ดอกไม้สดทำให้คนอารมณ์ดีขึ้นมาได้จริงๆ

แต่อย่างไรก็ตาม ดอกไม้ที่เกสรดอกไม้ขึ้นอยู่ตรงกลางดอกคล้ายเอวนี้ ก็ทำให้คนรู้สึกแปลกใจมากจริงๆ

เฉินลั่วรู้สึกว่าบาดแผลของตัวเองยังไม่หายดี ยังคงพาดตัวอยู่บนแหย่งหลัวฮั่นดังเดิม เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้สวมแค่อาภรณ์ชิ้นล่างนั้น บัดนี้แขวนผ้าม่านเตียงโปร่งบางสีขาวดุจปีกจักจั่นเอาไว้ ยิ่งเผยให้เห็นรูปร่างได้สัดส่วนอกกว้างเอวคอดให้เด่นชัดมากขึ้น

เขายื่นนิ้วมือไปลูบเกสรดอกไม้ของดอกเข็มขัดทอง กล่าวว่า ดอกโบตั๋นน่าจะบานช่วงเดือนสี่กระมัง

นี่ล่วงเลยเข้าสู่สิบวันสุดท้ายของเดือนหกแล้ว

เฉินอวี้กล่าวยิ้มๆ ว่า ดอกสิบแปดบัณฑิตนั่นควรจะบานช่วงเดือนสามหรือไม่ก็เดือนสิบด้วยซ้ำขอรับ

เฉินลั่วพยักหน้า ชี้กล้วยไม้ต้นบอบบางสูงเพรียวดูธรรมดาทว่าสวยสง่าดุจเทพธิดาโบยบินเหนือระลอกคลื่นที่อยู่ไม่ไกลกระถางหนึ่ง ถามว่า นั่นเป็นสายพันธุ์อะไร

แม้นกล่าวว่าบัณฑิตรู้ศาสตร์หกอย่าง การเพาะดอกไม้ปลูกต้นหญ้าก็เป็นกิจกรรมที่ประณีตสละสลวยอย่างหนึ่ง แต่เขานั้นตั้งแต่เด็กก็ชอบขี่ม้ายิงธนูมากกว่า ไม่สนใจเรื่องสายลม บุปผา หิมะ พระจันทร์เหล่านี้เท่าใดนัก จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเข้าใจเลย ในสายตาของเขา ดอกไม้งดงามก็ดี ไม่งดงามก็ไปหาคนดูแลสวน เขาไม่จำเป็นต้องสนใจว่านี่คือดอกอะไร ดูแลอย่างไร เบ่งบานช่วงเวลาใด บานแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร และมีอะไรแตกต่างบ้าง

เฉินอวี้ยิ้มกล่าว เห็นว่าชื่อกลิ่นสวรรค์อะไรสักอย่าง เป็นกล้วยไม้สายพันธุ์หนึ่ง หวังสี่ที่ส่งดอกไม้มาให้กล่าวว่า ดอกไม้ที่ส่งมาให้ส่วนมากเป็นดอกสีแดง ดังนั้นจึงตั้งใจจัดดอกสีเหลืองกระถางนี้มาเป็นพิเศษ ทำให้คนมองแล้วรู้สึกสว่างสดใส อารมณ์เบิกบาน

ช่างพิถีพิถันยิ่ง

เฉินลั่วพยักหน้า อยากพลิกตัวสักครั้ง แต่นึกถึงแผลบนหลังของตัวเองแล้ว ขยับตัวเล็กน้อย แล้วก็สงบเงียบลงมาอีกครั้ง ให้เฉินอวี้ย้ายกลิ่นสวรรค์กระถางนั้นมาวางไว้บนโต๊ะน้ำชาตัวเล็กข้างแหย่งหลัวฮั่น

กลิ่นหอมจางๆ ทว่าเจริญใจลอยมาแตะปลายจมูก

เฉินลั่วสูดลมหายใจเข้ายาวๆ ครั้งหนึ่ง นึกถึงเครื่องหอมที่ตัวเองมอบให้หวังซีเหล่านั้นขึ้นมา เอ่ยถามว่า ด้านวัดเจินอู่ ยังไม่มีข่าวคราวอะไรหรือ

