แน่นอนว่าไม่รู้สึกแปลกใจ!
เพราะถ้าหากเรื่องนี้ไม่แปลก เขาจะไล่ตามสูตรหอมนี้ไม่ปล่อยได้อย่างไร
ด้านหลังฉากกั้น เฉินลั่วที่แต่งกายเรียบร้อยเอนอยู่บนเก้าอี้ปูเบาะรองนั่งสีเลือดนกลายค้างคาวอายุมั่นขวัญยืนทั้งห้า จิบชาอย่างสบายๆ คำหนึ่งเสร็จแล้ว ถึงได้กล่าวราบเรียบขึ้นว่า น่าแปลกเล็กน้อยจริงๆ!
หวังซีที่อยู่ด้านนอกฉากกั้นราวกับหาสหายสนิทที่มีความสนใจอย่างเดียวกันเจอแล้วก็ไม่ปาน กล่าวอย่างดีใจว่า ใช่! ข้าก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ช่วงนี้ท่านหมอเฝิงเองก็ไปเยี่ยมเยียนสหายร่วมงานมาไม่น้อย พวกเขาต่างบอกไม่ได้ว่าผงธูปหอมของเจ้าทำอย่างไร แต่ล้วนกล่าวชมเป็นเสียงเดียวกันทั้งสิ้นว่าฝีมือการผสมเครื่องหอมนี้ช่างสูงส่ง น่าจะเป็นของที่บรรพบุรุษสักท่านทิ้งเอาไว้ให้ น่าเสียดายที่ราชวงศ์ปัจจุบันไม่สนับสนุนเครื่องหอม ไม่อย่างนั้นเครื่องหอมที่สืบทอดมาจากราชวงศ์ก่อนหน้าเหล่านั้นคงจะไม่เสื่อมถอยลง…
เฉินลั่วฟังด้วยอาการใจลอยเล็กน้อย ในหูล้วนแล้วแต่เป็นเสียงเจื้อยแจ้วกังวานใสทว่าละมุนละไมของนางทั้งสิ้น ทำให้คนรู้สึกเบิกบานโดยไม่รู้ตัว เสมือนกับว่านางกำลังเล่าเรื่องน่าเพลิดเพลินมากเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่ทำให้นางรู้สึกสนใจอย่างยิ่ง
เขาอดหวนนึกถึงการพบหน้าระหว่างทั้งสองคนเมื่อสองสามครั้งก่อนหน้าขึ้นมาไม่ได้
คล้ายกับว่านางล้วนเป็นเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด หรืออยู่ในบรรยากาศแบบไหน ล้วนดูเบิกบานมากอยู่เสมอ
เหมือนนกกระจาบฝนตัวหนึ่ง เสียงที่ขับขานออกมาล้วนทำให้คนสำราญใจทั้งสิ้น
ไม่รู้ว่าเกิดจากการฟูมฟักหรือว่าเป็นโดยธรรมชาติ?
เฉินลั่วปล่อยใจลอยละล่องไปครู่หนึ่ง เมื่อได้สติกลับมาค้นพบว่าภายในห้องเงียบสนิท
เขาอดยิ้มไม่ได้
ดูทีตนคงละเลยถ้อยคำของหวังซีไปแล้ว
โชคดีที่เขามีประสบการณ์กับเรื่องประเภทนี้
เขาเพียงต้องนิ่งเงียบต่อไป อีกฝ่ายก็จะถามเขาขึ้นมาอีกครั้งอย่างระมัดระวังเอง
เฉินลั่วจิบชาอีกคำหนึ่ง
หวังซีพึมพำกล่าวขึ้นอย่างที่คาดไว้จริงๆ เจ้าไม่อยากให้ข้าเป็นคนไปจัดการเรื่องนี้หรือ เช่นนั้นเจ้ามีแผนการอะไร หรือว่าพวกเราจะทำตามที่สหายของเซียวเหยาจื่อบอกมา ให้หลงจู๊ใหญ่ของพวกข้าไปหาสักครั้งหนึ่ง?
เดิมนางคิดว่าเฉินลั่วอยู่จิงเฉิงรู้จักคนมากมายขนาดนั้น กลับยอมฝากฝังเรื่องนี้ไว้กับตระกูลหวังของพวกนาง เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเรื่องนี้ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ให้สาธารณะรับรู้ ตอนส่งผงธูปหอมไปที่วัดเจินอู่ หวังสี่ไม่พูด เซียวเหยาจื่อไม่ถาม ทุกคนต่างรับรู้โดยนัยว่าเป็นของของตระกูลหวังของพวกนาง นางบอกว่าให้นางเป็นตัวแทนเขาไปพบเซียวเหยาจื่อ เขากลับไม่ตอบ หรือเขารู้สึกว่าไม่เหมาะสม?
