ตอนที่ 349 – เยือนถึงหน้าประตู

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 349 – เยือนถึงหน้าประตู

โม่เทียนเกอสะบัดแขนเสื้อแล้วไป ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังห้าคนนั้นสุดท้ายไม่ได้ไล่ตามอีก

“ซือเกอ ทำอย่างไรขอรับ” ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังที่ก่อเรื่องยุ่งคนนั้นถามอย่างหวาดหวั่นไม่สบายใจอยู่บ้าง ถึงแม้เมื่อครู่เขาจะวางก้ามเต็มที่ ณ ตอนนี้โม่เทียนเกอสะบัดแขนเสื้อจากไป เขากลับกังวลใจขึ้นมา

คนที่เป็นผู้นำคนนั้นขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร” สำนักเทียนเหยี่ยนเป็นสำนักอันดับหนึ่งเกาะเป่ยจี๋ไม่ผิด แต่พวกเขาถึงอย่างไรเป็นเพียงผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง อีกทั้งไม่มีผู้อาวุโสผู้ฝึกตนระดับสูง ถึงแม้จะพ่ายแพ้ต่อผู้ฝึกตนก่อเกิดตานก็จะไม่มีใครออกหน้าแทนพวกเขา ผู้อาวุโสในสำนักกลับจะรู้สึกว่าพวกเขาทำไม่ถูก ถึงอย่างไรเป็นพวกเขาที่ไปล่วงเกินอีกฝ่ายทางวาจาก่อน

คิดถึงตรงนี้ “ซือเกอ” ผู้นี้ปวดศีรษะแล้ว

“ช่างเถอะ พวกเรากลับไปก่อนเถอะ” เขาเอ่ยในที่สุด “สิ่งของที่หายไปนี้สำคัญมาก ซือซูซือป๋อในสำนักจะต้องสอดมือแล้ว พวกเรากลับไปแค่รายงานตามความเป็นจริง อย่างมากแค่ถูกลงโทษ”

“ขอรับ” คนอื่น ๆ ล้วนคอตกอย่างห่อเหี่ยว เดิมทีการสูญเสียสิ่งของภายใต้สถานการณ์ที่ตนเองรับหน้าที่ดูแลก็โชคร้ายมากแล้ว คิดจะไล่ล่าคนทำคุณไถ่โทษกลับมาดันเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีก ด้วยความเข้มงวดในการปกครองสำนักของเจ้าสำนัก ไม่รู้ว่าต้องถูกลงโทษหนักแค่ไหน

อีกด้านหนึ่ง โม่เทียนเกอบินไประยะทางหนึ่งก็หยุดลง

บนใบหน้านางไม่ได้มีแววโกรธแล้ว เหลือเพียงความงุนงง

จากคำพูดไม่กี่คำของผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังพวกนี้เมื่อครู่ คาดเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้น น่าจะมีคนเพิ่งไปขโมยสิ่งของอะไรจากหออวี้หลิน พวกเขาไล่ออกมา กลับค้นพบว่านางน่าสงสัย ดังนั้นถือนางเป็นโจรขโมยสมบัติ

นี่ก็น่าสนใจแล้ว ในเมื่อถือนางเป็นโจรขโมยสมบัติ หมายความว่ารูปร่างและระดับการฝึกตนของนางและหัวขโมยนั้นคล้ายคลึงกัน อีกทั้งตอนที่ถูกขโมยน่าจะเป็นตอนที่นางออกจากหออวี้หลิน อีกอย่าง พอนางอ้าปาก ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังพวกนี้ก็พูดว่าสำเนียงของนางกับหัวขโมยคล้ายคลึงกันสิบส่วน……

นางหรี่ตา คิดถึงแผ่นหลังที่คล้ายเนี่ยอู๋ชางคนนั้นซึ่งเห็นที่หออวี้หลิน

ถึงเนี่ยอู๋ชางกับนางจะหน้าตาไม่คล้าย แต่ถ้าไม่ดูใบหน้า รูปร่างของทั้งสองคนกลับพอ ๆ กัน อีกทั้งเวลานั้นระดับการฝึกตนของนางดูแล้วก็เหมือนสร้างฐานพลัง สิ่งสำคัญที่สุดคือ หากคนผู้นี้เป็นเนี่ยอู๋ชางจริง ๆ พวกนางล้วนมาจากเทียนจี๋ คนอวิ๋นจงฟังแล้วสำเนียงก็จะคล้ายกันจริง ๆ

