ตอนที่ 115 อยากเท่เหมือนกับบอส

My Death Flags Show No Sign of Ending

ต้องใช้เวลาซักระยะหนึ่งกว่าฟิออน่าจะเรียกสติตนเองกลับมาได้อีกครั้ง

เธอพยายามเดินตรงเข้าไปหาฮาโรลด์และถามกับเขาว่าทั้งหมดนี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่ แต่ก็แน่นอน ว่าไม่ใช่ฮาโรลด์ที่จะเป็นผู้ตอบคำถามเหล่านั้น

[ อย่างที่คุณหนูเห็น มีใครบางคนกำลังทำอะไรบางอย่างกับเหมืองแห่งนี้ ]

[ … มะ- ไม่ใช่ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาแบบนี้ตั้งแต่แรกหรอกหรอคะ ? ] – ฟิออน่า

[ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วทำไมพวกเขาจะต้องสร้างชั้นหินปลอมขึ้นมาเพื่อซ่อนอำพรางกำแพงอิฐเหล่านี้ด้วยล่ะขอรับ ? ]

[ ม-มันก็ … ] – ฟิออน่า

ในใจของฟิออน่าเองเธอก็รู้สึกตะหงิดๆเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เช่นกัน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้โต้แย้งกลับ อย่างไรก็ตาม นั้นไม่ได้หมายความว่าเธอจะหมดคำถามเพียงแค่นั้น

[ ถ้าหากไม่ใช่ฝีมือของทางเมืองแล้วใครเป็นผู้สร้างสิ่งนี้ล่ะคะ ? ] – ฟิออน่า

[ พวกเราพอจะรู้แล้วว่าเป็นฝีมือใคร แต่ทว่าพวกเราเองก็ยังไม่มีหลักฐานหรือรู้ถึงเป้าหมายของคนผู้นั้นว่าเหตุใดจึงทำเช่นนี้ ดังนั้นพวกกระผมคงต้องของดการให้ข้อมูลในส่วนนี้ขอรับ ]

“แน่ล่ะ ฝีมือไอ้ยูสทัสแน่ๆ” นั้นคือสิ่งที่ฮาโรลด์คิดขณะที่ฟังการสนทนาของชายสูงวัยและฟิออน่า แต่เขาก็เลือกที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้กับตนเองและเดินต่อไปอย่างเงียบๆ

หลังจากผ่านมาซักพัก ชายสูงอายุที่ถือตะเกียงนั้นก็หยุดเดิน

[ มาถึงแล้วขอรับ ]

จากจุดที่ชายคนนั้นกล่าวออกมา มันดูไม่แตกต่างจากส่วนอื่นๆของภายในเหมืองเลยซักนิด ไม่มีจุดสังเกต หรือทางแยกใดๆ เป็นเพียงเส้นทางในอุโมงค์ธรรมดาๆ แต่ทว่าชายคนนั้นกลับหยิบลิ่มเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อและตอกมันเข้ากับผนังของอุโมงค์

[ มันคืออะไรคะ ? ] – ฟิออน่า

[ มันคือไอเทมเวทมนตร์ขอรับ ถ้าหากคุณหนูให้พลังเวทมนตร์แก่มัน มันจะ… ]

พร้อมกับคำกล่าวของชายสูงอายุ กำแพงหินที่เคยตั้งอยู่ก็สลายหายไปราวกับถูกฉีกออก

[ อย่างที่คุณหนูเห็น สิ่งนี้สามารถยกเลิกผลของเวทมนตร์ภายในระยะช่วงเวลาหนึ่ง ]

[ ….มันน่าจะเป็นของล้ำค่ามากเลยนะคะ ] – ฟิออน่า

[ กระผมแค่บังเอิญมีคนรู้จักที่เป็นผู้ชื่นชอบในวัตถุเวทมนตร์เท่านั้นขอรับ ]

ฟิออน่าคิดว่าชายสูงอายุคนนี้คงพยายามที่จะตอบเลี่ยงๆ ซึ่งเธอก็พอที่จะเข้าใจได้จึงไม่พยายามที่จะเจาะลึกให้มากจนเกินไป และเธอเองก็สงสัยสิ่งที่เกิดขึ้นภายในอุโมงค์แห่งนี้มากกว่าว่ามันมีอะไรที่ถูกซ่อนเอาไว้อยู่กันแน่