เฉินลั่วเห็นหวังซีขมวดคิ้วมุ่น
เขาอดเดินไปตรงหน้าฉากกั้นอย่างเบามือเบาเท้าไม่ได้
หวังซีมาพบเขา สวมเพ่ยจื่อตัวยาวสีแดงของลูกท้อขอบลายดอกไม้ที่ออกใหม่ ด้านในเป็นสีชมพู เกล้าผมเป็นมวยคู่ สวมตุ้มหูไข่มุก แต่งองค์ทรงเครื่องครบถ้วนสมบูรณ์ ท่วงท่าขึงขังจริงจังเล็กน้อย คิ้วโก่งโค้งงดงามไม่เพียงขมวดเป็นปมมุ่น ริมฝีปากแดงยังยื่นออกมา ท่าทางเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เฉินลั่วอยากหัวเราะเล็กน้อย
นางต้องไม่รู้เป็นแน่ว่าสำนักกิจการภายในทำฉากกั้นประเภทหนึ่งที่คนด้านในเห็นคนด้านนอก ทว่าคนด้านนอกกลับมองคนด้านในไม่เห็นได้
ท่าทางนี้ของนางทำให้เขานึกถึงเด็กที่ขอลูกกวาดกินไม่ได้ขึ้นมา
ไม่รู้ว่ายามไม่มีคนเห็นนางมักจะแสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากมายขนาดนี้เสมอ?
เฉินลั่วกลั้นเอาไว้ถึงไม่ส่งเสียงหัวเราะออกมา
หวังซีไม่ค่อยพอใจแล้ว
เฉินลั่วหมายความว่าอย่างไร เหตุใดถึงไม่ตอบ หรือเขาจะถูกเฆี่ยนตีอย่างรุนแรง นอนพาดอยู่บนเตียงจนไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะพูด?
หวังซีคิดเช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าเฉินลั่วน่าสงสารขึ้นมาอีกครั้ง
นางกล่าวเสียงอบอุ่นว่า ไม่อย่างนั้น พวกเราประวิงเวลาไปอีกสักสองสามวัน รอเจ้ามีเวลาว่างแล้ว พวกเราค่อยตอบเซียวเหยาจื่อดีหรือไม่
นางถอนหายใจเบาๆ จนแทบไม่ได้ยิน ดวงหน้าเผยความกังวลออกมาให้เห็นเล็กน้อย
สาวน้อยผู้นี้กำลังคิดอะไรอีกแล้ว ประเดี๋ยวดีใจมีความสุขประเดี๋ยวสลดหดหู่
นางคงมิได้คิดจริงๆ ว่าเขาถูกเฆี่ยนจนลุกไม่ขึ้นหรอกกระมัง
เฉินลั่วหน้ามืดครึ้มเล็กน้อย ลืมเสียสนิทว่านี่คือความตั้งใจแรกเริ่มของเขา กล่าวเสียงขรึมว่า เรื่องนี้ข้ามีแผนแล้ว ด้านวัดเจินอู่ ประวิงเวลาออกไปก่อนสักสองวันก็ได้
หวังซีได้ยินแล้ว ดวงตาเบิกกว้าง
เหตุใดเสียงนี่ประเดี๋ยวดังประเดี๋ยวเบา?
หรือในห้องหนังสือนี้จะซ่อนอะไรบางอย่างไว้?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าความจริงแล้วคนที่พูดอยู่หลังฉากกั้นมิใช่เฉินลั่ว?
คำพูดเหล่านั้นถูกเขียนเอาไว้แล้ว มีโจรผู้ร้ายมัดตัวประกันไว้ จากนั้นเลียนแบบคำพูดของตัวประกัน
เฉินลั่วแอบสืบเรื่องผงธูปหอมนี้อย่างลับๆ ผงธูปหอมนี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าคนผู้นั้นอาจมีอำนาจและความสามารถมากกว่าเฉินลั่ว เรื่องที่เฉินลั่วสืบเรื่องผงธูปหอมถูกค้นพบแล้ว โชคดีที่นางบังเอิญพรวดเข้ามา…
หวังซีคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยไปไกล
ล้วนเชื่อฟังท่าน นางรับคำ กลอกลูกตาไปมาอย่างใช้ความคิดครั้งแล้วครั้งเล่า กัดริมฝีปาก ยกกระโปรงขึ้น เดินย่องเข้ามาใกล้ฉากกั้น แนบหูกับฉากกั้น กดเสียงลงต่ำกล่าวว่า เช่นนั้นข้าควรตอบเซียวเหยาจื่ออย่างไรดี หรือข้าควรจะเพิกเฉยพวกเขาไปเช่นนี้ รอพวกเขามาเร่งพวกเรามาอีกครั้ง?
