ตอนที่ 114 สิ่งที่อยู่หลังผนังอุโมงค์

My Death Flags Show No Sign of Ending

รายงานของเอลล์ที่เกี่ยวกับการพบกลุ่มมอนเตอร์กลุ่มที่ 2 เป็นดั่งสัญญาณทำให้ฮาโรลด์ฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง

แน่นอนว่าในเนื้อเรื่องของเกมส์ไม่มีเรื่องราวหรือข้อมูลอธิบายใดๆที่บ่งบอกว่ามีเหตุการณ์ที่สถานที่อื่นที่ถูกโจมตีโดยมอนเตอร์นอกจากทราวิส

อย่างไรก็ตาม ตอนแรกฮาโรลด์ก็คิดว่าเหตุการณ์นี้เป็นผลมาจากการกระทำของเขาที่ทำให้เรื่องราวแตกต่างไปจากเดิม แต่ต้องมาชะงักเพราะประโยคที่ว่า “มีสัญญาณบ่งบอกว่าอุโมงค์แห่งนี้ถูกสร้างมากว่า 10 ปี”

หรือก็คือมันถูกสร้างตั้งแต่ 2 ปีก่อนที่ ฮิราซาวะ คาซุกิ จะตื่นขึ้นในร่างของฮาโรลด์เสียอีก นอกจากนี้ ยูสทัสก็พึ่งจะมารู้ถึงตัวตนของฮาโรลด์เมื่อ 5 ปีก่อนเท่านั้นในตอนที่ฮาโรลด์มีเหตุต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ช่วงที่เป็นอัศวิน

กล่าวอีกนัยคือ เหตุการณ์นี้มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะไม่ได้เกิดจากการที่เนื้อเรื่องของเกมส์เปลี่ยนแปลงไป แต่เป็นเพียงอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่ได้ถูกเปิดเผยเรื่องราวไว้ภายในเกมส์ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ยูสทัสต้องแอบเตรียมแผนการณ์ลับๆนี้ไว้ที่เมืองบาร์สตัน

( เป็นฝีมือของยูสทัสจริงๆรึปล่าว— …. ) – ฮาโรลด์

“ไม่สิ มันต้องเป็นฝีมือของยูสทัสแน่ๆ” ฮาโรลด์ได้แต่ย้ำตนเองอยู่ภายในใจเช่นนั้น

แม้ว่าเขาจะไม่มีหลักฐาน แต่ข้อมูลที่เขามีจากเนื้อเรื่องของเกมส์นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เดาได้เช่นนั้น

ฮาโรลด์จำได้ว่า ช่วงท้ายๆของเรื่องราวจะมีป้อมปราการลอยฟ้าปรากฎขึ้น พร้อมกับพอร์ทัลที่ใช้สำหรับวาร์ปขึ้นไปยังบนป้อมปราการ

พอร์ทัลและป้อมปราการลอยฟ้าเป็นวิทยาการโบราณที่มากจากยุคสมัยเดียวกับซากปรักหักพัง ซึ่งยูสทัสได้ซ่อมแซมพวกมันและเปิดใช้งานอีกครั้งขึ้นมา

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหาก “พอร์ทัล” ถูกฝังอยู่ที่ใต้เมืองบาร์สตัน มันก็จะตอบโจทย์ที่ว่าทำไมยูสทัสถึงต้องมาแอบทำอะไรลับๆใต้เมืองนี้นับ 10 ปี

( ปัญหาก็คือ ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับไอ้พอร์ทัลเลยน่ะสิ ) – ฮาโรลด์

ภายในเกมส์นั้น คำว่า “พอร์ทัลพลังงาน” ปรากฎขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่มีข้อมูลใดๆที่บ่งบอกว่ามันอยู่ที่ไหน มีลักษณะอย่างไร หรือทำงานยังไง ซึ่งมันคงจะเป็นสิ่งที่ฮาโรลด์ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ แม้ว่าจะอธิบายวิธีการทำงานของมันให้ฟังแล้วก็ตาม นอกเหนือจากนั้น ยังมีประเด็นอื่นๆที่น่ากังวล แต่ ณ จุดๆนี้ ฮาโรลด์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากตีความว่ามันเป็นภัยอันตรายที่สุดและต้องรีบลงมือทันที