ทันทีที่กำแพงหินหายไป มันก็เป็นเพียงทางอุโมงค์อีกเส้นทางหนึ่งที่แยกออกไปจากทางหลัก แต่หลังจากเดินตรงต่อไปซักพัก โครงสร้างทางเดินภายในอุโมงค์ก็เปลี่ยนไป มันเป็นโครงสร้างที่มนุษย์เป็นผู้สร้างเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย

[ นะ-นี่มันอะไรกัน … ] – ฟิออน่า

เพราะภาพที่อยู่ตรงหน้า มันอดไม่ได้ที่จะทำให้เสียงของฟิออน่าถึงกับสั่นเล็กน้อย มันเป็นสถานที่ที่ดูแปลกตาสำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในเมืองอย่างบาร์สตันมาโดยตลอด แต่สำหรับฮาโรลด์ ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นและเคยเห็นห้องทดลองของยูสทัสมาแล้ว มันจึงดูไม่แปลกตาอะไร ยิ่งไปกว่านั้น ภาพของห้องทดลองสุดไฮเทคที่ถูกนำมาตั้งอยู่ภายในเหมืองลึกแบบนี้ ฮาโรลด์ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเธอคงจะตกใจกับภาพที่อยู่ตรงหน้าขนาดไหน

[ อย่ามันแต่ยืนอึ้ง เดินตามมาได้แล้ว ] – ฮาโรลด์

[ อะ อ่าา- ระ-รอฉันด้วยสิคะ! ] – ฟิออน่า

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ตาม ฮาโรลด์ก็จะไม่หยุดรอเธอ เพราะเป้าหมายของเขาอยู่แค่ตรงหน้านี้แล้ว

——————————–

ตอนนี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ตะเกียงอีกต่อไป เพราะบนเพดานนั้นมีหลอดไฟสำหรับให้แสงสว่างอยู่ บางทีสถานที่แห่งนี้อาจมีการวางระบบไฟฟ้าเอาไว้

เสียงฝีเท้าของกลุ่มพวกเขาสะท้อนดังก้องไปทั่วทางเดินที่เย็นเฉียบ จากที่เขาได้ฟังรายงานจากเอลล์ ณ สถานที่แห่งนี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆนอกเสียจากพวกมอนเตอร์ แต่ฮาโรลด์ก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้จะถูกปล่อยทิ้งร้างแต่อย่างใด เขายังคงเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น เพื่อที่จะสามารถรับมือกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ราวกับรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดที่แผ่ออกมาจากฮาโรลด์ ทั้งฟิออน่าและชายสูงอายุต่างพากับเงียบลงตามไปด้วย นั้นยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบยิ่งตึงเครียดกันขึ้นไปอีก

แม้ทางเดินนี้จะดูค่อนข้างยาว แต่ในที่สุดก็เห็นทางเลี้ยวที่ด้านหน้า ฮาโรลด์หันไปสบตากับชายสูงอายุ ซึ่งเขาก็ผงักหน้าตอบกลับมาอย่างเงียบๆ

บางที สิ่งที่ทีมสอดแนมรายงานมาก่อนหน้านั้น อาจอยู่ที่ด้านหน้านี้แล้ว เมื่อยืนยันว่ารอบๆไม่มีใครคนอื่นอยู่อีก ฮาโรลด์จะเดินเลี้ยวไปตามทางนั้น

สิ่งแรกที่เข้ามาสะดุดตานนั้นคือกระจกบานใหญ่ที่มีขนาดความกว้างเกือบ 4 เมตร มันถูกติดไว้บนหลุมทรงกลมขนาดยักที่อยู่ที่พื้นเพื่อใช้เป็นหน้าต่างสำหรับมองลอดลงไปที่ด้านล่าง นอกจากนี้ ยังมีประตูอีกบานหนึ่งที่ดูเหมือนว่าใช้สำหรับเข้ามายังภายในห้องแห่งนี้