ขาของหวังซีสั่นเล็กน้อย
หากเฉินลั่วถูกลักพาตัวจริงๆ นางควรจะช่วยเขาหรือไม่ช่วยเขาดีนะ หากช่วยเขา แล้วจะช่วยอย่างไร
นางกัดริมฝีปากล่างโดยไม่รู้ตัว
เฉินลั่วขำจะแย่อยู่แล้ว
เด็กสาวผู้นี้ไปเป็นแขกที่บ้านของผู้อื่นก็ทำเช่นนี้หรือ เคยมีใครจับได้หรือไม่ หากคนจับได้นางจะทำอย่างไร
ฉับพลันนั้นเฉินลั่วอยากเดินออกมาจากหลังฉากกั้นเหลือเกิน และสมองยังไม่ทันได้ควบคุมเท้า มันก็เดินออกมาจริงๆ อย่างที่ใจปรารถนา
หวังซีตกใจแน่นิ่งไปแล้ว!
เฉินลั่วเองก็ตกใจเล็กน้อยเช่นกัน
แต่เฉินลั่วได้สติเร็วกว่าหวังซี เขารีบแสดงอาการตกใจ ถามขึ้นว่า นี่เจ้ากำลังทำอะไร
แต่ผิวหน้าของหวังซีหนากว่าที่เฉินลั่วจินตนาการเอาไว้ นางรีบใช้มือถูๆ ขูดๆ ดวงตาของนกฮว่าเหมยบนฉากกั้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวอย่างจริงจังว่า นกนี่ปักได้เหมือนจริงเกินไปแล้ว ข้ามองแล้วมองอีก ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเหมือนมีชีวิตจริงๆ จึงอดเดินเข้ามาดูให้ละเอียดถี่ถ้วนไม่ได้
จากนั้นยังกล่าวชมเชยด้วยความจริงใจเต็มดวงหน้าว่า งานปักฉากกั้นของบ้านพวกเจ้าช่างงดงามจริงๆ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าซื้อมาจากที่ใด ข้าอยากหาช่างปักสักคนหนึ่ง ไม่รู้ว่านางจะปักลายดอกไม้ให้ผู้อื่นหรือไม่ วันที่สิบห้าเดือนแปดหย่งเฉิงโหวฮูหยินต้องพาพวกข้าไปไหว้พระจันทร์เป็นแน่ ข้าอยากใช้ไหมทองและเงินปักกระโปรงลายเทพธิดาฉางเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์สักผืนหนึ่งมานานแล้ว น่าเสียดายที่หาช่างปักดีๆ ไม่ได้
เฉินลั่วตะลึงพูดไม่ออก
นางน่าจะเพิ่งถึงวัยปักปิ่นกระมัง เหตุใดผิวหน้าถึงได้หนาไม่แพ้ขุนนางใหญ่ขั้นสามในราชสำนักเหล่านั้นเลย?