นี่ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว

เฉินอวี้พยักหน้า กล่าวว่า เมื่อครู่หวังสี่ก็บอกเช่นกัน เซียวเหยาจื่อกล่าวว่า เขาไม่เคยเห็นการผสมเครื่องหอมที่แปลกประหลาดขนาดนี้มาก่อน แต่ในผงธูปหอมนั่นต้องมียางกำยานอยู่ด้วยแน่นอน เพียงแต่ในตอนนี้เขายังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ว่ามีการเติมยางกำยานเข้าไปอย่างไร เขาต้องศึกษาให้ดีอีกสักหน่อย

กล่าวถึงตรงนี้ เขายิ้มขื่นออกมา ฟังจากความหมายของหวังสี่แล้ว ต่อให้พวกเราไม่ให้เขาช่วยหาส่วนผสมของผงธูปหอมนี้ก็คงไม่ได้แล้ว เซียวเหยาจื่อหาคำตอบด้วยตัวเองไม่ได้ จึงเชิญสหายสนิทของเขาผู้หนึ่งจากวัดหนานหวามาช่วย บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าธูปหอมนี้ผสมอย่างไร ยังบอกด้วยว่า เซียวเหยาจื่อผู้นั้นอยากรู้จักเจ้าของเครื่องหอมนี้เหลือเกิน อยากขอให้เขาสอนการผสมเครื่องหอมสักครั้งหนึ่ง

เฉินลั่วไม่กล่าวสิ่งใด

เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้ใดเป็นคนผสมเครื่องหอมนี้

เหตุใดฮ่องเต้ถึงทรงใช้โดยไม่ผ่านสำนักหมอหลวง และไม่ผ่านหัวหน้าหมอหลวงก่อน

ใครที่ทำให้พระองค์เชื่อใจได้ขนาดนี้

ความคิดเหล่านี้วาบผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของเฉินลั่ว ทำให้อารมณ์ที่สงบลงมาก่อนหน้าเพราะดอกไม้สดเหล่านี้กลับมากังวลอีกครั้ง

ถ้าหากหาคำตอบว่าใครเป็นคนผสมเครื่องหอมนี้โดยเร็วได้ก็คงดี!

เฉินลั่วหงุดหงิดงุ่นง่านใจ เอ่ยถามว่า ช่วงนี้คุณหนูหวังยุ่งอยู่กับอะไร

วัดหนานหวานั่นน่าจะอยู่ที่เสากวนของก่วงตง ไกลจากที่นี่เป็นพันลี้ กว่าจะรอให้สหายของเซียวเหยาจื่อเร่งเดินทางมาจากเสากวนได้ ก็น่าจะสายไปแล้ว

หวังซีไม่น่าจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เซียวเหยาจื่อหรอกกระมัง

เฉินอวี้ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไรดีเล็กน้อย

เฉินลั่วยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม ดวงหน้าเผยความดุร้ายออกมาให้เห็นหลายส่วน ทำให้ใบหน้าที่ดูสงบใจเย็นก่อนหน้าเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมาเล็กน้อย

เฉินอวี้รู้ว่านี่คือคำเตือนก่อนที่เฉินลั่วจะโมโห เขารีบกล่าว หลายวันมานี้คุณหนูหวังล้วนยุ่งอยู่กับการย้ายบ้าน! ได้ยินว่าองค์หญิงฟู่หยางจะไปเยี่ยมคุณหนูซือ คุณหนูซืออยากยืมสวนร่มหลิวมาต้อนรับองค์หญิงฟู่หยาง แต่สวนร่มหลิวนั่นคุณหนูหวังเป็นคนจ่ายเงินในการซ่อมแซม คนของจวนหย่งเฉิงโหวไม่อาจเอ่ยปากขอยืมตรงๆ ได้ จึงปลุกปั่นให้ซือจูไปหาคุณหนูหวัง ผู้ใดจะรู้ว่าคุณหนูหวังจะสวนกลับ เอ่ยเรื่องย้ายออกจากสวนหิมะงามขึ้นมาก่อน ตอนนี้กำลังตกแต่งบ้านกันอยู่ขอรับ!