หรือว่าเป็นเนี่ยอู๋ชางมาอวิ๋นจงจริง ๆ? คิดถึงความเป็นไปได้อย่างนี้แล้ว โม่เทียนเกอรู้สึกว่าเรื่องราวไม่สู้ดีอยู่บ้าง

หากเนี่ยอู่ชางมาอวิ๋นจง นางมาคนเดียวหรือว่าติดตามซือฟุของนางซงเฟิงซ่างเหรินมาด้วยกันเล่า สรุปแล้วนางขโมยสิ่งของอะไรจากหออวี้หลิน ดูท่าทีของผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังห้าคนนี้ สิ่งที่นางขโมยจะต้องมิใช่วัตถุสามัญ นางเป็นศิษย์ของซงเฟิงซ่างเหริน คิดว่าจะต้องไม่ขาดแคลนศิลาวิญญาณ หากสามารถซื้อได้ เหตุใดจะต้องใช้วิธีการอย่างการขโมย

โม่เทียนเกอนวดหน้าผาก ปวดศีรษะไม่รู้แล้ว ทำไมนางโชคร้ายขนาดนี้ เดินบนทางของตนเองไม่ได้ไปตอแยเรื่องราว ถึงกับถูกลากเข้าไปในความขัดแย้งอีกแล้ว

ไม่ว่าการคาดเดาของนางจะถูกต้องหรือไม่ คนผู้นั้นใช่เนี่ยอู๋ชางหรือไม่ นางได้ถูกดึงเข้าไปในเรื่องนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงแล้ว

เมื่อครู่ไม่ได้ไว้หน้าผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังพวกนั้นเป็นเพราะพวกเขาก้าวร้าว กฎของโลกฝึกเซียนก็คือผู้แข็งแกร่งได้รับความเคารพ นางเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน ดุด่าผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังไม่กี่คนย่อมไม่ใช่ปัญหา ศิษย์ของสำนักเทียนเหยี่ยนสำนักอันดับหนึ่งเกาะเป่ยจี๋ก็เช่นกัน

แต่ว่ามันไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ ขณะนี้ตัวนางอยู่ที่เกาะเป่ยจี๋ คนพวกนี้ขอเพียงรายงานเรื่องขึ้นไป ตำแหน่งแห่งหนของนางก็น่าจะถูกสืบออกมาโดยเร็ว ด้วยสถานะผู้ฝึกตนก่อเกิดตานของนาง ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานของสำนักเทียนเหยี่ยนก็จะออกหน้า ถึงเวลานางจะไม่สามารถไม่ไว้หน้าสักนิดอย่างในตอนนี้ได้อีกแล้ว ถึงอย่างไร มังกรแกร่งไม่รังแกงูเจ้าถิ่น อย่าว่าแต่สำนักเทียนเหยี่ยนนี้มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สองคน นางไม่สามารถหักหน้าคนเขาจริง ๆ

เดิมทีอยากจะไปที่ท่าเรือดูว่าผู้ฝึกตนของอวิ๋นจงล่าอสูรทะเลอย่างไรแล้วก็สนทนากับผู้ฝึกตน ทำความเข้าใจเรื่องของอวิ๋นจงมากขึ้น ขณะนี้นางไม่มีอารมณ์แล้ว วนอ้อมตรงกลับไปที่โรงเตี๊ยม

อาอิ๋นเห็นนางกลับมาเร็วอย่างนี้ก็ประหลาดใจไม่รู้แล้ว นางเพิ่งจะมาถึงเองนะ ท่านเซียนผู้นี้ก็กลับมา เป็นผู้ฝึกเซียนที่ความแข็งแกร่งสูงส่งจริง ๆ ด้วย!

โม่เทียนเกอขี้เกียจจะอธิบายกับนาง ก่อนกลับห้องฝึกตนก็แจ้งนางไปคำหนึ่งว่า “หลายวันนี้หากมีแขกของข้าก็มาเรียกข้าในเรือนได้ตรง ๆ เลย”

อาอิ๋นจับต้นชนปลายไม่ถูก ท่านเซียนท่านนี้อยู่ที่นี่มากว่าครึ่งเดือนแล้ว แม้แต่ประตูยังไม่ก้าวออก ดูอย่างไรล้วนไม่คล้ายมาเยี่ยมสหาย ครั้งนี้ออกไปรอบเดียวก็เอ่ยถึงแขก นางไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเป็นเรื่องราวอันใด แต่ว่า นางเป็นเพียงสาวใช้ของโรงเตี้ยมที่มารับใช้ผู้ฝึกตน ไม่มีสิทธิ์จะถามว่าเพราะอะไร จึงรับคำไปว่า “เจ้าค่ะ”

โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว ก้าวเข้าห้องฝึกตน เปิดม่านพลังป้องกัน เข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน

ทุกสิ่งในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนปกติดี เฟยเฟยกับเสี่ยวหั่วกำลังเล่นซน เสี่ยวฝานกำลังฝึกตนในลำธารน้อย

เทียบกับสองตัวนั้น เสี่ยวฝานไม่เพียงครอบครองสติปัญญาชองมนุษย์ อีกทั้งพฤติกรรมก็ใกล้เคียงมนุษย์ยิ่งกว่า ถึงมันจะยังเป็นเด็กในหมู่อสูรปีศาจ แต่กระตือรือร้นต่อการฝึกตนถึงสิบส่วน หลังมาถึงโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนยิ่งเป็นดั่งปลาได้น้ำ

คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอจิตใจล่องลอย ฉินซีไม่ค่อยจะเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แต่อสูรวิญญาณสามตัวของนางล้วนไม่มีปัญหานี้ หรือว่าเพราะวิธีการฝึกตนของอสูรปีศาจใกล้เคียงกับสัญชาติญาณยิ่งกว่า? น่าเสียดายที่ไม่อาจเรียนรู้วิธีการฝึกตนของอสูรปีศาจ มิเช่นนั้น นางกับฉินซีก็ไม่ต้องพรากจากกันแล้ว

คนของสำนักเทียนเหยี่ยนยังมาถึงเร็วว่าที่นางคาดการณ์ไว้เสียอีก

ระยะเวลาไม่ถึงครึ่งวัน โม่เทียนเกอกำลังหลับตาปรับลมหายใจอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนก็ได้ยินเสียงของอาอิ๋นที่ภายนอก แจ้งว่านางมีแขกมาเยือน

โม่เทียนเกอถอนหายใจ ลืมตาขึ้น จิตหยั่งรู้สั่งเสี่ยวฝานกับเสี่ยวหั่วให้มาหา

“เจ้านาย มีธุระหรือขอรับ”

โม่เทียนเกอลูบเสี่ยวหั่วที่กระโจนเข้าอ้อมอกของนาง กล่าวกับสองอสูรว่า “พวกเจ้าเข้ากระเป๋าอสูรวิญญาณก่อน ตามข้าออกไป”

“อ้อ” เสี่ยวฝานก็ไม่ได้ถามอะไร มองโม่เทียนเกอเปิดกระเป๋าอสูรวิญญาณ มุดเข้าไปอย่างรู้สำนึกมาก เสี่ยวหั่วกลิ้งตัวบนพื้นอย่างไม่มีความสุขหลายรอบจึงได้เข้ากระเป๋าอสูรวิญญาณอย่างไม่เต็มอกเต็มใจ

เก็บกระเป๋าอสูรวิญญาณทั้งสองดีแล้ว ยืนยันว่าอาวุธเวทบนตัวล้วนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด สามารถต่อสู้ได้ทุกเมื่อ โม่เทียนเกอไม่ได้รั้งรออีก ออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เปิดกำแพงอาคม ก้าวออกไป

“ท่านเซียน” อาอิ๋นเห็นนางก็ขึ้นหน้ามาคารวะ “แขกรออยู่ในห้องโถงเจ้าค่ะ”

โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ พยักหน้า ย่างเท้าเดินไปยังห้องโถงเล็กรับแขก

อาอิ๋นมีการอบรมมาก เชิญแขกเข้าห้องโถงและยกน้ำชาดี ๆ ให้แต่แรก

ผู้ที่นั่งอยู่ในห้องโถงขณะนี้เป็นผู้ฝึกตนสตรีระดับก่อเกิดตานนางหนึ่ง เห็นเพียงนางไข่มุกหยกเขียวเต็มศีรษะ เครื่องแต่งกายตกแต่งเป็นชั้น ๆ งดงามไร้ที่เปรียบ เพียงเห็นแผ่นหลังก็รู้สึกถึงกลิ่นอายล้ำค่าที่กดดันผู้คน

