นี่ก็หมายถึงการสะบัดมือหนีไม่สนใจแล้วนั่นเอง
ซือจูโกรธจนไม่พูดอะไรไปครู่ใหญ่ บิดผ้าเช็ดหน้าในมือเกือบจะขาดออกเป็นชิ้นๆ
พ่อแม่ของนางช่างตาบอดเสียจริงๆ ที่ฝากฝังนางไว้กับจวนหย่งเฉิงโหว
ก่อนหน้านี้ท่านพ่อของนางยังตั้งใจว่าจะช่วยหาตำแหน่งงานที่กองพลทองคำหรือไม่ก็กองพลขนนกให้บุตรหลานคนใดคนหนึ่งของจวนหย่งเฉิงโหว ดูจากตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้ว
นางเขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปที่อวี๋หลินในทันที นอกจากฟ้องเรื่องของจวนหย่งเฉิงโหวอย่างขุ่นแค้นแล้ว ยังเจตนาป่าวประกาศแผนการก่อนหน้านี้ของบิดาของนางออกไปด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินทราบเรื่องแล้วต่างมองหน้ากัน รู้สึกเสียใจภายหลังยิ่งนัก แต่ก็ไม่อาจให้หวังซีกับซือจูแลกที่อยู่กันได้
โหวฮูหยินจึงคิดว่าเงินสำหรับซ่อมแซมสวนหิมะงามนี้ นางควรจะหาวิธีจ่ายให้มันจบๆ ไปดีหรือไม่
ยังคงเป็นคุณหนูพานที่ยับยั้งนางเอาไว้ นิสัยของคุณหนูซือผู้นั้นก็มีแค่นั้น ผู้อื่นดีกับนางนางไม่จำเป็นต้องจดจำ แต่ถ้าผู้อื่นปฏิบัติต่อนางขาดตกไปบ้าง นางจะจำไม่ลืม เนื่องจากมีความบาดหมางกับนางไปแล้ว คิดจะแก้ไขตอนนี้ เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้ว…
…แทนที่จะออกเงินช่วยนาง มิสู้ทำใจแข็งไม่สนใจต่อไปดีกว่า ให้นางได้รู้จักความร้ายแรงเสียบ้าง ไม่แน่ว่าอาจจะเหลือที่ให้รักษาสถานการณ์ไว้ได้
โหวฮูหยินรู้สึกว่าที่หลานสาวของตัวเองกล่าวมามีเหตุผล
นอกจากนี้ต่อให้ท้องฟ้าถล่มทลายลงมาก็ยังมีฮูหยินผู้เฒ่าอยู่เบื้องบน
ซือจูคือคนจากตระกูลเดิมของฮูหยินผู้เฒ่า
นางจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป
ซือจูไม่มีทางเลือก
คงไม่อาจให้นางไปเชิญหวังซีย้ายออกจากสวนร่มหลิวด้วยตัวเองหรอกกระมัง เช่นนั้นนางจะกลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว
เห็นว่ายิ่งอยู่ก็ยิ่งใกล้วันที่องค์หญิงฟู่หยางจะมาเป็นแขกที่บ้านแล้ว สวนหิมะงามกลับยังเงียบเชียบไร้การเคลื่อนไหว นางจำต้องนำเงินส่วนตัวของตัวเองไปหาคนงานมาซ่อมแซมเรือน