ส่วนเรื่องดอกไม้ที่ส่งมาให้มีกระถางหนึ่งเป็นกระถางที่คุณหนูหวังไม่ต้องการแล้วนั้น เขาตัดสินใจไม่เอ่ยถึง

เขากลัวว่าเมื่อเขาบอกไปแล้ว เฉินลั่วจะโยนดอกไม้ทิ้ง

เฉินลั่วในตอนนี้ไม่ควรเดือดดาล

รีบพักฟื้นให้ร่างกายหายดีโดยเร็วคือสิ่งที่สมควรทำที่สุด

เฉินลั่วแสยะยิ้มเย็น กล่าวว่า นี่เป็นเรื่องที่จวนหย่งเฉิงโหวทำออกมาได้จริงๆ!

เฉินอวี้ไม่อาจวิจารณ์อะไรได้

เฉินลั่วกล่าวอีกว่า แล้วนางย้ายบ้านเป็นอย่างไรบ้าง

เฉินอวี้ได้ยินแล้วต้องอดกลั้นเอาไว้ถึงไม่โพล่งหัวเราะออกมา แต่สายตาระยิบระยับนั่นกลับเผยความเบิกบานในชะตาร้ายของผู้อื่นออกมาให้เห็น คุณหนูหวังช่าง…แตกต่างจากผู้อื่น ตอนนางเข้าไปอยู่สวนหิมะงาม สร้างเรือนครัวหลังเล็ก ห้องสำรอง และเฉลียงหน้าบ้านจำพวกนั้นเพิ่มเข้ามา ก่อนย้ายไปสวนร่มหลิว ก็คืนสภาพสวนหิมะงามให้กลับเป็นเหมือนเดิม แม้แต่ดอกไม้สองต้นที่ปลูกไว้ตรงหลังบ้านยังขุดเอาไปด้วย…

…ที่ลานบ้านหลังนั้นได้ชื่อว่าสวนหิมะงาม หลักๆ เป็นเพราะปลูกต้นหลีเอาไว้หนึ่งผืน ทุกปีเมื่อถึงฤดูดอกไม้บาน ดอกไม้บานสะพรั่งประหนึ่งหิมะ นับเป็นลานบ้านที่ทิวทัศน์งดงามที่สุดของจวนหย่งเฉิงโหวแล้ว!…

…บัดนี้ผ่านพ้นฤดูดอกหลีบานไปแล้ว สวนดอกไม้ด้านหลังของสวนหิมะงามก็เป็นแค่ป่าธรรมดาๆ ผืนหนึ่ง สู้สวนร่มหลิวไม่ได้ด้วยซ้ำ เป็นช่วงเวลาที่ต้นไม้อุดมสมบูรณ์เขียวขจีพอดี ทอดสายตามองไปแล้ว เต็มไปด้วยความร่มรื่น เป็นสถานที่หลบร้อนในฤดูร้อนได้พอดิบพอดี…

…เกรงว่าเมื่อคุณหนูซือย้ายเข้าไปคงต้องผิดหวังเสียแล้ว

แน่นอน หากอยากให้บ้านสวย โดยมากก็เชิญคนดูแลสวนของเฟิงไถไปช่วยตกแต่งสักครั้งหนึ่ง แต่ดอกไม้ไม่เหมือนสิ่งของอื่นๆ ที่ต้นใหม่ทำให้เก่าได้ อย่างไรก็ต้องรอให้ต้นไม้ต้นนั้นหยั่งราก แล้วก็ย้ายพวกตะไคร่น้ำมาเล็กน้อย ให้เวลาพวกมันได้เติบโต ถึงจะตัดตกแต่งได้

แต่ถ้าเป็นกำแพงที่เพิ่งทาสี เพิ่งปลูกต้นไม้ใหม่ ก็จะรับกับประโยคที่ว่า ‘ต้นไม้เล็กเรือนหลังใหม่ภาพวาดไม่เก่า’ ประโยคนั้น ตระกูลเช่นนั้นต้องเป็นเศรษฐีใหม่อย่างแน่นอน

แน่นอนว่าจวนหย่งเฉิงโหวมิใช่เศรษฐีใหม่

แต่เหตุใดยังมีเรือนที่ปรับตกแต่งใหม่อยู่?

