“คุณยาย!” แม้ว่าหลานเสี่ยวถางจะรู้สึกทรมานมาก แต่ทำได้เพียงจับมือของเธอแล้วพยักหน้าพูดว่า “ได้ค่ะ หนูสัญญา……”
เมื่อได้รับการยืนยันจากหลานเสี่ยวถาง หลานอวี้เจินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนแก้มที่มีรอยย่นของเธอ และยื่นมือไปจับมือของหลานเสี่ยวถาง ”เสี่ยวถาง เป็นคนที่ฉลาดและอ่อนน้อมที่สุดของตระกูลหลาน ถ้าพี่สาวกลับมาในอนาคตต้องอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนะ ใช้ชีวิตที่มีแต่รอยยิ้ม……”
ขณะที่เธอพูดมือของเธอก็ค่อยๆ อ่อนแรงลงและดวงตาของเธอก็ค่อยๆ ปิดลง
“คุณยาย!” หลานเสี่ยวถางตะโกนด้วยความตื่นตระหนก หมอที่อยู่ด้านข้างสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงรีบเข้ามาตรวจ
สือมูเฉินที่อยู่ในห้องน้ำก็รีบวิ่งเข้ามาเห็นหลานเสี่ยวถางคุกเข่าอยู่หน้าเตียงที่หลานอวี้เจินนอนอยู่ หลานเสี่ยวถางมีดวงตาที่ว่างเปล่าและอารมณ์เศร้าบนใบหน้าของเธอ
หลังจากที่หมอตรวจแล้วก็พูดอย่างเสียใจว่า “ขอโทษค่ะ คุณหญิงหลานได้จากไปแล้ว”
แม้ว่าเธอจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลานี้หลานเสี่ยวถางก็ยังไม่อยากเชื่อสายตา
เธอเอื้อมมือไปสัมผัสมือของหลานอวี้เจิน “หมอดูสิ มือคุณยายของฉันยังนิ่มอยู่เลย เธอยังไม่จากไปไหน คุณช่วยตรวจอีกครั้งได้ไหมคะ เธออาจจะแค่นอนหลับก็ได้?”
“คุณคะ ทางเราทำดีที่สุดแล้วจริงๆ” หมอที่ชินกับการเห็นคนเกิดและเสียชีวิต ในตอนนี้กำลังมองดูหญิงชราคนนี้ที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ลูกสาวลูกชายกลับไม่มาดูใจ มีเพียงหลานสาวคนเดียวที่ฟังดูแล้วน่าจะเป็นหลานสาวบุญธรรม อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“หมอ ฉันขอร้องล่ะ คุณยายของฉันยังสบายดี ฉันไปหาเธอเมื่อสองสามวันก่อน มันจะเป็นไปได้ยังไง……” หลานเสี่ยวถางเข้าไปจูงมือหมอ“ถ้าอย่างนั้นลองรักษาโดยการใช้ไฟฟ้ากระตุ้นอาจจะช่วยฟื้นขึ้นมาได้”
หมอรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย สือมูเฉินจึงเดินไปดึงมือของหลานเสี่ยวถางออกจากหมอ เขาจับไหล่ของเธอ ตาจับจ้องไปที่เธอ น้ำเสียงของเขาจริงจัง “เสี่ยวถาง คุณยายได้จากไปแล้ว ตอนนี้เธอจากไปแล้วและไม่สามารถช่วยชีวิตได้แล้ว”
“ไม่ ไม่!” หลานเสี่ยวถางยังคงส่ายหัว กลั้นน้ำตาอย่างสิ้นหวัง “ฉันไม่เชื่อ ฉันจะปลุกคุณยายให้ตื่น!”
“เสี่ยวถาง!” น้ำเสียงของสือมูเฉินรุนแรงมากขึ้น“คุณยายจากไปแล้ว แม้ว่าผมจะไม่ได้สนิทสนมกับเธอมากนัก แต่ก็พอจะรู้ว่าเธอชอบที่จะอยู่อย่างสงบสุข”
กลับสู่ดินด้วยความสงบ เป็นความจริงที่สวรรค์และผู้คนมีสิ่งที่กั้นไว้ไม่อาจมีวันได้พบกันอีก…… หลานเสี่ยวถางได้สติขึ้นในทันใด ดวงตาของเธอเบิกกว้าง และน้ำตาที่กลั้นไว้นานก็ไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก
ความเชื่อในหัวใจของเธอพังทลายลง และชั่วขณะหนึ่งเธอเกือบจะล้มลงอย่างอ่อนแรง
สือมูเฉินเข้าไปกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ร้องไห้ออกมาเถอะ ร้องไห้แล้วยังมีสิ่งที่ต้องต่อสู้อีก”
เมื่อได้ยินเสียงของเขาเธออดไม่ได้ที่จะเอนตัวพิงหน้าอกเขาแล้วปล่อยโฮ
แม้ว่าปกติสือมูเฉินจะดูเป็นคนง่ายๆ แต่เขาก็ค่อนข้างรักความสะอาด แต่ในขณะนี้น้ำตาและน้ำมูกของหลานเสี่ยวถางติดอยู่ที่หน้าอกของเขา เขาแทบไม่รังเกียจเลย
หลานเสี่ยวถางร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง เธอออกมาจากอ้อมแขนของสือมูเฉินแล้วพูดอย่างมึนงง “มูเฉิน คุณยายของฉันทิ้งฉันไปแล้ว ฉันควรทำอย่างไร?”