เพียงแต่ว่านางเป็นหญิงสาวยังไม่ออกเรือนผู้หนึ่ง ในบ้านยังมีพี่ชายพี่สะใภ้และหลานชายอีกหลายคน แม้นในบ้านจะมีเงินมากมายเพียงใดแต่กว่าจะมาถึงมือของนางก็เหลือไม่เท่าไรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลซืออาศัยเงินจากสมบัติตกทอดของบรรพบุรุษและเบี้ยหวัดของหลวงในการดำรงชีวิต ถึงจะกล่าวว่ามีเงินทองเหลือกินเหลือใช้นั่นก็เป็นเพราะเปรียบเทียบกับคนธรรมดาทั่วไป จะเทียบกับตระกูลหวังได้อย่างไร
นอกจากจะให้ค่าแรงน้อยแล้ว ความต้องการก็มาก งานยังเร่งอีกด้วย ไม่นานก็ค่อยๆ มีชื่อเสียงว่าตระหนี่ถี่เหนียวแพร่ออกไป
คนข้างกายซือจูไม่กล้าบอกนาง ด้วยเหตุนี้หมัวมัวคนสนิทของนางยังแอบนำเครื่องประดับมีค่าที่นางไม่ค่อยได้ใช้สองสามชิ้นไปจำนำลับหลังนาง ตกรางวัลให้คนงานหลายคนที่ทำงานได้ดี ถึงได้อุดปากคนจำนวนหนึ่งเอาไว้ได้
***
หวังซีล้วนไม่รู้เรื่องพวกนี้
นางกำลังจดจ่ออยู่กับการจัดตกแต่งสวนร่มหลิวกับพวกไป๋กั่ว และหารือกับฉังเคอว่าจะเชิญพวกลู่หลิงกับคุณหนูรองอู๋มาเป็นแขกที่บ้านเมื่อไรดี
ฉังเคอรู้สึกว่าฤดูร้อนนั้นไม่ว่าวันไหนก็ร้อนมากอยู่ดี เปิดปฏิทินโหร หาวันที่ไม่แย่นักสักวันหนึ่งก็ได้แล้ว หวังซีกลับส่ายศีรษะ กล่าวว่า ก่อนจัดควรไปสอบถามพวกคุณหนูลู่กับคุณหนูรองอู๋ก่อนถึงจะใช้ได้ ข้าได้ยินมาว่าปีนี้ฮ่องเต้ไม่เสด็จไปหลบร้อนนอกวังหลวง พระสนมชั้นสูงในวังหลวงล้วนประทับอยู่ที่จิงเฉิงกันทั้งหมด กลัวว่าถึงเวลาคุณหนูลู่หรือไม่ก็คุณหนูรองอู๋อาจถูกเรียกตัวเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนด้วย คุณหนูรองอู๋ไม่มีปัญหา แต่หากขาดคุณหนูลู่ไป รู้สึกว่าไม่ค่อยดีนัก
เริ่มแรกที่นางได้รู้จักคุณหนูรองอู๋และคนอื่นๆ ล้วนเป็นเพราะลู่หลิงช่วยแนะนำให้ นางจะจัดงานเชิญแขก ลู่หลิงไม่อยู่ด้วย นางรู้สึกเสียใจยิ่งนัก
ฉังเคอได้ยินแล้วแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
นางยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย หวังซีกลับรู้เรื่องแล้ว
เพียงไม่กี่เดือน หวังซีนั้นจากที่เคยฟังจากนางมาถึงจุดที่เล่าให้นางฟังได้แล้ว
เห็นได้ชัดว่าหวังซีเริ่มหลอมรวมเข้ามาอยู่ในแวดวงของคนจิงเฉิงเรียบร้อยแล้ว
ฉังเคออดทอดถอนหายใจเล็กน้อยไม่ได้ แต่นางก็กลับมาผ่อนคลายได้อย่างรวดเร็ว
หวังซีเป็นคนนิสัยร่าเริงมองโลกในแง่ดีมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หากนางหาเพื่อนอย่างรวดเร็วไม่ได้นั่นถึงจะแปลก!
