องประหลาดไปสักหน่อย…..”

“เชิญท่านกล่าวออกมาเถิด ท่านเองเป็นผู้ใช้ธาตุสายฟ้าเพียงคนเดียวในที่นี้ ควรมีสิทธิ์เอ่ยความคิดตนเกี่ยวกับเรื่องนี้มากที่สุด” ชายหนุ่มกล่าว

คนอื่น ๆ หยุดถกเถียงกันแล้วหันมามองผู้อาวุโสเหยียน

ผู้อาวุโสเหยียนถอนหายใจแผ่วเบา “พลังของคนผู้นั้นล้ำลึกไม่อาจหยั่งถึง ไม่เหมือนผู้ที่มาจากแดนมุกหยก…..”

เมื่อได้ยินดังนั้น ทั่วทั้งห้องโถงก็ตกลงสู่ความเงียบงัน

แม้ผู้อาวุโสเหยียนจะไม่ได้มีความอาวุโสมากที่สุดในกลุ่ม หากแต่เกือบทุกคนกลับเชื่อคำของเขาอย่างไร้ข้อกังขา

เขาไม่เพียงเป็นผู้มีวิทยายุทธ์สูงส่ง หากแต่ยังเป็นนักพยากรณ์ที่หาได้ยากยิ่ง ช่วยเหลือสำนักให้ผ่านพ้นเภทภัยมาแล้วหลายครั้ง ทั้งยังมีตำแหน่งค่อนข้างสูงในหมู่ผู้อาวุโสทั้งสิบสองของสำนักละอองหมอก

“ผู้อาวุโสเหยียนเอ่ยเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร? หรือจะเป็นผู้ที่มาจากดินแดนระดับสูงกว่างั้นหรือ?” รอยยิ้มของชายหนุ่มพลันจางหายไป ไม่นานก็เอ่ยถามขึ้น

“ข้าเพียงคาดเดาเท่านั้น หากแต่ถ้าสายฟ้านั่นไม่ใช่ผู้ที่มาจากดินแดนระดับสูง เช่นนั้นแล้วหากผู้ใช้พลังฟาดสายฟ้าทั้งสามธาตุสลายพลังไม่ทัน ปล่อยให้สายฟ้าฟาดลงมาจนสุด คงได้เกิดหายนะเป็นแน่” ผู้อาวุโสเหยียนเอ่ยขึ้นช้า ๆ น้ำเสียงเคร่งขรึม “กระทั่งข้าที่บำเพ็ญธาตุสายฟ้าจนถึงขีดสุดยังทำเช่นนั้นได้ลำบาก แต่คนผู้นั้น….. เห็นได้ชัดว่าใช้พลังไปเพียงสามในสิบส่วนเท่านั้น”

“ผู้อาวุโสเหยียนสามารถบอกได้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ใด?”

“โชคไม่ดีที่คนผู้นั้นสลายพลังเร็วเกินไป ข้าไม่อาจคาดทำนายตำแหน่งของเขาได้” ผู้อาวุโสเหยียนเอ่ยน้ำเสียงเสียดายพร้อมกับส่ายหน้า นัยน์ตาทะมึน “หากแต่ทิศของคนผู้นั้นอยู่ในเขตแดนแคว้นชิงหลานที่อยู่ใกล้กับสำนักละอองหมอกที่สุด”

“แคว้นชิงหลาน?” ชายหนุ่มหน้าตาดีหรี่ตาลง “แม่นางเยี่ยนหนิงลั่วก็มาจากชิงหลานมิใช่หรือ? ดูท่าแคว้นชิงหลานจะเต็มไปด้วยเสือหมอบมังกรซ่อนโดยแท้!”

“ท่านเจ้าสำนัก เหตุใดไม่ให้ข้าลองไปตรวจสอบเรื่องนี้ดู?” ผู้อาวุโสเหยียนเอ่ยถาม

ชายหนุ่มยกยิ้ม นัยน์ตางดงามที่ทอดสายตาไปไกลดูล้ำลึกครุ่นคิด “ไม่จำเป็น ข้ามีความรู้สึกว่าอีกไม่นาน….. คงจะได้เจอกัน”

——————–

ใช้ชีวิตอยู่บนแดนเมฆาสวรรค์ด้วยความยากลำบากมานานหลายปี ในตอนนี้กลับได้ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับเสียงวุ่นวายในตลาดยามเช้า อีกทั้งยังมีเสียงตะโกนของคนหาบเร่ที่เร่ขายสินค้าตามสองข้างทาง