และถ้าหากทีใครก็ตามออกมาจากประตูบานนั้น พวกเขาทั้งหมดก็จะถูกพบตัวในทันที

( พวกเราไม่ควรอยู่ที่นี่นานนัก ) – ฮาโรลด์

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฮาโรลด์จึงเดินไปยังกระจกเพื่อมองลงไปดูภาพที่อยู่เบื้องล่าง

ภายในนั้นมีมอนเตอร์จำนวนมหาศาลรวมตัวกันอยู่ ซึ่งคล้ายกันเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในดินแดนสุเมรากิ แต่จากรายงานแจ้งว่าที่นี่มีมอนเตอร์ราวๆเกือบ 5000 ตัว แต่พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง เขาคิดว่ามันน่าจะมากกว่านั้น

[ ฮิ้ … ! ] – ฟิออน่า

“นี่มันเป็นปัญหาใหญ่” ขณะที่ฮาโรลด์กำลังคิดเช่นนั้น ฟิออนน่า ผู้ที่เดินมาหยุดที่ข้างๆเขาและมองลงไปที่เบื้องล่างบ้าง เธอถึงกับร้องเสียงหลงออกมาเล็กน้อย

แม้เธอจะพยายามทำใจแข็งเอาไว้อยู่ แต่มันก็ยากที่จะปกปิดสีหน้าของเธอที่ซีดจนไร้เลือดไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อเห็นสภาพของฟิออน่าเป็นเช่นนั้น ฮาโรลด์จึงเกิดความคิดบางอย่าง

( สุมไฟเพิ่มอีกดีไหมนะ ? ถ้าผมทำให้เธอกลัวยิ่งขึ้นไปกว่านี้ บางทีเธออาจจะยอมร่วมมือเพื่อช่วยเรื่องการอพยพชาวเมืองก็ได้ ) – ฮาโรลด์

แม้ว่ามันจะเป็นความตั้งใจที่ดี แต่มันเป็นความคิดที่ฟังดูชั่วร้ายหน่อยๆเสียจนคุณอาจจะนึกว่าหลุดมาจากความคิดของฮาโรลด์ภายในเกมส์ เพราะจุดมุ่งหมายที่แท้จริงมันเกิดมาจากการเต็มใจที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้รอดสถานการณ์ในครั้งนี้ไปให้ได้

[ พวกเราไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของคนที่ทำสิ่งเหล่านี้ แต่มอนเตอร์พวกนี้อาจเป็นสาเหตุที่สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นและทำให้ต้องแก้ไขโครงสร้างบางส่วนภายในอุโมงค์ ] – ฮาโรลด์

มันเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว

ก็จริงที่ว่าอาจมีเหตุผลบางอย่างถึงได้รวบรวมมอนเตอร์ไว้มากมาย ณ สถานที่แห่งนี้ แต่ฮาโรลด์ก็เชื่อว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับพอร์ทัลพลังงานอย่างที่เขาคาดเอาไว้แน่ๆ

อย่างไรก็ตาม จะให้อธิบายเรื่องนี้ให้ฟิออน่าฟังมันก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ซึ่งต่อให้อธิบายไปเธอก็คงไม่เข้าใจ ดังนั้นฮาโรลด์จึงเลือกที่จะไม่พูดถึงมัน

[ ทะ–ทำไม .. ทำไมคนๆนั้นถึงทำอะไรแบบนี้ ? ] – ฟิออน่า

[ อย่างที่ชั้นพูดไป พวกเราไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของหมอนั้น แต่ เธอก็พอจะเดาถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ใช่มั้ย ? ] – ฮาโรลด์

แม้ฟิออน่าจะไม่ได้ตอบกลับอะไรกลับมา แต่สายตาของเธอที่จ้องมองมานั้นราวกับพยายามจะบอกว่า “คุณหมายความว่ายังไงกันแน่คะ ?”