เสียงของเธอดูแหบแห้งเล็กน้อย เธอสูงร้อยหกสิบสี่เซนติเมตรดูตัวเล็กสำหรับเขา ดวงตาสีแดงของเธอดูน่ากลัวเล็กน้อย ราวกับสัตว์ประหลาดตัวน้อยที่หลงทาง
สือมูเฉินรู้สึกราวกับว่าเขาถูกแทงด้วยเข็มเล็กๆ ที่หัวใจ เขาจับไหล่ของหลานเสี่ยวถางแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “เสี่ยวถาง คุณยังมีผม”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกใจสั่น เธอดึงชายเสื้อของสือมูเฉินแล้วพูดว่า“มูเฉิน ฉันกลัวว่า……”
“ไม่ต้องกลัว ผมจะอยู่เคียงข้างคุณ” สือมูเฉินพูดพร้อมกับกางแขนออกเพื่อโอบกอดหลานเสี่ยวถาง ส่งพลังบวกที่เขามีให้แก้เธอ “เสี่ยวถาง ไม่มีใครในโลกนี้ที่ผ่านความยากลำบากไปไม่ได้ ต่อให้ยากแค่ไหนมัันก็เป็นแค่ประสบการณ์ของชีวิต อีกอย่างผมจะอยู่เคียงคุณตลอดไป”
เสียงของเขามีความนุ่มและอ่อนโยน มีพลังการปลอบโยนที่อธิบายไม่ได้ หลานเสี่ยวถาง รู้สึกสบายใจมากขึ้นกว่าเดิม เธอถามด้วยน้ำเสียงเฉื่อยๆ “มูเฉิน ฉันควรทำอย่างไรต่อไป?”
“พวกเรามาส่งคุณหญิงหลานเป็นครั้งสุดท้ายกันเถอะ!”สือมูเฉินตอบ
หลานเสี่ยวถางเพิ่งนึกขึ้นได้เรื่องที่สือมูเฉินไปคุยโทรศัพท์ และอดไม่ได้ที่จะถามเขาว่า “คุณตรวจสอบเจออะไรไหม?”
“เจอ” สือมูเฉินพยักหน้า พูดพร้อมกับตบไหล่ของหลานเสี่ยวถาง“ฟังผมนะ คุณอย่าเพิ่งคิดมาก ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือส่งคุณหญิงหลานไปสวรรค์ พวกเราจะวางแผนกันอย่างช้าๆ สำหรับเรื่องอื่นเอาไว้ภายหลัง”
“ตกลงค่ะ” หลานเสี่ยวถางพยักหน้าและดูเหมือนมีสติมากขึ้นกว่าเดิม
หลานอวี้เจินซื้อสุสานไว้ล่วงหน้าตั้งนานแล้ว ตอนนี้ลูกชายและลูกสะใภ้ของเธอ และหลานสาวแท้ๆ ไม่มีใครโผล่หน้ามาสักคน โชคดีที่หลานเสี่ยวถางผ่านขั้นตอนการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องของตระกูลหลาน ดังนั้นเรื่องการฝังศพจึงเป็นไปอย่างราบรื่น
เดิมทีเคยคิดว่าจะทำพิธีกรรมบางอย่าง แต่เนื่องจากพ่อแม่บุญธรรมของเธอไม่มาร่วม ถ้าเธอจัดงานพิธีไว้ทุกข์จริงๆ เพื่อนของคุณหญิงหลานในเมืองหนิงเฉิงมาเข้าร่วมเธอไม่รู้จะอธิบายยังไง
ดังนั้นเธอและสือมูเฉินจึงเลือกที่จะทำทุกอย่างให้เรียบง่าย
ระหว่างกระบวนการทั้งหมดจนถึงการฝังศพและการตกแต่งสุสาน ลูกชายและลูกสะใภ้ของเธอก็ไม่ปรากฏตัวเลย ไม่มีแม้แต่การโทรศัพท์มาถาม
หน้าหลุมฝังศพ หลานเสี่ยวถางวางดอกไม้และคุกเข่าบนหินอ่อนสีดำเพื่อไว้อาลัย
ด้านข้างเธอเป็นสือมูเฉินซึ่งไม่ได้นอนมาทั้งคืน นั่งมองดูเธออย่างเงียบๆ
“มูเฉิน คุณรู้ไหม?” หลานเสี่ยวถางลูบป้ายชื่อหลุมฝังศพของหลานอวี้เจิน จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง “ตอนที่ฉันอายุสิบเอ็ดขวบ ฉันเดินผ่านสวนสาธารณะและเห็นคุณยายของฉันตกลงไปในน้ำ ฉันก็เลยกระโดดลงไปช่วยเธอ ฉันแค่ช่วยชีวิตเธอแล้วก็เดินออกไปเงียบๆ ใช่ เธอตามหาสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ฉันอาศัยอยู่ เธอบอกว่าเธอจะรับเลี้ยงฉันและพาฉันไปที่บ้านตระกูลหลาน”