โม่เทียนเกออดคิดถึงซือฟุของตนเองประมุขเต๋าจิ้งเหอมิได้ รสนิยมนี้กับซือฟุผู้นั้นของนางคล้ายกันโดยแท้ หากจะพูดว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอมีลักษณะของกษัตริย์ไร้สามารถ เช่นนั้นผู้ฝึกตนสตรีนี้ก็มีลักษณะของหวงโฮ่วแล้ว

ผู้ฝึกตนสตรีนี้กำลังจิบชาอย่างช้า ๆ ตามสบาย สัมผัสได้ว่ามีคนมาแล้วก็วางถ้วยชาอย่างไม่เร็วไม่ช้า เงยหน้ามาสบตาโม่เทียนเกอพอดิบพอดี

ขณะนี้โม่เทียนเกออดตะลึงไปมิได้ ผู้ฝึกตนสตรีนี้รูปลักษณ์งดงาม ทั้งไอเซียนกดดันผู้คนทั้งสูงส่งสง่างาม เป็นคนงามชนิดที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในโลกฝึกเซียน เทียบกับท่านเซียนที่ดูล่องลอยคล้ายเซียนแต่อันที่จริงต่ำช้าประเภทนั้นแล้ว ถึงนางจะมีความงามอย่างโลกปุถุชน ท่วงท่ากลับหลุดพ้นโลกีย์ยิ่งกว่า

พอเห็นนาง ผู้ฝึกตนสตรีนี้ยืนขึ้น ย่อกายคารวะ “เชี่ยเซิน* ผู้ฝึกตนสำนักเทียนเหยี่ยน นามเต๋าฉื่อสู้ คนภายนอกยกย่อง เรียกเชี่ยเซินว่าฉื่อสู้ฟูเหรินน้อมพบสหายเต๋าท่านนี้”

โม่เทียนเกอกุมมือคารวะตอบ “สหายเต๋าฉื่อสู้เกรงใจแล้ว จ้ายเซี่ยแซ่โม่ นามชิงเวย”

“ที่แท้คือสหายเต๋าชิงเวย” ฉื่อสู้ฟูเหรินยิ้มบาง เอ่ยชมอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “สหายเต๋าชิงเวยดูอ่อนเยาว์เพียงนี้ก็อยู่ระดับก่อเกิดตานขั้นกลางแล้ว ช่างน่าตกตะลึงโดยแท้”

“สหายเต๋าฉื่อสู้ก็มิใช่ว่าอ่อนเยาว์งดงามหรือ เหตุใดจึงมาล้อข้าเล่นเล่า” โม่เทียนเกอเอ่ยเรียบ ๆ เชื้อเชิญฉื่อสู้ฟูเหรินว่า “สหายเต๋าเชิญนั่ง”

ฉื่อสู้ฟูเหรินนั่งลงด้วยรอยยิ้ม ยกถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง

ทั้งสองคนอาศัยการจิบชา สำรวจอีกฝ่ายลับ ๆ อีกรอบ

โม่เทียนเกอดูออกว่าฉื่อสู้ฟูเหรินนางนี้ถึงจะอยู่เพียงระดับก่อเกิดตานขั้นต้น แต่ตำแหน่งที่สำนักเทียนเหยี่ยนสมควรไม่ต่ำทราม นางท่วงท่าสง่างาม ทุกอากัปกิริยามั่นคงสงบนิ่ง รอบกายมีรัศมีอำนาจเลือนราง นี่เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสามัญไม่มี คิดว่านางจะต้องเกาะกุมสิทธิ์ในสำนักจึงมีท่วงท่าเช่นนี้

นางสำรวจอีกฝ่ายอย่างนี้ ฉื่อสู้ฟูเหรินก็กำลังมองนางเช่นกัน ตอนที่พบโม่เทียนเกอคราแรก ในดวงตาของนางเกิดความประหลาดใจวูบขึ้น ถึงจะพูดว่าผู้ฝึกตนสตรีระดับสูงในโลกฝึกเซียนมีมากมายที่รักษารูปลักษณ์อ่อนเยาว์เอาไว้ แต่ในสายตาของคนที่มีประสบการณ์ยังสามารถดูออกถึงความแตกต่างอันละเอียดอ่อน แต่นางมองผู้ฝึกตนสตรีที่ไม่เคยเห็นที่เกาะเป่ยจี๋นางนี้แล้วกลับมีท่าทางเหมือนจะอายุเยาว์มากจริง ๆ นางเกิดความระแวงในใจ คงมิใช่ว่าศิษย์ของสำนักใหญ่อะไรในแผ่นดินใหญ่มาถึงที่นี่กระมัง