ถ้าอะไรแบบนี้ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้เมืองที่ผู้คนอาศัยอยู่ พวกเขาคงจะแตกตื่นและหวาดกลัว จนเหตุการณ์ลุกลามวุ่นวายเป็นอย่างมาก แต่ในฐานะที่เป็น 1 ในสมาชิกของสภาเมือง ยังไงเธอก็ต้องเอาข้อมูลนี้ไปแจ้งให้กับทุกๆคนภายในเมืองให้ได้รับรู้

[ ถ้าให้ชั้นเดาอย่างมีหลักการ ชั้นเดาว่ามอนเตอร์พวกนี้จะถูกใช้ในการบุกรุกเมืองที่อยู่ด้านบน และเหตุผลที่อุโมงค์ถูกดัดแปลงโครงสร้างให้มีขนาดใหญ่ขึ้นก็เพื่อให้พวกมอนเตอร์ทั้งหมดสามารถรอดผ่านออกไปได้ ] – ฮาโรลด์

[ ทะ-ถ้าเช่นนั้น … ] – ฟิออน่า

[ ใช่ เป็นอย่างที่เธอคิดนั้นแหละ บาร์สตั้นน่าจะเป็นเป้าหมายแรก ] – ฮาโรลด์

ราวกับจินตนาการเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเมืองของเธอได้ ใบหน้าของฟิออน่าซีดลงไปกว่าเดิม ขาของเธอสั่นจนแทบจะยืนไม่ไหว ฮาโรลด์ก็รู้สึกเสียใจที่ต้องปลุกปั่นเธอจนกลายเป็นแบบนี้ แต่ฮาโรลด์เชื่อว่าถ้าเขาปั่นเธอมากพอ เธอก็จะยิ่งให้ความร่วมกับกับเขาอย่างเต็มที่

ขณะคิดได้เช่นนั้น ก็มีบางอย่างสะดุดตาเขา

ที่อีกฝั่งของกระจกด้านล่างของถ้ำ ที่ซึ่งมีมอนเตอร์นับพันคลานกันอยู่ยั้วเยี้ย มีประตูขนาดยักบานหนึ่งที่ซึ่งน่าจะเป็นประตูสำหรับพวกมอนเตอร์

อย่างไรก็ตาม นอกเสียจากประตูบานยัก ยังมีประตูอีกบานหนึ่งขนาดเท่ากันคนปกติถูกติดตั้งอยู่เหนือก้นถ้ำเกือบ 10 เมตร

สิ่งที่ทำให้ฮาโรลด์รู้สึกไม่สบายใจนั้นคือเส้นทางที่ใช้เพื่อไปถึงประตูบานนั้น โครงสร้างของมันดูอันตรายเป็นอย่างยิ่ง มันเป็นการเจาะผนังเพื่อสร้างเป็นทางบันไดทางเดินเพื่อขึ้นไปยังประตูบานนั้น มีรั้วเหล็กที่ถูกทำขึ้นอย่างลวกๆเพื่อป้องกันไม่ให้ผลัดตกลงไปด้านล่าง

ไม่ว่าจะมองยังไง มันดูเหมือนว่าบันไดจะถูกสร้างขึ้นมาหลังจากที่ประตูถูกติดตั้งขึ้นมาก่อน ซึ่งตำแหน่งที่ประตูตั้งอยู่ มันอยู่สูงมากพอที่พวกมอนเตอร์ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ยูสทัสจะสร้างสิ่งที่ดูลวกๆเช่นนี้ไว้ทำไมกัน ?

[ มีอะไรรึปล่าวคะ ? ] – ฟิออน่า

[ ….. ปล่าว อยู่ที่นานไปก็ไม่มีความหมายอะไร กลับกันเถอะ ] – ฮาโรลด์

แม้ฮาโรลด์จะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับมัน แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากจะเข้าไปตรวจสอบมันด้วยตนเอง แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เนื่องจากตอนนี้ สภาพของฟิออน่าแทบจะยืนด้วย 2 ขาของเธอไม่ไหวแล้ว ฮาโรลด์จึงฝากเธอไว้กับชายสูงอายุที่มาจากตระกูลกิฟเฟลต์ และหยิบตะเกียงมาถือแทนเขา และเดินนำพวกเขาไปตามทางในอุโมงค์

เขายังคงถือดาบไว้ที่มือขวาอยู่ตลอด เผื่อว่าอาจมีการลอบโจมตีอย่างไม่คาดคิด แต่ทว่าการเดินทางออกมากลับราบลื่น ตลอดการเดินทางเข้าไปและกลับออกมาใช้เวลาไปเกือบ 4 ชม.