[ มีอะไรกวนใจเรอะ บอส ? ] – คีธ

ผ่านไปกว่าสัปดาห์แล้ว ตั้งแต่ได้ฟังรายงานของเอลล์

ตอนนี้พวกเขาทั้งกลุ่มเดินทางมาถึงที่ตีนเขาของจุดหมายแล้ว เส้นทางที่เหลือก็เพียงเดินเท้าขึ้นไปเท่านั้น

และคนที่เข้ามาพูดคุยกับฮาโรลด์นั้นมีชื่อว่า คีธ

เขาเป็นบุคคลสำคัญของกลุ่มฟรีรี่ ซึ่งเป็นรองแค่ เอลล์ที่เป็นผู้บัญชาการและฮาโรลด์ที่เป็นบอสใหญ่เท่านั้น

ซึ่งในความเป็นจริง คีธทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานจากเอลล์และกลุ่มฟรีรี่ จึงทำให้ไม่แปลกอะไรที่สมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มจะเรียกคีธว่าผู้นำ ในฐานะของทหารรับจ้าง เขาถือว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถมาก แม้ว่าบางครั้งคำพูดและกริยาของเขาจะดูหยาบคายไปบ้าง แต่ความรู้และการศึกษาของเขาก็ค่อนข้างสูงทีเดียว แม้แต่เอลล์เองยังเอ่ยปากชมว่า “โชคดีเสียจริงที่ได้หมอนี่มาทำงานด้วย” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคีธนั้นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน แม้ว่าจะหยาบคายไปบ้างก็ตาม

[ พูดไร้สาระอะไร ? ชั้นก็แค่กำลังคิดว่าจะไล่เจ้าพวกโง่พวกนั้นออกไปยังไงดี ] – ฮาโรลด์

[ ถึงพวกเราเรียกมันว่าการอพยพ แต่ในทางเทคนิคแล้วมันก็เหมือนกับไปไล่พวกเขาออกไปนั้นแหละ ข้าพนันได้เลยว่าพวกเขาคงต้องออกมาต่อต้านแน่ ] – คีธ

[ ถ้าเป็นแบบนั้น นั้นก็หมายความว่าพวกมันโง่เกินที่จะรับรู้ว่าอะไรกันแน่ที่ดีกับตัวของพวกมัน ] – ฮาโรลด์

ฮาโรลด์รู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้มันช่างวุ่นวายขนาดไหน แต่เขาก็รู้สึกว่าอย่างน้อยก็มีข้อมูลที่ได้รับมาจากเอลล์นี่แหละที่ยังคงเชื่อใจได้

หากพวกมอนเตอร์เริ่มเคลื่อนไหว บาร์สตันคงได้รับความเสียหายอย่างหนัก แม้ว่าอาจจะมีบางคนที่รอดชีวิตมาได้ แต่จะให้พวกเขากลับไปใช้ชีวิตดั่งเดิมภายในเมืองบาร์สตันคงเป็นเรื่องที่ยาก

[ ระหว่างเลือกที่จะทิ้งบ้านเกิดกับตาย จะเลือกทางไหนมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ชั้นล่ะเบื่อหนายกับการที่ต้องมารับมือก็พวกโง่เง่าที่เรื่องแค่นี้ก็ไม่สามารถคิดเองได้ ] – ฮาโรลด์

[ ฮ่าๆๆ ถ้าคนพวกนั้นเป็นอย่างพวกเราที่เป็นพวกไร้ที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งก็คงเลือกได้ง่ายๆนั้นแหละ สำหรับพวกเขาที่ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขมาโดยตลอดหากไม่ได้รับรู้ถึงอันตรายก็คงไม่ขยับไปไหน ดังนั้นก็คงไม่แปลกหรอก ] – คีธ

[ ชิ ] – ฮาโรลด์

คำพูดของคีธก็ฟังขึ้น แม้พวกชาวบ้านได้จะได้รับแจ้งถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น หากพวกเขาไม่รับรู้ถึงภัยอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตนเอง คงไม่มีคำพูดโน้วน้าวใดๆที่จะสามารถทำให้พวกเขาย้ายออกจากเมืองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคำพูดที่มาจากฮาโรลด์และกลุ่มฟรีรี่ ที่ซึ่งไม่มีอำนาจทางการปกครองใดๆ

ถ้ามองจากมุมของพวกชาวบ้าน มันก็คงดูราวกับว่ามีพวกกลุ่มคนน่าสงสัยมาขับไล่พวกเขาออกจากเมืองโดยให้เหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น

เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกชาวบ้านจะทำตามอย่างเชื่อฟัง

[ ช่างเถอะ ไว้ให้ชั้นประเมินสถานการณ์ด้วยตัวเองก่อน ] – ฮาโรลด์

[ เข้าใจแล้วขอรับ โอ้นั้น พวกเรามองเห็นตัวเมืองแล้ว ] – คีธ

เมื่อมองไปตามแนวสายตาของคีธ ฮาโรลด์ก็เริ่มที่จะมองเห็นแนวกำแพงหินและโครงสร้างของเมืองบางส่วนผ่านแมกไม้ เมืองบาร์สตันอยู่เพียงไม่ไกลแล้ว

แม้ว่าเอลล์จะบอกกับพวกเราว่าพวกมอนเตอร์พร้อมที่จะโจมตีอยู่ตลอดเวลา แต่จนถึง ณ ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกมอนเตอร์ยังไม่เริ่มต้นเคลื่อนไหวใดๆ เขาได้แต่โล่งใจที่มาถึงเมืองโดยเหตุการณ์ยังไม่เริ่มต้นขึ้น

อย่างที่คาด เมืองนี้ตั้งอยู่บนเขา ดังนั้นกำแพงเมืองจึงถูกสร้างจากหินล้อมรอบตัวเมืองเอาไว้อย่างสวยงามเพื่อปกป้องพวกเขาจากอันตายที่มาจากภายนอก ไม่มีทางที่มอนเตอร์ทั่วๆไปจะสามารถทะลวงกำแพงเหล่านี้เข้ามาได้อย่างง่ายๆ เว้นแต่จะมีมอนเตอร์ที่ตัวใหญ่ยักจริงๆ

เมื่อมองขึ้นไป มีหอสังเกตการณ์ตั้งอยู่หลายจุดตลอดแนวกำแพงหิน

( บางทีพวกเราอาจจะใช้ประโยชน์จากกำแพงในการป้องกันและโจมตีพวกมอนเตอร์จากบนกำแพงได้ ) – ฮาโรลด์

ในกรณีที่ถูกพวกมอนเตอร์ล้อมไว้ทุกทิศทาง การที่จะให้พวกชาวบ้านอยู่ภายในตัวเมืองคงจะดีกว่าไปเผชิญอันตรายจากภายนอกก็ได้

อย่างไรก็ตาม มันยังมีความเสี่ยงที่ว่าเมืองนี้อาจถูกโจมตีมาจากภายในนี่สิ

[ กระผมกำลังรอพวกคุณอยู่เลยขอรับ ] – ???

ทันทีที่ฮาโรลด์และคีธมาถึงที่เมือง ก็มีผู้ชายที่ดูอายุราวๆ 40-50 ปีทักพวกเขาทั้ง 2 ขึ้น ฮาโรลด์ไม่เคยพบกับคนๆนี้มาก่อน แต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนๆนี้เป็นใคร

[ นายเป็นลูกน้องของเอลล์สินะ ] – ฮาโรลด์

[ ขอรับ ดูเหมือนพวกท่านจะพาคนมาน้อยกว่าที่กระผมคาดไว้นัก ]

[ หึ จะให้คนกลุ่มใหญ่ๆแห่เข้ามาในเรื่องร้างแบบนี้ มันคงดูน่าสงสัยพิลึก ] – ฮาโรลด์

ฮาโรลด์ไม่ต้องการที่จะทำให้ชาวเมืองตื่นตระหนก ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะแทรกซึมเข้ามาภายในเมืองโดยไม่ให้โดดเด่น

ซึ่งเขาได้แบ่งกองกำลังออกเป็น 2 ฝ่าย นั้นคือหน่วยแนวหน้า และหน่วยสนับสนุน ซึ่งคนที่ได้รับตำแหน่งเป็นหน่วยแนวหน้ามีราวๆ 20 คน พวกเขาต้องแทรกซึมเข้ามาภายในเมืองในระยะเวลาที่แตกต่างกันออกไป

แน่นอนว่าฮาโรลด์รู้ดีว่าตนไม่ได้มีเวลาเหลือมากพอให้ทำอะไรเสียเวลาแบบนั้น แต่ถ้าหากสถานการณ์เลวร้ายลงจริงๆ ทั้งหน่วยแนวหน้าและตัวของเขาเองจะรับหน้าที่เข้าต่อสู้ทันทีเพื่อซื้อเวลาให้ชาวเมืองอพยพและกองหนุนเดินทางมาเสริมได้ทัน