เป็นไปได้แค่ว่าเป็นเรือนที่จวนละทิ้งไม่ได้ใช้งาน แต่เพราะต้องรับรองแขก จึงรีบปรับตกแต่งใหม่เท่านั้นแล้ว

เหตุใดต้องใช้เรือนที่ปรับตกแต่งใหม่มารับรององค์หญิงฟู่หยางด้วย

นั่นยังต้องให้พูดอีกหรือ ต้องเป็นเพราะสถานที่พักของซือจูก่อนหน้านี้ดีไม่พอ บัดนี้เพื่อรักษาหน้าให้ซือจู จึงเปลี่ยนสถานที่พักให้ซือจูอย่างกะทันหัน!

เฉินลั่วยิ้มร้ายออกมาเล็กน้อย

คนอย่างซือจู คงมีแต่เรื่องเช่นนี้จริงๆ ที่โจมตีนางให้ล้มลงได้

เขาอดถามเฉินอวี้ไม่ได้ว่า เจ้าว่านางตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่

ตอนแรกเฉินอวี้ยังไม่ได้สติว่าเฉินลั่วถามถึงผู้ใด แต่เมื่อรู้แล้วก็อดใจสั่นสะท้านไม่ได้

เนื่องจากเฉินลั่วหน้าตาดีมาตั้งแต่เด็ก ตอนอุ้มอยู่ในอ้อมแขนมักจะถูกบรรดาภรรยาเหล่านั้นหยิกแก้ม เมื่อโตขึ้นมาก็มักถูกพวกเด็กสาวจ้องมอง ทำให้เขากลายเป็นคนรังเกียจการถูกเด็กสาวจ้องมองอย่างเสน่หามากเป็นพิเศษ

การไล่ถามเกี่ยวกับเด็กสาวผู้หนึ่งเช่นนี้ นับว่าเป็นครั้งแรก

คงมิได้เหมือนอย่างที่ลือกันข้างนอกว่าใต้เท้าของพวกเขาถูกใจคุณหนูหวัง เพื่อคุณหนูหวังถึงได้ออกหน้าไปต่อยปั๋วหมิงเย่ว์นั่นจริงๆ หรอกกระมัง

แต่ไม่ว่าในใจของเฉินอวี้จะคิดอย่างไร ยามเขาตอบเฉินลั่วล้วนตรงไปตรงมาไร้อคติ

น่าจะตั้งใจกระมัง! เขากล่าวอย่างไตร่ตรอง ตระกูลหวังเองก็มิใช่ตระกูลธรรมดาตามท้องตลาด องค์หญิงฟู่หยางมาเป็นแขกที่จวนหย่งเฉิงโหว ย่อมต้องพาผู้ติดตามมาด้วยเป็นจำนวนมาก คุณหนูหวังเอาของของสวนหิมะงามไปด้วยยังพออธิบายได้ แต่แม้แต่ดอกไม้ก็ขุดไปด้วย ไม่ว่าผู้ใดก็มองออกว่านางหมายความว่าอะไร

กล่าวถึงตรงนี้ เขาอดกังวลใจแทนหวังซีขึ้นมาไม่ได้ กลัวแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คนจวนหย่งเฉิงโหวจะไม่พอใจ ยังกล่าวอีกว่า คุณหนูหวังเองก็เป็นคนโมโหร้ายเกินไปแล้ว บางเรื่องไม่จำเป็นต้องทำอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ก็ได้!