ทั้งสองคนปรึกษาหารือกันกว่าครึ่งค่อนวัน ขั้นแรกกำหนดวันเชิญแขกมาบ้านเป็นวันที่สิบเดือนเจ็ด แต่ก็ยังต้องดูว่าพวกลู่หลิงจะมีเวลาว่างหรือไม่ด้วย
ฉังเคอเสนอตัวช่วยนางไปสอบถามเรื่องเวลากับคุณหนูรองอู๋และคนอื่นๆ
แน่นอนว่าหวังซีกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
ทันใดนั้นหวังสี่มาพบนางอย่างกะทันหัน บอกว่าทางวัดเจินอู่ให้คนนำจดหมายมาให้เขา ให้หลงจู๊ใหญ่ของตระกูลหวังไปหาสักครั้งหนึ่ง จะได้คุยเรื่องสูตรเครื่องหอมกันดีๆ
หวังซีทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ ถามซ้ำๆ ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
หวังสี่กล่าว เป็นสหายของเซียวเหยาจื่อหาคำตอบออกมาได้ แต่เขาไม่ยอมบอกสูตรเครื่องหอมกับเซียวเหยาจื่อ ต้องการพบคนที่มีอำนาจตัดสินใจได้ทางจากเราให้ได้ เซียวเหยาจื่อไม่มีทางเลือก จึงเรียกข้าไปหารือด้วยขอรับ
เหตุใดต้องอยากพบคนที่มีอำนาจตัดสินใจได้ของตระกูลหวังให้ได้ด้วย
หวังซีขมวดคิ้ว ถามขึ้นว่า เซียวเหยาจื่อบอกว่าสหายของเขาผู้นี้เป็นคนของวัดหนานหวามิใช่หรือ นี่เพิ่งจะไม่กี่วันเอง สหายผู้นั้นของเขาเดินทางจากวัดหนานหวามาถึงจิงเฉิงแล้วหรือ
นางสงสัยเจตนาของสหายของเซียวเหยาจื่อเล็กน้อย
หวังสี่หัวเราะ คิก กล่าวว่า ท่านนักพรตเซียวเหยาจื่อพูดเพียงว่าสหายผู้นี้เป็นคนของวัดหนานหวา แต่มิได้บอกเสียหน่อยว่าเขาอยู่ที่วัดหนานหวา ความจริงแล้วสหายของนักพรตเซียวเหยาจื่อจำวัดอยู่ที่จิงเฉิง พอนักพรตเซียวเหยาจื่อบอกว่ามีเครื่องหอมอันหนึ่งให้เขาไปดูสักหน่อย เขาก็วิ่งฉิวไปที่วัดเจินอู่แล้วขอรับ
หวังซีหัวเราะอย่างขัดเขิน รู้สึกว่าตัวเองย้ายบ้านจนเลอะเลือนไปแล้ว
นางกล่าว ดูทีแล้วข้าต้องไปพบเฉินลั่วด้วยตัวเองสักครั้งถึงจะดี
ผงธูปหอมนี้เป็นของเฉินลั่ว ต่อให้หลงจู๊ใหญ่ไป ก็ไม่อาจตัดสินใจให้ได้!
หวังสี่เองก็คิดว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว หวังซีควรจะไปพบเฉินลั่วสักหน่อยเช่นกัน หาไม่เฉินลั่วจะรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลหวังลงแรงกายแรงใจไปมากมายเพียงใด
เขาไปพบเฉินอวี้
เฉินอวี้นึกถึงที่เฉินลั่วเคยกำชับเขาเอาไว้ บอกว่าหากหวังซีมาเยี่ยมไข้ ไม่ต้องรายงานเขา ให้พาคนเข้าไปได้เลย
เขาจึงตัดสินใจรับนัดด้วยตัวเอง
เฉินลั่วได้ยินว่าหวังซีจะมาเยี่ยมเขา ในใจกลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เรื่องประเภทนี้เขาพานพบมามากมายหลายครั้งแล้ว
เมื่อก่อนไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาถูกบิดาเฆี่ยนตีหรือไปขี่ม้าแล้วทำแขนหักก็ตาม มักจะมีบรรดาพี่สาวน้องสาวจากครอบครัวคนรู้จักหรือสหายเก่าแก่ของตระกูลส่งคนมาเลียบเคียงถามอาการป่วยของเขาอย่างกระตือรือร้นเป็นอันดับแรกก่อน จากนั้นก็จะหาข้ออ้างหนึ่งมาเยี่ยมถึงบ้าน…ผลสุดท้าย ล้วนเป็นเพราะอยากให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจและเป็นหนี้บุญคุณ
ราวกับว่าเขาเป็นคนโง่เง่าก็ไม่ปาน
ของขวัญล้ำค่าไม่กี่อย่าง คำพูดน่าฟังไม่กี่ประโยค จะทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจและเป็นหนี้บุญคุณได้อย่างนั้นหรือ
เช่นนั้นความซาบซึ้งใจของเขาก็ราคาถูกเกินไปแล้ว
แต่เขาเป็นคนพูดออกไปเองว่าช่วงนี้เขา ‘พักฟื้น’ อยู่ที่บ้าน หากไม่พบผู้ใดเลย ก็รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้างจริงๆ พบสักหน่อยก็แล้วกัน!