อย่างไรก็ตาม แม้หลายๆเหตุการณ์ในช่วงนี้จะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว แต่ฮาโรลด์ก็ไม่เชื่อว่า เหตุการณ์ต่อไปที่จะเกิดขึ้นไม่น่าจะเกิดขึ้นทันทีหลังจากผ่านไปเพียง 2 สัปดาห์ ตั้งแต่เหตุการณ์ที่คฤหาสน์ของแฮร์ริสัน

นอกจากนี้ หน่วยสนับสนุนยังมีหน้าที่รวบรวมสิ่งของที่จำเป็นอีกด้วย และหน่วยแนวหน้าที่ฮาโรลด์พามาด้วย 20 คนนั้น ก็เป็นจำนวนคนที่ฮาโรลด์สามารถดึงตัวมาใช้งานได้ ณ เวลานั้นเท่านั้น

[ รีบพาชั้นไปที่เมือง ส่วนนาย ไปรวมกับคนอื่นๆและสแตนบายรอไปก่อน ] – ฮาโรลด์

[ ขอรับ ]

[ เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วยล่ะ บอส ] – คีธ

[ หึ คิดว่าพูดอยู่กับใครกัน ? ] – ฮาโรลด์

เอาจริงๆ ฮาโรลด์ตั้งใจว่าจะพูดว่า “ขอบคุณ” เฉยๆ เอาเถอะ คีธคุ้นเคยกับคำพูดแบบนี้ของเขาดี ซึ่งเขาก็ไม่ได้หน้าเสียหรือทำสีหน้าอึดอัดอะไร เขาเพียงมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลกิฟเฟลต์ หรือก็คือจุดนัดรวมตัวของแนวหน้า

[ ทางนี้ขอรับ ]

ในขณะเดียวกัน ฮาโรลด์ก็เดินตามชายสูงวัยกลางคนไปยังที่เหมือง

แม้รอบจะไม่ค่อยมีคนอยู่ใกล้ๆพวกเขา แต่เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา ฮาโรลด์จึงเริ่มต้นที่จะถามคำถาม

[ สถานการณ์ทางฝั่งมอนเตอร์เป็นยังไงบ้าง ? ] – ฮาโรลด์

[ พวกมันยังคงตื่นตัวอยู่ขอรับ ในตอนที่พวกเราพบกับพวกมันครั้งแรก พวกแทบที่จะไม่ขยับตัวและส่งเสียครวญครางเป็นครั้งคราว แต่ตอนนี้พวกมันต่างส่งเสียงคำรามและข่มขู่กันอย่างเปิดเผย ]

[ หวังว่าพวกมันจะกัดๆกันเองแล้วตายไปซะ ] – ฮาโรลด์

[ มันเป็นเพียงพฤติกรรมที่แสดงออกมาตามธรรมชาติเท่านั้นขอรับ เพียงเพราะพวกมันเป็นมอนเตอร์คนล่ะประเภท คนละสายพันธุ์เท่านั้นที่ทำให้พวกมันเป็นเช่นนี้ ]

ก็ มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่พวกมอนเตอร์จะฆ่ากันเอง ในเมื่อพวกมันทั้งหมดถูกควบคุมอยู่ และที่สำคัญกว่านั้น จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งหมดของฮาโรลด์ ทำให้เขาแน่ใจว่าเรื่องทั้งหมดคงไม่มีทางถูกแก้ไขลงอย่างง่ายดายแบบนั้นอยู่แล้ว

และสิ่งเดียวที่จะสามารถช่วยให้เขารอดพ้นวิกฤตินี้ไปได้นั้นก็คือ ต้องประเมินสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้เสมอ เพราะเมื่อปัญหาจริงๆแห่เข้ามา เขาจะได้ไม่ต้องรับผลกระทบทางจิตใจมากเกินจำเป็น

[ ช่างมัน แล้วแผนปิดตายทางเข้าออกอุโมงค์ล่ะ แผนนั้นเป็นยังไงบ้าง ? ] – ฮาโรลด์

[ หากไม่นับเรื่องทรัพนาการที่จะต้องใช้ พวกเราก็ไม่มีทั้งเวลาและกำลังพลที่มากพอขอรับ ต่อให้พวกเราสามารถดำเนินการได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาตจากทางเมือง มันก็คงยังยากอยู่ดี ]