[ นี่ เธอ ] – ฮาโรลด์

[ … อะไรหรือคะ ? ] – ฟิออน่า

หลังจากเงียบอยู่นาน นั้นคือคำพูดแรกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้าของฟิออน่าที่กล่าวออกมา

ถ้าหากเป็นเวลาปกติ ฮาโรลด์คงไล่เธอกลับไปพักผ่อนแล้ว แต่ว่าตอนนี้มันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นเธอจึงยังมีงานที่ต้องทำ แม้ว่าทั้งทางร่ายกายและจิตใจจะเหนื่อยล้าเต็มทนก็ตาม

[ เธอมีแผนจะทำยังไงต่อ ? ] – ฮาโรลด์

[ แผนของฉัน ? เริ่มแรก ฉันคงต้องแจ้งเรื่องนี้ให้กับคนอื่นๆได้ทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบันก่อน … ไม่สิ ถ้าฉันประกาศเรื่องนี้ออกไป มันยิ่งจะก่อให้เกิดความสบสนวุ่ยวายปล่าวๆ ฉันคงต้องแจ้งกับทางนายกเทศมนตรีเพื่อติดต่อขอเข้าพบกับทางเจ้าเมือง เพื่อหาลือและเริ่มตนดำเนินการอพยพผู้คน … ] – ฟิออน่า

อาจเพราะสติของเธอเริ่มฟื้นคืนกับมา ฟิออน่าเริ่มคิดวิธีแก้ปัญหาและพึมพัมมันออกมาเบาๆ

[ หากทำตามขั้นตอนที่ว่า ต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะเริ่มอพยพชาวเมืองได้ ? ] – ฮาโรลด์

[ … อย่างต่ำๆก็ซัก 1 เดือนค่ะ ] – ฟิออน่า

[ พูดแทนซิ ] – ฮาโรลด์

[ คุณหนูขอรับ กระผมขอพูดตามตรง มันมีโอกาสสูงมากที่กว่าจะถึงเวลานั้นมันคงจะสายเกินไปแล้ว ]

[ ทำไมคุณถึงคิดเช่นนั้นล่ะคะ ? ] – ฟิออน่า

[ พวกเราเคยพบกับสถานการณ์ที่เหล่ามอนเตอร์มารวมตัวกันเช่นนี้ในที่สถานที่แหง่อื่นมาก่อน จากประสบการณ์ของกระผม พวกมอนเตอร์ ณ เวลานี้ดูตื่นตัวเป็นพิเศษแล้ว พวกเราคาดว่าคงไม่มีเวลาถึง 1 เดือนหรอกขอรับ ]

[ แบบนั้นมัน !!! แบบนี้พวกเราจะทำยังไงดีคะ ?! ] – ฟิออน่า

[ กระผมคิดว่าควรที่จะอพยพชาวเมืองออกจากบาร์สตันทันทีและส่งเรื่องขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองให้ส่งกำลังพลมาช่วยคุ้มครองชาวเมือง หากมัวแต่ชักช้า กระผมคิดว่าเหล่าชาวเมืองคงจะตายกันหมดแน่ๆขอรับ ]

ชายสูงอายุให้คำตอบที่ค่อนข้างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม มันก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับฟิออน่าที่จะตัดสินเช่นนั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ไม่มีอำนาจในการสั่งอพยพผู้คนได้ตั้งแต่แรก

[ หากเธอคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดี ก็ไปรวบรวมตัวแทนของชาวเมืองมาซะ เดี่ยวพวกเราจะแบ่งปันข้อมูลที่มีให้พวกนั้นรับฟังเอง ] – ฮาโรลด์

[ คุณคิดว่าสิ่งนี้จะเพียงพอที่จะทำให้พวกเราสามารถเริ่มต้นการอพยพผู้คนได้หรือคะ ? ] – ฟิออน่า

[ แน่นอน ] – ฮาโรลด์

[ … ตกลงค่ะ ถ้าเช่นนั้น พวกเราจะจัดการประชุมขึ้นที่หอประชุมของเมืองตอนบ่ายโมงของวันพรุ่งนี้ ] – ฟิออน่า