ถือว่าเป็นการขอบคุณที่นางส่งหนังสือภาพเหล่านั้นมาให้เขา
แม้จะธรรมดาไปสักหน่อย อย่างไรก็ดีกว่าของผู้อื่นที่สนใจแต่เรื่องมูลค่า ไม่สนใจความเหมาะสมของของขวัญ บ้างก็เขียนกลอนที่อธิบายไม่ได้มาให้ บ้างก็ส่งงานเย็บปักที่ปักด้วยตัวเองแต่มีความหมายมากมาให้
แต่สุดท้ายเฉินลั่วยังคงรู้สึกทนไม่ค่อยได้อยู่ดี
เขากำหนดเวลานัดพบเป็นปลายยามอู่[1]ของวันรุ่งขึ้น เลยมื้อเที่ยงไปแล้ว ส่วนมื้อเย็นก็ถือว่าเร็วเกินไป กล่าวคือเขากลัวว่าหวังซีจะรั้งอยู่รับประทานอาหารด้วย
หวังซีเองก็พึงพอใจกับเวลาดังกล่าวเป็นอย่างมาก
เป็นเวลาที่ฮูหยินผู้เฒ่าพักผ่อนช่วงบ่ายพอดี นางจะได้ออกมาจากประตูหลังของสวนร่มหลิวแล้วเข้าไปทางประตูข้าง ณ สวนดอกไม้ด้านหลังของจวนจ่างกงจู่ได้เลย
เทพไม่รู้วิญญาณไม่เห็น ไม่ต้องอธิบายกับใคร เช่นนี้สะดวกสบายยิ่ง
ส่วนสถานที่นัดพบของทั้งสองคนกำหนดเป็นห้องหนังสือเล็ก ณ เรือนประธานของศาลากวางร้อง
แม้นหวังซีจะเคยเห็นแผนผังของศาลากวางร้อง และก็เคยมาศาลากวางร้องแล้ว แต่ตอนที่นางเดินอยู่บนทางเดินอันร่มรื่นของสวนป่าอุดมสมบูรณ์ที่ซ่อนเร้นจากดวงตะวันนี้ ก็ยังคงอดมองไปรอบๆ ไม่ได้
บริเวณโดยรอบเงียบเชียบ ได้ยินเพียงเสียงนกร้องขับขานเท่านั้น ท่ามกลางความร่มรื่นอันเงียบสงบเต็มสายตานี้มีอากาศเย็นสบายลอดผ่าน คล้ายเดินเข้าไปกลางป่าดงพงไพร
มีความคล้ายคลึงกับบ้านของพวกนางเล็กน้อย
หวังซีรู้สึกสบายเหลือเกิน
เฉินอวี้พานางไปรับรองที่ลานบ้านขนาดเล็กที่ประตูลงน้ำมันเคลือบสีดำหลังคาสีเทาและกำแพงสีขาวหลังหนึ่งด้วยตัวเอง
ลานบ้านไม่ใหญ่ ปลูกต้นไม้ใหญ่ขนาดคนโอบรอบไว้เจ็ดถึงแปดต้น เบื้องหน้าเป็นเรือนปีกเล็กๆ ขนาดสามห้อง เสาสีแดงหน้าต่างสีเขียว บนบันไดวางต้นไม้เขียวออกดอกสีแดงเอาไว้หลายกระถาง
หวังซีอดกะพริบตาไม่ได้
สิบแปดบัณฑิต เข็มขัดทอง ดอกลิ้นมังกร และกล้วยไม้ระฆังทอง…นี่เป็นดอกไม้ที่นางส่งมาให้มิใช่หรือ
นางรีบสาวเท้าเข้าไป