[ ถ้าใช่เวทมนตร์ล่ะ ? ] – ฮาโรลด์

[ กระผมทราบดีถึงความสามารถของท่าน และกระผมก็เชื่อว่าท่านคงสามารถทำลายทางเข้าอุโมงค์ได้ อย่างไรก็ตาม หากพวกเราไม่กระทำการปิดทางเข้าอุโมงอย่างเหมาะสม การทำลายทางเข้าอุโมงค์อาจก่อให้เกิดปฎิกิริยาลูกโซ่ที่ทำให้ให้ทั้งอุโมงค์ภายใต้ตัวเมืองพังทลายลงมาพร้อมๆกันทั้งหมดขอรับ ]

สิ่งที่ชายสูงอายุคนนี้ต้องการจะสื่อก็คือ ถ้าแผนนี้ไม่เวิค เมืองอาจถูกฝังลงสู่ใต้ดินได้เลย ซึ่งมันเสี่ยงเกินไปที่จะดำเนินการโดยที่ไม่อพยพคนออกมาทั้งหมดเสียก่อน ในทางกลับกัน การยืนกอดอกรอคอยให้เหล่ามอนเตอร์เป็นฝ่ายเริ่มต้นบุกก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเช่นกัน

[ พวกเรามาถึงแล้วขอรับ นี่คือ 1 ในทางเข้าไปยังเหมือง ]

ทางเข้านี้ตั้งอยู่แถวๆชานเมืองซึ่งมีบ้านเรือนอยู่น้อยมาก มันเป็นหลุม 4 เหลี่ยมที่ถูกขุดเจาะเข้าไปในกำแพงหินทอดยาวไปภายในภูเขา แน่นอนว่ามีรั้วกั้นเอาไว้ว่าห้ามเข้าไป แต่มันก็ถูกทำขึ้นอย่างลวกๆเท่านั้น ซึ่งไม่มีทางที่มันจะสามารถป้องกันเหล่ามอนเตอร์ที่บุกออกมาจากภายในอุโมงค์ได้อย่างแน่นอน

[ เดี่ยวก่อน! ! พวกคุณคิดจะมาทำอะไรที่นี่กันแน่คะ !? ] – ???

ก่อนที่ฮาโรลด์จะก้าวเท้าเข้าไปในอุโมงค์ ก็มีใครบางคนเรียกขัดขึ้นเสียก่อน เมื่อเขาหันหลังกลับไป ฮาโรลด์ก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูอายุมากกว่าเขา 2-3 ปียืนอยู่ เธอสวมแว่นตา มีผมสีม่วงอ่อนสยาย

ฮาโรลด์จำไม่ได้ว่าเคยเห็นตัวละครนี้ภายในเกมส์

เธอก้าวเข้ามาหาฮาโรลด์อย่างมุ่งมั่น นั้นยิ่งทำให้สายตาที่กำลังจ้องมองมาที่เขามุ่งมั่นยิ่งไปกว่าเดิม

[ เมื่อกี้คุณกำลังจะเข้าไปภายในเหมืองใช่ไหมคะ ? ห้ามเข้าไปภายในเหมืองนะคะ มันอันตรายมาก ] – ???

[ อ่า พวกเราทราบดีขอรับ อย่างไรก็ตาม พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อตรวจสอบอันตรายภายในเหมืองขอรับ ]

[ ตรวจสอบภายใมเหมือง ??? ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย ] – ???

[ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขอรับ อ้อใช่ นี่ พวกเราได้รับอนุญาตจากทางเมืองแล้วขอรับ ]

ขณะกล่าวออกมาเช่นนั้น ชายสูงอายุก็หยิบม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งออกมากระเป๋าเสื้อและส่งมันให้กับหญิงสาว มันน่าจะเป็นใบรับรองอะไรซักอย่าง

สมแล้วที่มาจากตระกูลเดียวกับเอลล์ เขาสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและเตรียมการทุกอย่างมาเป็นอย่างดี

[ ใช่ใบรับรองจากทางเมืองจริงๆด้วย … แต่ว่า ทำไมต้องตอนนี้ด้วย ?? ] – ???