ตรงไปตรงมาหรือ

เฉินลั่วคิด

ก็ตรงไปตรงมามากจริงๆ

ไม่มีการเลี้ยวลดเลยแม้แต่นิดเดียว

ผู้ใดเป็นคนให้ความมั่นใจแก่นางกัน?

ตระกูลหวังหรือ

ตระกูลพ่อค้าธรรมดาๆ ตระกูลหนึ่ง

อาจจะไม่ธรรมดาอยู่บ้าง แต่สำหรับเขา นั่นก็ถือว่าธรรมดาอยู่ดี

เฉินลั่วนึกถึงกล้องส่องทางไกลที่เขาฉกฉวยมาจากมือของหวังซีกระบอกนั้น

พอจะมองออกว่า ที่บ้านปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี ถึงกับให้นางมาจิงเฉิง เข้าไปอยู่ในจวนหย่งเฉิงโหว เพื่อช่วงชิงชื่อเสียงอันดีงามหนึ่งมาให้นางผ่านจวนหย่งเฉิงโหว

ในหัวของเฉินลั่วพลันมีภาพเหตุการณ์ภาพหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ภาพเหตุการณ์ที่หวังซียืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนบันไดสูง มือเท้าสะเอวสั่งการสาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยข้างกาย ขนอันนี้ไปให้ข้า หรือ ทุบอันนั้นทิ้งเสีย

เขาหัวเราะฮ่าขึ้นมา

อย่าว่าไปเชียว เหมือนจะเป็นเรื่องที่นางทำออกมาได้จริงๆ

เขากำชับเฉินอวี้อย่างกระตือรือร้นว่า หากที่จวนหย่งเฉิงโหวมีสายลมพัดใบหญ้าพลิ้วไหวอะไร เจ้ารีบมารายงานข้า

เฉินอวี้ดวงหน้าเหลอหลา

คำว่า ‘สายลมพัดใบหญ้าพลิ้วไหว’ นี้หมายถึงอะไร หมายถึงเรื่องอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นที่จวนหย่งเฉิงโหวหรือว่าเจาะจงเฉพาะเรื่องคุณหนูหวังพานพบกับความยากลำบากอะไรบ้างเท่านั้น?

ณ ตอนนี้เขาเองก็ตัดสินใจไม่ได้เช่นกัน

แต่มีข้อหนึ่งที่เฉินอวี้กล่าวถูกต้อง การที่หวังซีแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจกับการย้ายบ้านนี้ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจมากจริงๆ นางขมวดคิ้วมุ่นกล่าวกับซือหมัวมัวว่า สุดท้ายเพราะไม่ได้เติบโตอยู่ที่จิงเฉิง ไม่รู้ว่าได้นิสัยนี้มาจากใคร ภายในเรือนว่างเปล่าไม่เป็นปัญหา ของใช้ส่วนตัวของซือจูก็ไม่น้อย ยัดเข้าไปให้เต็มก็ได้แล้ว แต่แม้แต่เรือนครัวเล็กก็รื้อไปด้วย จะให้ซือจูตั้งห้องน้ำชาที่ไหน…

…ระเบียนของสำนักพระราชวังส่งมาถึงข้าแล้ว…

…นางกำนัล ขันที และองครักษ์ข้างกายขององค์หญิงฟู่หยางนั้นรวมๆ กันแล้วมีเกือบสองร้อยคน!

ซือหมัวมัวเองก็รู้สึกว่าหวังซีทำเกินไปเล็กน้อย ไม่เห็นแก่หน้าตาของจวนหย่งเฉิงโหวเลย แต่ระยะนี้นางได้รับของรางวัลจากหวังซีมาไม่น้อย นอกจากนี้คนข้างกายของหวังซียังให้ความเคารพนบนอบต่อนางเป็นอย่างมากกันทุกคน นางจะไม่ช่วยพูดอะไรสักประโยคเลยคงไม่ได้กระมัง