เฉินอวี้รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า ดอกกล้วยไม้ที่ท่านส่งมาให้กระถางนั้นใต้เท้าของพวกข้าวางไว้บนโต๊ะวางดอกไม้ในห้องชั้นใน ที่เหลือสองสามกระถางนี้จึงวางไว้ตรงนี้ ยามปกติวางไว้ตรงนี้ เช้าเย็นย้ายเข้าไปด้านในเรือน ยังเรียกบ่าวชายที่ปลูกดอกไม้เป็นจากเรือนจ่างกงจู่มาดูแลเป็นพิเศษด้วย เติบโตอย่างงดงาม แม้แต่กลีบดอกไม้ยังไม่ร่วงหล่นสักกลีบ
ทำเอาจ่างกงจู่คิดว่าใต้เท้าของพวกเขาเปลี่ยนมาชมชอบดอกไม้ ให้เขาไปเลือกดอกไม้ที่เรือนดอกไม้มาให้ใต้เท้าด้วย
หวังซีได้ยินแล้วยิ้มหยีจนดวงตาดวงโตกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว
ใครก็ตามที่รู้ว่าของขวัญที่ส่งไปให้นอกจากจะเป็นที่ถูกใจแล้วยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดีล้วนรู้สึกดีใจทั้งสิ้น!
นางพยักหน้า เอ่ยกับเฉินอวี้ที่เลิกผ้าม่านขึ้นให้นางด้วยตัวเองเสียงหนึ่งว่า ขอบคุณ จากนั้นถึงได้ค้นพบว่านอกจากเรือนเล็กหลังนี้จะสงบเงียบมากแล้ว ยังไม่เห็นมีคนปรนนิบัติรับใช้อะไรอยู่ด้วยเลย
คาดว่าเฉินอวี้เองก็สังเกตเห็นแล้ว กล่าวเสียงเบาว่า นี่คือสถานที่ที่ใต้เท้าของพวกข้าใช้พักผ่อนในยามปกติ คนทั่วไปเข้าออกไม่ได้ หากมิใช่เพราะช่วงนี้ใต้เท้าพักฟื้นอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านี้ไม่มีคนอยู่แม้แต่คนเดียว
เป็นคนชอบความสงบไม่ชอบความวุ่นวายนี่เอง
หวังซีรู้สึกว่าตัวเองรู้จักเฉินลั่วเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่งแล้ว
ดูแล้วการที่ตนมาพบเฉินลั่วด้วยตัวเองนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องเรื่องหนึ่ง
เพียงแต่ว่าเฉินลั่วนอนอยู่บนเตียง และนางก็เป็นเด็กสาวยังไม่ออกเรือนผู้หนึ่ง อย่างไรก็ไม่อาจพุ่งตรงเข้าไปในเรือนปีกที่เขาใช้พักฟื้นได้ ทั้งสองคนตั้งใจจะพูดคุยกันผ่านฉากกั้น
บิดาของหวังซีเคยบอกนางว่า ความชอบของคนเผยให้เห็นนิสัยของคนคนนั้นได้
เนื่องจากที่นี่เป็นสถานที่ที่เฉินลั่วใช้เป็นประจำ ของใช้และเครื่องเรือนต่างๆ ที่ประดับอยู่ย่อมต้องเป็นของที่เขาชื่นชอบทั้งสิ้น
นางนั่งลงในห้องโถงรับรอง ถือโอกาสตอนที่บ่าวชายเข้ามาวางน้ำชาและของว่างมองสำรวจเงียบๆ
กลางห้องเป็นภาพอู๋เต้าจื่อตามหาเซียน มองออกว่าเป็นผลงานของปรมาจารย์มีชื่อ หรือเฉินลั่วจะชอบคำสอนเต๋ามากกว่า?