[ จริงๆ มันควจจะต้องเร็วกว่านี้เสียด้วยซ้ำขอรับ แต่ว่าเพราะการปิดเหมืองทำให้การตรวจสอบจำเป็นต้องถูกเลื่อนออกไป ]

ฮาโรลด์ทำเพียงยืนกอดอกหลังพิงกำแพงหินและดู 2 คนนั้นพูดคุยกัน ซึ่งฮาโรลด์คิดว่าถ้าเขาไม่เปิดปากพูดแล้วปล่อยให้ชายสูงอายุคนนั้นจัดการไปสถานการณ์จะผ่านไปอย่างราบลื่นได้ …

อย่างไรก็ตาม …

[ ถ้าเช่นนั้น หากคุณหนูไม่ติดอะไรอีก พวกกระผมต้องขอตัวเข้าไปด้านในก่อนนะขอรับ ]

ขณะที่ชายสูงอายุหันหลังกลับและเริ่มก้าวเท้าไปยังอุโมงค์อีกครั้ง เขากับถูกพูดขัดอีกครั้ง

[ รอเดี่ยวค่ะ ! ] – ???

[ อะไรอีก ? ] – ฮาโรลด์

เมื่อถึงจุดๆนี้ ปากของฮาโรลด์ก็พูดออกมาเอง

แม้เขาจะบอกกับตัวเองอยู่ตลอดว่าให้เงียบเอาไว้จะดีที่สุด แต่เนื่องด้วยความรีบที่อยากจะเข้าไปดูสักทีว่ามีอะไรอยู่ภายในอุโมงค์กันแน่ ผนวกกับความหงุดหงิด ทำให้ปากของเขาเผลอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบอีกครั้ง

[ ฉันจะไปกับพวกคุณด้วย ! ] – ???

[ ปฎิเสธ เพราะมันไร้สาระ ] – ฮาโรลด์

[ ไม่ มันไม่ไร้สาระนะคะ! ถึงฉันจะดูไม่ค่อยเหมือนก็เถอะ แต่ฉันเองก็ 1 ในสมาชิกของสภาเมืองแห่งนี้นะคะ ! ] – ???

[ …. อะไรนะ ? ] – ฮาโรลด์

หญิงสาวคนนี้ดูยังไงก็พึ่งจะ 20 ต้นๆ

แม้ว่าเมืองแห่งนี้จะมีประชากรไม่มากนักและใช้ระบบการปกครองที่แตกต่างจากญี่ปุ่น แต่ก็ยังยากที่จะเชื่อว่าหญิงสาวคนนี้จะได้รับเลือกให้เป็น 1 ในสมาชิกสภาเมือง จะด้วยความสามารถ หรือพรสวรรค์ หรือเส้นสาย ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ ถ้าเธอเป็น 1 ในสภาเมืองจริงๆ ถ้าฮาโรลด์สามารถดึงเธอเข้ามาเป็นพวกได้ บางทีอาจจะสามารถใช้เธอ ในฐานะกระบอกเสียงได้

[ นอกจากนี้ ฉันยังคิดว่ามันยังเป็นเรื่องยากสำหรับคนเพียงแค่สองคนที่จะสำรวจเหมืองของเมืองบาร์สตันที่มีขนาดใหญ่โตขนาดนี้ได้ ] – ???

“พวกคุณดูน่าสงสัย” นั้นคือความหมายจริงๆที่แฝงมากับคำพูดของหญิงสาวคนนี้

ซึ่งชายสูงอายุก็เหลือบมองมาที่ฮาโรลด์ว่าจะเอายังไงดี

บางทีอาจเพราะรู้ถึงความเสี่ยงและผลดีที่จะได้รับหากพาหญิงสาวคนนี้ไปด้วย ด้วยเหตุนี้ชายสูงอายุจึงมอบหน้าที่ให้ฮาโรลด์เป็นคนตัดสินใจ

[ จะมาก็มา แตถ้าชักช้า ชั้นทิ้งเอาไว้จริงๆด้วย ] – ฮาโรลด์

————————————

ฟิออน่า เกวน ยังคงระมัดระวังชายแปลกหน้า 2 คนที่อยู่ตรงหน้าของเธอ เธอพยายามจับตาการเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งสองอย่างใกล้ชิด