[ ดี ไปได้แล้วและไม่ต้องพูดอะไรอีก ตอนนี้เธอได้เห็นเรื่องทั้งหมดแล้ว ชั้นจะถือว่าเธอยืนอยู่ข้างพวกเรา เข้าใจรึปล่าว ? ] – ฮาโรลด์

[ ค่ะ … ]

“ต้องพยายามวางตัวให้เป็นปกติ” นั้นคือสิ่งที่ฟิออน่าคิดก่อนที่จะเดินทางเข้าไปภายในอุโมงค์ แต่ว่าตอนนี้เธอไม่สามารถคิดอะไรเช่นนั้นได้อีกแล้ว

ด้วยการก้าวเท้าที่หนักอึ้ง ในที่สุดเธอก็เดินหายเข้าไปภายในเมือง

สำหรับตอนนี้ ฮาโรลด์ถือว่าแผนการวันนี้สำเร็จด้วยดี รวมไปทั้งการเตรียมการเบื้องต้นสำหรับวันพรุ่งอีกด้วย และสิ่งเดียวที่ฮาโรลด์ยังพอจะทำได้นั้นคืออธิฐานให้สถานการณ์ยังคงปกติจนกว่ากลุ่มทหารรับจ้างฟรีรี่ที่เหลือจะเดินทางมาสมทบ

ทุกๆอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ปัญหาทุกๆอย่างมันจะถูกก่อขึ้นมาเรื่อยๆ จนกว่ากลุ่มของไลเนอร์จะสามารถหยุดยั้งแผนการของยูสทัสได้ ดังนั้นจึงไม่มีทางหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้

( สำหรับวันนี้ผมว่าคงพอแล้วล่ะ ) – ฮาโรลด์

และก่อนที่เวลานั้นจะมาถือ ฮาโรลด์จำเป็นที่จะต้องพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยเป็นอย่างยิ่ง

[ พาชั้นไปที่โรงแรม ] – ฮาโรลด์

[ โปรดตามกระผมมาขอรับ ]

“ว่าแต่ ตาลุงนี่ชื่ออะไรนะ ?” ขณะพึ่งนึกออกว่าลืมถามสิ่งสำคัญข้อนี้ไป ฮาโรลด์ก็มุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่คีธและคนอื่นๆพักอาศัยอยู่

แม้ว่าอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับมาก่อนหน้านี้จะหายดีแล้ว แต่ความแข็งแกร่งและสภาพร่างของเขาในตอนนี้ยังถือว่าไม่อยู่ในจุดที่พร้อมที่สุดเท่าที่ควร

สิ่งที่เขาอยากทำตอนนี้คือการ ล้างเหงื่อออกจากร่างกาย เติมท้องให้อิ่ม และเข้านอนให้เร็ว

อย่างไรก็ตาม มีหรือที่ชายตัวซวยที่ชื่อ “ ฮาโรลด์ สโตร์ก” จะสมหวังแม้ว่านั้นจะเป็นเพียงความปรารถนาที่เล็กน้อยถึงเพียงใดก็ตาม

นั้นเพราะเมื่อเขากำลังจะถึงที่โรงแรม ฮาโรลด์ก็พบกับคนกลุ่มหนึ่งกำลังส่งเสียเอะอะโวยวาย ซึ่งดูจากป้ายหน้าร้าน มันเป็นร้านอาหารแห่งหนึ่ง

(อะไรของเจ้าพวกนั้น ? เล่นเมากันตั้งแต่กลางวันแสกๆเนี้ยนะ ? ) – ฮาโรลด์

ขณะคิดเช่นนั้น ฮาโรลด์ก็พยายามที่จะเดินผ่านคนกลุ่มนั้นไป โดยทำแค่เพียงมองดูจากไกลๆ

แต่ทว่า ด้วยน้ำเสียง และใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านั้น ทำให้เขานึกออกว่าเจ้าพวกนั้นเป็นคนของฟรีรี่

( เอ๊ะ ? เจ้าพวกนั้นกำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี้ย ? ) – ฮาโรลด์