เครื่องเรือนนั้นมองคราแรกเหมือนเครื่องเรือนเคลือบน้ำมันสีดำธรรมดาสามัญทั่วไป ทว่าจากแสงที่ลอดผ่านเข้ามาในความสลัว เห็นได้ชัดว่าในลวดลายนั้นมีเปลือกหอยฝังเอาไว้ นี่สอดคล้องกับภาพจำที่เฉินลั่วทิ้งไว้ให้นาง เป็นคนให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่า
ไม่ได้ประดับแจกันหรือหยกมีค่า ตรงมุมกำแพงหลายจุดวางต้นไม้สีเขียวเอาไว้ เขียวชอุ่ม เติบโตอย่างดี ล้วนเป็นอะไรที่ไม่จำเป็นต้องตัดตกแต่งใบอย่างว่านสิบแสนและเฟินโปร่งฟ้าจำพวกนั้นทั้งสิ้น บ่าวไพร่น่าจะเป็นคนจัดการ เขาไม่น่าจะสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้สักเท่าไร
เบื้องหน้าเป็นฉากกั้นไหมเส้นบางลายสกุณาบุปผาสี่ฤดูสิบสองบานพันอันหนึ่ง สีสันสว่างสดใส สง่าภูมิฐานเหลือล้น แต่ไม่ถือว่าสวยงามพอ น่าจะเป็นบำเหน็จที่ได้รับมอบมาจากสำนักกิจการภายในของวังหลวง คาดว่าเพิ่งจะย้ายเข้ามาใช้อย่างกะทันหัน
ฉากกั้นนี้ค่อนข้างใหญ่ เห็นห้องชั้นในไม่ชัดนัก
หวังซีใช้จังหวะที่ก้มหน้าลงจิบชา เหลือบมองซ้ายขวาของฉากกั้นผ่านหางตาอย่างรวดเร็ว
ด้านขวานั้นมองไม่เห็นเลย ส่วนด้านซ้ายเห็นผนังที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือ
ดูแล้วเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก
เพียงแต่ไม่รู้ว่าอ่านหนังสืออะไรบ้างเท่านั้น
หวังซีเม้มปากอมยิ้ม
เฉินลั่วกล่าวขึ้นว่า เจ้าบอกว่ามีความคืบหน้าของสูตรทำผงธูปหอมนั่นแล้ว?
น้ำเสียงของเขาดูเกียจคร้าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่สบายมานานหรือเพราะมีสาเหตุอื่นกันแน่ หวังซีรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยยินดีกับการพบกันคราวนี้เท่าไรนัก
ใช่! นางนั่งตัวตรงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวเสียงขรึม ข้าคิดว่าพวกเราต้องไปวัดเจินอู่ด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่ง
นางกลัวเฉินลั่วฟังไม่เข้าหู จึงอธิบายอีกว่า แน่นอน ข้าให้หลงจู๊ใหญ่ของพวกข้าไปก็ได้ แต่ถึงแม้เขาจะเป็นคนฉลาดมากความสามารถ บางเรื่องก็ไม่อาจตัดสินใจอย่างเด็ดขาด และไม่อาจพูดแทนเจ้าได้…
…ที่สำคัญที่สุดคือ ข้าสงสัยว่าสหายของเซียวเหยาจื่อจะรู้อะไรมาหรือไม่ ไม่อย่างนั้นเหตุใดเขาต้องให้เจ้าของผงธูปหอมไปเจอเขาด้วย…
…เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกๆ หรือ
………………………………………………………………..
[1] ยามอู่ 11.00-13.00 นาฬิกา
ตอนต่อไป