สำหรับเธอ 2 คนนี้ช่างดูน่าสงสัย

แม้ว่าคำกล่าวอ้างของพวกเขาทั้ง 2 จะอ้างว่ามาที่นี่ก็เพียงตรวจสอบเหมืองจะฟังดูบ้าไปหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเข้าใจได้

นั้นเพราะคนในสภาเองก็มีไม่มากนัก แต่ทว่าเธอเองกลับไม่ได้รับแจ้งถึงเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น “ทีมตรวจสอบ” ที่ว่ากลับมีสมาชิกน้อยเกินไป รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการสำรวจด้วย แม้ชายสูงอายุจะกล่าวว่าเป็นการตรวจสอบเบื้องต้น แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าควรจะมาตรวจสอบเหมืองโดยการพกมาเพียงแผนที่และตะเกียงเท่านั้นเสียหน่อย

แถมเด็กหนุ่มคนนี้ดูอายุน้อยกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ เขากลับไม่ได้ถืออะไรมาเลยนอกเสียจากเสื้อคลุมยาวสีดำที่เธอมองเพียบแว้บเดียวก็รู้ได้ทันทีว่ามันแพงมากและไม่เหมาะสำหรับการสำรวจเหมืองเลยซักนิด

( นายกเทศมนตรีและรองนายกส่ง 2 คนนี้มาจริงๆหรือเนี้ย ? แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ฉันก็ไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมาตรวจสอบเหมืองแบบลับๆอย่างนี้ หากพวกเขาแค่มามองหาสิ่งที่อาจก่อให้เกิดอันตราย พวกเขาก็แค่ไปที่สภาเมือง พวกเขาก็จะได้รับแจ้งรายละเอียดถึงสิงที่พวกเขาต้องการแล้ว ) – ฟิออน่า

ฟิออน่าเองก็ตระหนักดีว่าเธอเป็นคนที่ตรงไปตรงมาและมีบุคลิกที่เป็นตัวปัญหาเล็กน้อย แต่ด้วยนิสัยของเธอก็ใช่ว่าเธอจะเป็นคนประเภทที่ต่อต้านความคิดที่ถูกต้อง และหากนี่เป็นการตรวจสอบภายหาอันตรายในเหมืองจริงๆ เธอก็จะไม่ขัดขวาง

( หากความคิดของฉันถูกต้อง 2 คนนี้คงมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนเอาไว้อยู่ หรือ อาจจะเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมากจนไม่มีใครแจ้งเรื่องนี้ให้ฉันรับรู้ …. หรือไม่ก็ ที่เลวร้ายที่สุดอาจจะทั้ง 2 อย่าง … ) – ฟิออน่า

สิ่งแรกที่แว๊บเข้ามาภายในหัวของฟิออน่าเมื่อพูดถึงอันตรายภายในเหมืองก็คือเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อนที่เหมืองเกิดถล่ม ย้อนกลับไปตอนนั้น ฟิออน่าก็เหมือนกับใครๆหลายๆคนที่สูญเสียคนสำคัญไป คนๆนั้นก็คือพ่อของเธอ ที่ทำหน้าที่เป็นคนงานเหมือง

อย่างไรก็ตาม เหมืองของบอร์สตันถูกปิดไปนานแล้ว

เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบัน มันก็อดคิดไม่ได้ว่าอันตรายที่ 2 คนนี้พูดถึงอาจจะเป็นการถล่มของเหมือนที่รุนแรงเหมือนกันเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งฟีออน่าก็กังวลอยู่พักใหญ่ๆขณะเดินตาม 2 คนนี้ลึกลงไปภายในเหมือง พวกเขาเดินลึกลงไปเรื่อยๆโดนไม่แม้แต่หันกลับมามองเลยซักครั้ง

[ คุณหนูเกวน กระผมขอถามอะไรซักหน่อยได้รึปล่าวขอรับ ? ]

ชายสูงอายุที่กำลังถือตะเกียงจู่ๆก็ถามฟิออน่าขึ้นมา แม้ว่าเขาจะยังคงมองตรงไปข้างหน้าก็ตาม

[ อะไรหรอ ? ] – ฟิออน่า

[ ต้องขออภัยในความหยาบคายของกระผมด้วย แต่กระผมขอทราบอายุของคุณหนูจะได้ไหมขอรับ ? คุณหนูดูเด็กมากสำหรับการเป็นสมาชิกของสภาเมือง ]