แม้นกล่าวเช่นนี้ แต่เมื่อก่อนคุณหนูสกุลหวังอยู่ที่นั่นก็อยู่ได้สบายดีไม่มีปัญหามิใช่หรือ คุณหนูหวังชมชอบอาหารดี นางอยากทำอาหารบ้าง ถึงได้สร้างเรือนครัวเล็กเพิ่มเข้ามา ยังซื้อตัวแม่ครัวกลับมาด้วยอีกหลายคน นางจะย้ายไปสวนร่มหลิว เครื่องเรือนในครัวต่างๆ เหล่านั้นจะไม่เอาไปด้วยได้อย่างไร ข้าได้ยินมาว่าเพื่อทำไข่ม้วนให้บางเรียบและมีขนาดเสมอกันแล้ว คุณหนูสกุลหวังตั้งใจหาผู้เชี่ยวชาญมากฝีมือมาทำกระทะให้เป็นการเฉพาะ เหล็กหนึ่งชั้นและทองแดงหนึ่งชั้น ผู้เชี่ยวชาญใช้เวลาทำไปทั้งหมดสิบห้าวัน แค่ค่าแรงก็ใช้เงินไปถึงห้าสิบตำลึง!

ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เอ่ยคำใด แต่สุดท้ายก็ไม่สอบสวนเรื่องที่หวังซีรื้อเรือนครัวเล็กอีก

เป็นโหวฮูหยินที่ลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี อดพร่ำบ่นกับคุณหนูพานเป็นการส่วนตัวไม่ได้ว่า เรื่องของพวกนาง เจ้าไปยุ่งมากมายเพื่ออันใด วันนี้ก็ดีเหลือเกิน จะทำอย่างไรกับสวนหิมะงามดี หรือข้าต้องเอาเงินส่วนตัวมาปรับปรุงให้นางอย่างนั้นหรือ

คุณหนูพานหัวเราะคิกอย่างไม่เห็นด้วย โอบไหล่ของโหวฮูหยินเอาไว้ กระซิบกล่าวว่า นี่ข้ากำลังช่วยท่านอยู่มิใช่หรือ ซือจูผู้นั้นมีความสามารถขนาดนี้ ก็ให้นางจัดการเอง! คุณหนูหวังเองก็จัดการด้วยตัวเองมิใช่หรือ! ต่อไปนางจะได้ไม่มองว่าผู้อื่นล้วนเป็นกบในกะลา

โหวฮูหยินฟังแล้วใจเต้นเล็กน้อย

จริงด้วย! แม้นหวังซีมิได้พูดออกมา แต่ความจริงแล้วมักจะเดียดฉันท์ว่าจวนของพวกเขานั้นนี่ก็ไม่ดีนั่นก็ไม่ดีอยู่เสมอ แต่ผู้อื่นก็หาวิธีแก้ปัญหาเอง

อาหารการกินไม่ดี ก็ทำเอง หลับไม่สบาย ก็แก้ปัญหาเอง แม้แต่ที่พักไม่ดี ก็ซ่อมแซมเรือนเอง ไม่เคยรบกวนผู้อื่นเลย

เหตุใดพอถึงคราวของซือจูแล้วจึงทำไม่ได้เล่า

ในเมื่อนางดูถูกดูแคลนผู้คนขนาดนี้ เช่นนั้นก็ลงมือเองก็แล้วกัน

ถึงอย่างไรนางก็ช่วยไม่ได้

โหวฮูหยินราวกับได้ยกภาระอันหนักอึ้งออกไป ตัวเองไม่ได้ออกหน้า ให้พานหมัวมัวไปบอกซือจู ในจวนมีเรื่องมากมาย โหวฮูหยินจัดการเรื่องนี้แล้ว เรื่องนั้นก็โผล่ออกมา พอจัดการเรื่องนั้นเสร็จ เรื่องนี้ก็โผล่ออกมาอีก เรี่ยวแรงมีจำกัดจริงๆ คุณหนูซือมีข้อคิดเห็นอะไร มิสู้ไปบอกโหวฮูหยินของพวกข้าตามตรง พวกข้าจะให้คนออกแรงช่วยทำให้ท่าน ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร

…………………………………………………………………

ตอนต่อไป