ถึงแม้ฮาโรลด์จะรู้ดีว่าเจ้าพวกนี้มักก่อเรื่องปวดหัวเป็นประจำอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ฮาโรลด์ไม่เข้าใจ ทำไมเจ้าพวกนั้นต้องมาก่อเรื่องในเวลาแบบนี้ด้วย

( ผมควรเข้าไปอัดเจ้าพวกนั้นก่อนที่พวกมันจะก่อเรื่องไปมากกว่านี้ ) – ฮาโรลด์

เพราะเจ้าพวกนี้จะเคยเป็นทหารรับจ้างมากก่อน ดังนั้นพฤติกรรมในปัจจุบันของพวกเขาจึงดูจะออกนอกลู่นอกทางไปหน่อย เพราะเหตุนี้ ฮาโรลด์จึงต้องรีบหาวิธีแก้ปัญญาฉบับเร่งด่วน…

อาจเพราะกำลังรีบจึงทำให้ฮาโรลด์ไม่ได้ตรวจสอบให้ดีว่าเจ้าพวกนี้กำลังทะเลาะกับใครอยู่ เพราะถ้าเขารู้เช่นนั้น เขาคงจะถอยห่างไปให้ไวโดยไม่สนใจ

[ นี่พวกแกคิดจะทำอะไรกัน ??? ] – ฮาโรลด์

[ บะบะบะ-บอส ! ไม่ใช่นะครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว !! ]

[ เข้าใจผิดอะไร ? ] – ฮาโรลด์

[ นี่มันเรื่องเข้าใจผิด นี่มันเรื่องเข้าใจผิดค้าบบบ ! ]

ด้วยจิตสังหารราวกับเปลวเพลิงที่พวยพุ่งออกมาจากความโกรธของฮาโรลด์ ทำให้ชายทั้ง 2 จากกลุ่มฟรีรี่ถอยครูดออกไปอย่างที่คาดเอาไว้

อย่างไรก็ตาม แม้ชายทั้ง 2 จะหน้าซีดไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมีข้อแก้ตัวมาใช้อ้าง

[ ที่พวกเราทำก็แค่มากินอาหาร ! ]

[ และมันก็อร่อยเอามากๆ ! ]

“แล้วไงต่อ?” นั้นคือสิ่งที่สายตาของฮาโรลด์กำลังบ่งบอกออกมา

[ ดะ-ดังนั้นพวกเราจึงแค่อยากจะขอบคุณกับเชฟ! ]

[ ชะ- ใช่แล้ว! แต่ว่าพวกเราอยากจะขอบคุณแบบเท่ๆอย่างที่บอสทำบ้าง พวกเราเลยคิดว่า ! “มาลองทำดูกันดีกว่า” …. ]

เอ๊ะ ?

——– อย่างที่บอสทำ ?

[ หือ ? ] – ฮาโรลด์

“อย่างที่บอสทำ” คำพูดของ ทั้ง 2 ทับซ้อนกัน

“อย่างที่บอสทำ”หรือก็คือสิ่งที่ฮาโรลด์ทำ

เมื่อมาถึงจุดๆนี้ ความทรงจำที่เขาไม่อยากที่จะจำก็ผุดขึ้นมา

ย้อนกลับไปในอดีต ช่วงที่กลุ่มฟรีรี่ยังไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก ในฐานะบอสใหญ่ขององค์กร ฮาโรลด์ได้จัดงานเลี้ยงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง

จุดประสงค์หลักก็เพื่อใช้โอกาสนี้ในการพบปะสังสรรค์ภายในกลุ่ม

แม้ว่าเขาจะจองล่วงหน้าและขอพื้นที่ส่วนตัว แต่การพบปะของชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำเกือบ 20 คนที่กินดื่มด้วยกันย่อมก่อความวุ่นวาย

ที่จะกล่าวก็คือ แม้ว่าเหตุการณ์มันจะวุ่นวาย แต่มันก็ไม่ได้ถึงขนาดอาละวาดกันจนพังร้านเละเทะ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่ทางร้านจะขอให้พวกเขาอยู่ในความสงบได้