เขาได้ใช้เวลาหลายปีที่ผ่านมาปรับสภาพร่างกายตนอยู่ในดินแดนระดับล่าง ส่งผลให้ทรราชผู้ชื่นชอบในการกดขี่ข่มเหงผู้คนอย่างโหลวจวินเหยาเริ่มชื่นชอบการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเช่นนี้ แม้การใช้ชีวิตเช่นนี้จะเป็นเพียงการพักผ่อนชั่วคราวเท่านั้น

ร่างสูงยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง สายตาพลันหรี่ลง กลิ่นอายทั่วร่างเข้มขึ้นเล็กน้อย ที่หางตาพลันจับเงาร่างของคนผู้หนึ่งเดินเข้าสู่ขอบเขตสายตา

นางสวมชุดกระโปรงสีขาวดูเรียบง่าย บนถนนมีคนเดินผ่านมาสิบคน หกคนสวมชุดสีขาว หากแต่มีเพียงผู้เดียวที่สามารถทำให้ชุดสีขาวนั่นดูโดดเด่นสะดุดตาได้

เรือนผมยาวถึงเอวใช้ปิ่นปักไว้หลวม ๆ แผ่กลิ่นอายผ่อนคลายไม่แยแส นัยน์ตาหงส์ยาวแฉลบขึ้นน่าหลงใหลราวกับแผ่เสน่ห์ออกมาไม่หยุดยั้ง เบื้องล่างจมูกที่เชิดสูงขึ้นเล็กน้อยคือริมฝีปากสีชมพูอ่อนเจือด้วยรอยยิ้มบางเช่นเดียวกับดวงตา ดวงหน้าเล็กงดงามเย้ายวนราวกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวน้อย

นางเป็นเด็กสาวที่ยังดูใสซื่อบริสุทธิ์อยู่มาก หากแต่ดวงหน้ากลับเย้ายวนน่ามอง ส่งให้นางดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

เทียบกับเมื่อตอนที่นางแต่งตัวเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ยามได้กลับมาสวมใส่ชุดแม่นางน้อยเช่นนี้ยิ่งทำให้เสน่ห์ของนางสูงขึ้นอีกขั้น

“น้องชาย ข้าขอซาลาเปาไส้ผักรวมสองชุด”

วันนี้ชิงอวี่ตื่นแต่เช้า หลังจากฝึกฝนช่วงเช้าเสร็จจึงออกมาเดินเล่น ทันใดนั้นนางก็ได้กลิ่นหอมหนึ่งลอยมาเตะจมูก ในใจคิดว่าเจ้าหนูชิงเป่ยคงอยากกินเป็นแน่ ดังนั้นจึงเดินมาซื้อของกินกลับไปให้เขา

แผงลอยขายอาหารเช้าแผงนี้มีชื่อมากในเมืองหลวง ทุกเช้าจะมีผู้คนพากันต่อแถวยาวเหมือนหางงู แม้จะเป็นเพียงร้านเล็ก ๆ หากแต่พ่อครัวมีฝีมือนัก ผู้คนจึงชื่นชอบอาหารของแผงลอยแห่งนี้

ตอนที่ชิงอวี่เดินไปต่อแถว ด้านหน้ามีคนต่ออยู่แล้วราวสิบคน หากแต่คนเหล่านั้นกลับเต็มใจยอมสละที่ให้นาง ในขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพชน คนทั้งหมดกลับพร้อมใจกันเดินออกจากแถวไปต่อหลังนาง ดังนั้นนางจึงกลายเป็นคนแรกของแถว

ชิงอวี่นิ่งไป “…..”

ชาวแคว้นชิงหลานนี่ใจดีและมีมารยาทเสียจริง

ผู้ช่วยหนุ่มที่วุ่นอยู่กับการขายซาลาเปาสับสนที่ลูกค้าพากันถอยไปต่อด้านหลัง หากแต่ยามที่น้ำเสียงอ่อนโยนน่าฟังลอยกระทบหู เขาถึงได้เงยหน้าขึ้นมอง เพียงเท่านั้นเลือดกำเดาเกือบพุ่งออกจากจมูกทั้งสองข้าง

วันนี้ช่างโชคดีเสียนี่กระไร! ได้เห็นคนงามตั้งแต่เช้าเช่นนี้!