อายุน้อยขนาดนี้ ทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิง เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นกับตา และประสบด้วยตัวเอง
เขามองนางกว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่กล่าวอะไร
หวังซีกลับกระโดดตัวโหยงขึ้นมา มองเขาอย่างสงสัย เจ้า…อาการป่วยของเจ้าหายดีแล้วหรือ เหตุใดข้าถึงได้ยินว่าเจ้าไปปลอบขวัญเหล่าทหารที่เจ้อเจียงไม่ได้? เช่นนั้นเจ้าอยากไปนอนต่อหรือไม่ ข้ารักษาความลับให้เจ้าได้อย่างแน่นอน
นางพูดเสร็จ ยังใช้สายตาประเภท ‘ข้ารู้แล้ว’ และ ‘ข้าเข้าใจแล้ว’ มาปลอบโยนเขาด้วย
เฉินลั่วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ความขุ่นเคืองเล็กน้อยตอนที่ได้ยินว่าหวังซีจะมาเยี่ยมเขานั่นไม่รู้ว่าถูกโยนทิ้งไปไกลแสนไกลตั้งแต่เมื่อใดแล้ว
เขากล่าว เนื่องจากข้าต้องพบแขก คงไม่อาจแต่งกายไม่เรียบร้อยหรอกกระมัง
ถูกต้อง ถูกต้อง หวังซีรับคำอย่างแข็งขัน แต่สายตาที่มองเขายังคงเป็น ‘ข้ารู้แล้ว’ และ ‘ข้าเข้าใจแล้ว’ นั่นอยู่
เฉินลั่วไม่รู้ว่านางเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่เขาเรียนรู้จักการไม่อธิบายมาตั้งแต่เด็กแล้ว และเขาเองก็อธิบายไม่ได้ด้วยว่าเหตุใดจู่ๆ ตนถึงเดินออกมาจากหลังฉากกั้นอย่างกะทันหัน และยังปล่อยให้หวังซีเห็นสภาพปลอดภัยดีของเขาอีกด้วย
ต่อให้หวังซีค้นพบแล้ว เขาก็รู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องใหญ่อะไร
เขาสนใจวัตถุประสงค์การมาของหวังซีมากกว่า
เขากล่าว ตอนนี้ข้าไม่ค่อยสะดวกออกหน้าจริงๆ เจ้าเตรียมตัวเรื่องไปวัดเจินอู่อย่างไร
สมัยเด็กหวังซีถูกพวกผู้ใหญ่จับได้คาหนังคาเขามานักต่อนักแล้ว จึงมีจิตใจแข็งแกร่งต่อเรื่องเช่นนี้ เห็นเฉินลั่วมิได้จับไม่ปล่อย นางก็เลยรีบโยนเรื่องนี้ทิ้งไปด้วย พูดคุยธุระกับเฉินลั่วอย่างจริงจังขึ้นมา แน่นอนว่าวิธีที่ง่ายที่สุดคือมีคนอยากขายสูตรเครื่องหอมนี้ให้ตระกูลของพวกข้า แต่ครอบครัวข้าไม่แน่ใจว่ามันจะรักษาอาการใจสั่นได้จริงหรือไม่ ก็เลยอยากหาคนช่วยจำแนกให้หน่อย…
…ถัดมาก็อาจกล่าวว่าได้รับการไหว้วานมาจากสหาย อย่างไรเสียคนอย่างพวกข้านี้ ก็มีความลับและเรื่องที่ไม่อยากเปิดเผยกับคนภายนอกมากมายอยู่แล้ว เนื่องจากครอบครัวพวกข้าเชิญพวกเขาช่วยจำแนกสูตรเครื่องหอมให้ พวกข้าก็ย่อมติดหนี้บุญคุณพวกเขา พวกเขาไม่สูญเสียอะไรเลย พวกเขาย่อมไม่ไล่ถามอยู่แล้ว…
…วิธีที่เลวร้ายที่สุดคืออีกฝ่ายยืนกรานจะพบเจ้าของผงธูปหอมให้ได้ พวกเราปฏิเสธ อีกฝ่ายก็ปฏิเสธด้วย นั่นก็ได้แต่ต้องดูแล้วว่าอีกฝ่ายมีจุดอ่อนอะไร หวังว่าจะกระตุ้นเขาได้ ทำให้เขาบอกสิ่งที่พวกเราอยากรู้ให้พวกเรา
ถึงแม้ข้อสุดท้ายนี้จะเป็นอุบายที่พี่ชายใหญ่ของนางใช้บ่อยๆ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่สุด หวังซีคิดๆ แล้วก็ให้รู้สึกหนังศีรษะชา
เฉินลั่วยิ้มน้อยๆ
คิดได้รอบคอบจริงๆ!
เช่นนั้นเจ้าก็ไปจัดการก็แล้วกัน!
เขากล่าว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็รบกวนคุณหนูหวังแล้ว ทางข้าตอนนี้ยังไม่สะดวกออกหน้าจริงๆ
นางรู้สึกว่านาง ‘รู้แล้ว’ และ ‘เข้าใจแล้ว’ มาตลอดมิใช่หรือ เช่นนั้นนางก็ ‘รู้แล้ว’ และ ‘เข้าใจแล้ว’ ต่อไปก็แล้วกัน
หวังซีกลับรู้สึกว่าตัวเองมาเยี่ยมเยียนเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก หากรู้แต่เนิ่นๆ นางคงเขียนจดหมายมาให้ฉบับหนึ่งแทนแล้ว
นางกล่าว เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนให้ดี ข้าขอตัวลาก่อนแล้ว!