เธอพูดต่อ “เมื่อตอนที่เธอมารับฉัน เด็กๆ รอบตัวฉันต่างก็อิจฉา แต่ในความเป็นจริงฉันกลัวมากเพราะมันเป็นสถานที่ที่แปลกสำหรับฉันโดยสิ้นเชิง”
“ตอนที่ฉันอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เนื่องจากการศึกษาที่ล้าหลัง ฉันอายุสิบเอ็ดขวบจึงรู้แค่คำศัพท์ที่ใช้กันทั่วไปในชีวิตประจำวันเท่านั้น ฉันไม่เก่งคณิตศาสตร์ คิดคำนวณได้เพียงตอนไปซื้อกับข้าว หลังจากที่ฉันกลับไปกับคุณยายฉันเริ่มเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ห้า ฉันเรียนไม่ทันเพื่อน สุดท้ายก็ต้องมาเรียนที่ชั้นประถมศึกษาปีที่สาม คุณรู้ไหมชั้นประถมศึกษาปีที่สามเป็นเด็กอายุประมาณเก้าขวบ ฉันดูโตที่สุดในห้อง มันดูตลกมาก……”
สือมูเฉินกุมมือที่เย็นเฉียบของหลานเสี่ยวถาง และยื่นแขนไปโอบกอดเธอไว้แน่น
“เมื่อคุณยายเห็นว่าฉันไม่ค่อยหัวเราะ ไม่ชอบพูด จึงเชิญอาจารย์มาสอนพิเศษที่บ้าน เพื่อชดเชยกับสิ่งที่ฉันตามไม่ทันเพื่อน หลังจากครึ่งปีฉันก็เลื่อนชั้นมาเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ ต้องใช้เวลาอีกปีหนึ่งในที่สุดก็ได้เรียนกับเด็กอายุสิบเอ็ดขวบ”
“ฉันสอบเข้าม.ต้นได้คะแนนไม่ค่อยดี คุณยายหาเส้นสายเพื่อส่งฉันไปเรียนโรงเรียนที่ดีที่พี่สาวเรียนอยู่ พ่อแม่บุญธรรมของฉันบอกว่าเงินของเธอใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะฉันไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้โดยเร็ว อย่างไรก็ตามคุณยายยังยืนยันที่จะให้กำลังใจฉันและทำให้ฉันมีความมั่นใจขึ้นทีละน้อย ”
“ตอนนั้นคุณยายของฉันยังแข็งแรงดี บางครั้งเธอก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ทุกครั้งที่กลับมาจะมีของขวัญมาให้พี่สาวและฉันอยู่เสมอ พี่สาวได้อะไรฉันก็จะได้เหมือนกัน”
“มีครั้งหนึ่งพี่สาวไม่พอใจ คุณยายจึงบอกกับเธอว่าเสี่ยวถางไม่มีพ่อแม่ ดังนั้นจึงช่วยเสี่ยวถางเติมเต็มในสิ่งที่ขาด ทุกครั้งที่พูดแบบนี้พี่สาวก็จะไม่โกรธ”
จู่ๆ เธอก็เงียบไปไม่พูดต่อ แต่พอเธอเงยหน้าขึ้นใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา “จากนี้ไปจะไม่มีใครมาเติมเต็มในส่วนนี้ให้ฉันอีกแล้ว……”
“เสี่ยวถาง ต่อไปนี้ผมจะให้ทุกอย่างที่คุณต้องการ” สือมูเฉินตบหลังเธอเบาๆ “ผมจะดูแลคุณเป็นอย่างดี”
“จริงเหรอ?” เธอถามทั้งน้ำตา
“เชื่อผมนะ” สือมูเฉินลูบผมของหลานเสี่ยวถาง
“อืม” หลานเสี่ยวถางตอบรับเขา ทันใดนั้นก็นึกถึงสิ่งที่สือมูเฉินพูดในตอนนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “มูเฉิน คุณไม่ได้บอกว่าควรพึ่งพาตนเองในทุกสิ่งหรอกเหรอ เมื่อแข็งแกร่งขึ้นจะได้ไม่กลัวอันตรายใดๆ?”