คิดอย่างนี้แล้ว ฉื่อสู้ฟูเหรินกลอกตา ยิ้มถามว่า “สหายเต๋าชิงเวย ไม่ทราบว่าแดนเซียนอยู่ที่ใด มาเกาะเป่ยจี๋เพื่อทำการใด”

สำหรับผู้ฝึกคน คำถามตรง ๆ เช่นนี้นับว่าไม่สุภาพอยู่บ้าง แต่ว่าด้วยน้ำเสียงที่ฉื่อสู้ฟูเหรินใช้ออกมา สีหน้าที่พูดออกมา กลับทำให้คนรู้สึกว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง

โม่เทียนเกอวางถ้วยชาลง ยิ้มเอ่ยว่า “สหายเต๋าโปรดอภัย ภูมิหลังที่มาของจ้ายเซียนไม่สะดวกจะบ่งบอก แต่เจตนาที่มากลับสามัญ เพียงออกจากสำนักมาท่องเที่ยวถึงที่นี่ก็เท่านั้น”

“อ้อ?” ฉื่อสู้ฟูเหรินเลิกคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “สหายเต๋าเพียงท่องเที่ยว มิได้มาซื้อหาแกนปีศาจหรือ”

โม่เทียนเกอตอบโดยสงบว่า “หากเห็นแกนปีศาจที่เหมาะสมย่อมจะซื้อ แต่ว่า ซื้อไม่ได้ก็มิเป็นไร”

ได้ยินคำตอบนี้ของนาง ฉื่อสู้ฟูเหรินก็ยิ้มแล้ว พฤติกรรมเยี่ยงนี้คล้ายกับผู้ฝึกตนสำนักใหญ่จริง ๆ มีเพียงพวกเขาจึงไม่เห็นตลาดแกนปีศาจที่ใหญ่โตเช่นนี้ในสายตา

คิดอย่างนี้แล้ว ฉื่อสู้ฟูเหรินกล่าวช้า ๆ ว่า “สหายเต๋าชิงเวย เชี่ยเซินเพิ่งได้ฟังจากผู้ดูแลโรงเตี๊ยมว่าตอนที่ท่านเข้ามาพักเรียกตัวเองว่าผู้ฝึกตนอิสระ อีกทั้งยังกดระดับการฝึกตนแกล้งเป็นผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง ไม่ทราบว่ามีความลำบากที่ยากจะเอื้อนเอ่ยอะไรหรือ”

โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ เหล่มองฉื่อสู้ฟูเหริน แต่ไม่ได้พูดจา

ภายใต้สายตาเช่นนี้ของนาง ฉื่อสู้ฟูเหรินก็ค่อย ๆ รู้สึกว่าคำถามของตนเองไม่เหมาะสมอยู่บ้าง ในเมื่อเป็นความลำบากที่ยากจะเอื้อนเอ่ยจะบอกคนภายนอกได้อย่างไรเล่า

“สหายเต๋าฉื่อสู้” โม่เทียนเกออ้าปาก “ข้านิสัยไม่ชอบอวดตน แล้วก็ไม่ชอบพร่ำบอกประวัติความเป็นมาของอาจารย์ นี่ไม่ต้องอธิบายต่อท่านกระมัง”

ถึงสีหน้าของนางขณะนี้เป็นการยิ้ม แต่ฉื่อสู้ฟูเหรินซึ่งเป็นผู้ชาญฉลาดจะสัมผัสคำเตือนที่แฝงอยู่ของนางไม่ได้ได้อย่างไร สตรีนางนี้ไม่ควรตอแย ในสมองนางเกิดความคิดเช่นนี้ลอยขึ้นมาทันที

ฉื่อสู้ฟูเหรินกำลังจะเปิดปาก โม่เทียนเกอยกมือขึ้นหยุดนางก่อนก้าวหนึ่ง นางปัดแขนเสื้อ กล่าวโดยสงบว่า “เจตนาในการมาของสหายเต๋าข้ารู้อยู่แก่ใจ ในเมื่อสหายเต๋าปฏิบัติอย่างเกรงใจ ข้าก็มิใช่ไม่รู้ดีรู้ชั่ว จะขออธิบายต่อสำนักท่านอย่างชัดเจน”

…………………………………..

*คำเรียกตัวเองของสนมในวัง