[ ฉันอายุ 21 ลุงของฉันเป็นอดีตนายกเทศมนตรี นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงเลือกฉัน ] – ฟิออน่า

เมื่อ 2 ปีก่อน ฟิออน่าลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น 1 ในสมาชิกสภาของเมืองหลังจากที่ลุงของเธอเกษียณอายุ จริงๆควรจะพูดว่ามีคนแนะนำให้เธอลงสมัครเสียมากกว่า แต่จริงๆแล้วเธอเองก็ชอบเมืองนี้และเธอก็เข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่อยากเห็นคนหนุ่มสาวที่เหมือนกับเธอจากเมืองแห่งนี้ไป

ดั่งที่กล่าวไป การที่เธอได้รับเลือกเข้าสภาถือเป็นเรื่องที่เธอแปลกใจมาก แต่ในเมื่อเธอได้รับเลือกแล้ว เธอก็ตั้งใจที่จะทำงานในส่วนนี้อย่างเต็มที่ นั้นคือธรรมชาติของเธอ

[ นี่พวกคุณจะเดินเข้าไปลึกอีกแค่ไหน ? ] – ฟิออน่า

[ … สมองของเธอทึบเกินไปจนไม่สังเกตเห็นหรอว่ามีบางอย่างแปลกๆ ? ] – ฮาโรลด์

ชายหนุ่มอีกคนตอบคำถามของฟิออน่าด้วยคำถาม มันไม่เหมือนกับชายสูงอายุที่สุภาพคนนั้น ชายหนุ่มคนนี้กริยาค่อนข้างหยาบคายทีเดียว รวมไปถึงคำพูดของเขา

อย่างก็ตาม ฟิออน่าก็เลือกจะมองข้ามมันไปและถามกลับอีกครั้ง

[ นายพูดถึงเรื่องอะไร ? ] – ฟิออน่า

[ ก็ขนาดของอุโมงค์ไง ] – ฮาโรลด์

จากคำพูดของชายหนุ่มฟิออน่าจึงรู้สึกตัวว่าแท้จริงแล้ว อุโมงค์นั้นทั้งสูงและกว้างมากหากเทียบจากทางเข้า แม้จะบอกว่ามันถูกสร้างให้กว้างขวางเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานของคนงานเหมือง แต่ขนาดของมันก็ยังคงกว้างใหญ่จนเกินไป

[ ยิ่งไปกว่านั้น … ] – ฮาโรลด์

ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น ชายหนุ่มแหวนชุดคลุมของเขาออกและดึงบางสิ่งออกมา

ฟิออน่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่สะท้อนกับแสงของตะเกียงนั้นคือดาบ

[ คะคะ-คุณจะทำ–..! ] – ฟิออน่า

[ เงียบ! อย่าพูดให้มากนัก ] – ฮาโรลด์

“เขาล่อฉันมาที่นี่เพื่อฆ่าปิดปาก?” ฉากที่เธอถูกฟันตัวขาดแว๊บเข้ามาในหัวของฟิออน่า แต่ทว่าชายหนุ่มกลับไม่สนใจเธอเลยซักนิด และหันคมดาบไปฟันเข้าที่กำแพงเหมืองแทน

เมื่อยืนยันสถานการณ์ได้แล้วว่าอันตรายนั้นไม่ได้หมายมาที่เธอ ฟิออน่าก็พยายามสงบสติอารมณ์และมุ่งความสนใจไปยังกำแพงที่พึ่งถูกฟัน

ภาพที่เธอมองลอดผ่านหลัง ชายทั้งสองยิ่งทำให้เธอประหลาดใจเข้าไปอีก

[ นั้นมัน… อะไรกัน …. ] – ฟิออน่า

แม้ความสามารถของชายหนุ่มที่สามารถตัดกำแพงหินได้อย่างง่ายๆนั้นจะน่าประหลาดใจมากแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ฟินออน่าประหลาดใจอย่างกว่าคือภาพที่ปรากฎหลังกำแพงหินนั้น

เท่าที่ฟิออน่ารู้ ผนังและเพดานของอุโมงค์นั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นหินที่เกิดจากธรรมชาติ โดยมีการต่อเติมเพียงเล็กน้อยเพื่อเสริมโครงสร้างอุโมงค์ให้มันแข็งแรงขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ถูกเปิดเผยเบื้องหลังหินเหล่านั้นคือกำแพงอิฐที่ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับภายอุโมงค์แห่งนี้