เฉินลั่วยิ้มน้อยๆ ต่อไป
อยากรู้ว่าต่อจากนี้นางจะทำอย่างไร
หวังซีกลับถอนใจอยู่ในใจครั้งหนึ่ง
เฉินลั่ว แค่ยืนเงียบๆ อยู่ในห้องหนังสือที่มีแสงสลัวเช่นนี้แล้วยิ้มเล็กน้อยก็ราวกับแสงสว่างลำแสงหนึ่ง ส่องประกายระยิบระยับ หล่อเหลาจนทำให้คนใจเต้นตึกตักไม่เป็นส่ำได้
คนที่รู้จักเขาจะอิจฉาเขามากมายเพียงใดนะ! มาจากตระกูลสูงส่ง ได้รับการเอาอกเอาใจ ชื่อเสียงความมั่งคั่งมีพร้อมสรรพ แต่อันดับแรกเขากลับถูกพี่สาวร่วมบิดาวางแผนให้มาเจอกับเหตุการณ์ที่มารดากับชู้รักอยู่ด้วยกัน จากนั้นถูกบิดาเฆี่ยนตีแล้วยังต้องแสร้งทำเป็น ‘ลงจากเตียงไม่ได้’ เพื่อหันเหความคิดของผู้อื่นไปจากข้อสงสัยที่ว่าเขาไม่เชื่อฟังเจิ้นกั๋วกงหรือเปล่านั่นอีก
คิดเช่นนี้แล้ว เขาสู้ตนไม่ได้ด้วยซ้ำ
ช่างน่าสงสารจริงๆ!
หวังซีหันไปโบกมือให้เขา ออกจากห้องหนังสือไป
รอยยิ้มบางของเฉินลั่วดูแข็งค้างเล็กน้อย
นาง…ไปง่ายๆ เช่นนี้?
ไปเช่นนี้แล้วจริงๆ?
ไม่คุยเรื่องสูตรเครื่องหอมต่อแล้ว? ไม่คุยเรื่องวัดเจินอู่ต่อแล้ว? แล้วก็ไม่คุยเรื่องพี่ชายใหญ่ของนางผู้นั้นแล้ว?
เฉินลั่วยืนอยู่ที่เดิมกว่าครู่ใหญ่ หมุนกายกลับไปยังหลังฉากกั้นที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย หากล้องส่องทางไกลที่หยิบมาจากมือของหวังซีจนเจอ ออกจากห้องหนังสือไปยืนอยู่บนบันได ยกกล้องส่องทางไกลขึ้นทอดมองหวังซีเดินทางกลับ
นางเดินตามหลังเฉินอวี้ สอดส่ายมองไปรอบๆ ออกจากจวนจ่างกงจู่ไปประหนึ่งเด็กน้อยเดินกลางทุ่งหญ้าเขียวขจีผู้หนึ่ง
ในกล้องส่องทางไกล เหลือเพียงทางเดินเขียวขจีเต็มสายตา เงียบสงบ ไร้สรรพภาษา คล้ายไม่เคยมีคนเดินผ่านมาก่อน
***
หวังซีที่กลับมาถึงจวนกลับร้อนจนอยากจะแลบลิ้นออกมาเหลือเกิน
นางดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวที่ผ่านการแช่ในน้ำบ่อมาแล้วอึกๆ ติดกันสองถ้วย ถึงได้เรียกไป๋กั่วและอีกสองสามคนมา ข้าร้อนจะตายแล้ว! อากาศเช่นนี้ผู้ใดจะทนได้ พวกเราอย่าจัดงานเลี้ยงอะไรเลยดีหรือไม่ ข้าสงสัยว่าวันนั้นจะมีใครมาได้หรือเปล่า!
ไป๋กั่วรับใช้นางมาตั้งแต่เด็ก ชินกับการเปลี่ยนใจไปมาของนางนานแล้ว จึงไม่ถูกถ้อยคำของนางชักจูงให้ไขว้เขวแต่อย่างใด รับถ้วยจากมือของหวังซีไปอย่างสงบ ให้สาวใช้เด็กที่ตักน้ำอุ่นเข้ามาให้หวังซีเปลี่ยนอาภรณ์ยกน้ำไปยังห้องสำรองที่ใช้สำหรับอาบน้ำโดยเฉพาะ กล่าวปลอบโยนหวังซีอย่างยิ้มแย้มว่า ท่านวางใจ ถึงเวลาข้าจะให้หวังสี่ไปหาน้ำแข็งมาให้ ไม่ปล่อยให้ท่านร้อนแน่นอน
หวังซีนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ขยิบตาพลางเอ่ยถามว่า จวนหย่งเฉิงโหวมีน้ำแข็งให้พวกเราหรือไม่
…………………………………………………………………………..
ตอนต่อไป