สือมูเฉินช่วยหลานเสี่ยวถางเช็ดน้ำตา “เราแต่งงานกันแล้ว คุณสามารถพึ่งพาผมได้ทุกอย่าง”
เมื่อเธอฟังที่เขาพูด เธอรู้สึกว่าส่วนที่นุ่มนวลที่สุดในหัวใจของเธอดูเหมือนจะถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้ามา ทำให้เธอรู้สึกแปลกแต่อบอุ่น
จากการที่สือมูเฉินได้ไปตรวจสอบ เขาได้พบว่าBlue Sky Groupได้เผชิญกับการขาดดุลอย่างร้ายแรง ของสะสมเก่าของตระกูลหลานก็ถูกนำไปขาย แต่สุดท้ายเงินที่ได้มาถูกหลานไห่ฮว๋าและภรรยานำไปละเลงในกาสิโน
ควบคู่ไปกับการหายตัวไปของประธานคนปัจจุบันหลานไห่ฮว๋าและภรรยาของเขา เรื่องที่ตามมาทั้งหมดจึงตกอยู่ที่หลานเสี่ยวถางสมาชิกเพียงคนเดียวของตระกูลหลานในตอนนี้
หลานเสี่ยวถางไม่เข้าใจการทำธุรกิจเลย สือมูเฉินเชิญทนายความและทีมธุรกิจมาประชุม หลังจากการประชุมกับผู้ถือหุ้นหลายคนของBlue Sky Groupได้ตกลงประกาศล้มละลาย
เจ้าหนี้ของหลานไห่ฮว๋ามาตามถึงหน้าประตู หลานเสี่ยวถางขายสินทรัพย์ที่มีอยู่ของบริษัทในตอนนี้ ก่อนที่จะชำระหนี้ไป ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปBlue Sky Groupได้เหลือไว้เป็นเรื่องในอดีต
วันพรุ่งนี้สือมูเฉินจะเดินทางไปภาคตะวันตก ในวันนี้เขาไปเก็บข้าวของของหลานอวี้เจินเป็นเพื่อนหลานเสี่ยวถาง ทั้งสองซื้อของที่สือมูเฉินจำเป็นต้องนำไปด้วยในวันรุ่งขึ้น
เมื่อเก็บรวบรวมสิ่งของของหลานอวี้เจินเสร็จแล้ว หลานเสี่ยวถางจึงนำมันไปไว้ในห้องเก็บของ
เมื่อกำลังจะล็อกตู้ หลานเสี่ยวถางจำได้ว่ามีรูปถ่ายบางอย่างอยู่ในโทรศัพท์ของหลานอวี้เจิน ดังนั้นเธอจึงเปิดโทรศัพท์ของหลานอวี้เจิน
ขั้นแรกรูปภาพทั้งหมดถูกอัปโหลดไปยังอัลบั้มออนไลน์ หลานเสี่ยวถางยังนึกขึ้นได้อีกว่าหลานอวี้เจินมีโฟลเดอร์สำรองเสียง
หลังจากมาถึงจุดนี้แล้วพบว่าหลานอวี้เจินมีนิสัยชอบบันทึกเสียงเวลาคุยโทรศัพท์!
ดังนั้นเนื้อหาของการคุยโทรศัพท์ในโรงพยาบาลวันนั้นน่าจะอยู่ในโทรศัพท์นี้!
หลานเสี่ยวถางออกมาจากห้องเก็บของและคลิกที่บันทึกการโทรทันที
“ฮัลโหล” หลานอวี้เจินพูด
“ใช่คุณหลานอวี้เจินไหมคะ?” นี่คือเสียงของเฉินจื่อโร่ว
“ใช่ คุณเป็นใคร”
“คุณอย่าสนใจว่าฉันเป็นใคร ฉันโทรมาเพื่อบอกคุณสองสิ่ง” เฉินจื่อโร่วพูดอย่างตรงไปตรงมา “สิ่งแรกหลานสาวสุดที่รักของคุณหลานเสี่ยวถางได้หย่าร้างแล้ว ถูกสือเพ่ยหลินไล่ออกจากบ้าน ตอนนี้เธอไม่มีที่อยู่ เลยไปขายตัว แต่อย่าห่วงเลยผู้ชายที่เลี้ยงดูเธอขี้เหร่นิดหน่อยแต่เขาก็มีเงิน บางทีคุณอาจจะมีเหลนนอกสมรสก็ได้!”