หลังจากครุ่นคิดอยู่นานว่าจะทำยังไงดี ฮาโรลด์จึงเรียกเชฟของร้านอาหารเพื่อมาแก้ไขสถานการณ์และชดใช้ให้กับทางร้าน

“ขุนนางที่พากลุ่มอันธพาลติดสอยห้อยมาด้วย” นั้นคือภาพลักษณ์ที่บุคคลภายนอกมองฮาโรลด์ พนักงานทุกคนภายในร้านอาหารต่างหวาดกลัวเขา

เมื่อเชฟมาหาฮาโรลด์ด้วยตัวที่สั่นเทา เขาจึงพยายามพูดกับเชฟให้ตรงประเด็นเพื่อไม่ให้คำพูดที่ไม่จำเป็นหลุดออกมา

<< หึ อาหารมันก็ไม่ได้รสชาติแย่อะไรนัก เอ๊า รับนี่ไปซะ >> – ฮาโรลด์

ขณะกล่าวออกมาเช่นนั้น ฮาโรลด์ก็โยนถุงบรรจุเหรียณทองเต็มถุงไปให้กับเชฟ

จริงๆจำนวนเหรียญทองที่เขามอบให้ต่อให้รวมทิปแล้วมันก็ยังถือว่าสูงมากเกินไปอยู่ดี แต่สำหรับฮาโรลด์ที่ยังคงถือหุ้นจากการทำฟาร์มแบบ LP ที่ตระกูลสุเมรากิเป็นคนจัดการ ทำให้เขามีเงินออมไว้เยอะมากพอสมควร ด้วยเงินจำนวนแค่นี้ มันจึงถือว่าขี้ประติ๋วสำหรับเขา

ในตอนนั้น ฮาโรลด์ทำให้ตัวเองดูเหมือนกับขุนนางสุดเย่อหยิ่งที่พึ่งขึ้นมามีอำนาจและอวดร่ำอวดรวย แต่มันกลับกลายเป็นฉากสุดเท่ของพวกทหารรับจ้างฟรีรี่ที่กำลังเมาได้ที่แทน

[ ประเด็นคือพวกเราทำให้เหมือนบอสได้ไม่ดีนัก พวกเขาเลยกลัวพวกเรากันหมด … ]

[ ผมก็คิดว่าแบบนั้น ]

[ จากนั้น ก็จบลงโดยทะเลาะกับพวกพนักงานภายในร้าน และ ลูกค้าคนอื่นๆ … ]

[ ไอ้พวกงั้ง แล้วจะอยากลองกันทำมะเขืออะไร ] – ฮาโรลด์

[ [ ขอโทษครับ ] ]

คำพูดของพวกเขาทั้ง 2 ทับซ้อนกันอีกครั้ง

หากสิ่งที่พวกเขาพูดเป็นความจริง และไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆแอบแฝง และเนื่องจากตัวของฮาโรลด์ก็มีส่วนที่ทำให้เจ้าพวกนี้ทำแบบนี้ (ทำให้อยากเลียนแบบ) จึงเป็นหน้าที่ของเจ้านายที่จะช่วยแก้ไขเรื่องขัดแย้งให้กับพวกเขา

เมื่อคิดได้ดังนั้น ฮาโรลด์จึงหันไปทางคนๆหนึ่งที่มีเรื่องกับเจ้าพวกนี้

และเมื่อพบๆคนนั้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าของฮาโรลด์ถึงกับกระตุก ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้น เว้นแต่ตอนที่เขากำลังหัวเราะเยาะคนอื่น

ใบหน้าในความทรงจำในวัยหนุ่มตอนนี้ได้กลายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ด้วยผมสีส้มของเขาที่ฮาโรลด์จำได้ มันยังคงทำให้นึกถึงแผงคอของของสิงโตอย่างกับเมื่อวันวาน

ฮาโรลด์บอกได้ทันทีว่าคนๆนี้คือใคร

[ นะ-นายคือ!!…. ฮาโรลด์ งั้นรึ ?? ]

แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน แต่เขาก็คือ 1 ในเพื่อนและเพื่อนอัศวินของฮาโรลด์

ชื่อของเขาคือ ซิด