เมื่อเห็นว่าหลานเสี่ยวถางอยู่เหนือกว่า เฉินจื่อโร่วก็ตัวสั่นด้วยความโกรธและมีความเจ็บปวดในส่วนท้องน้อยของเธออีกด้วย
เธอตกใจและบังคับตัวเองอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมอารมณ์ หลังจากรอให้หายเจ็บปวด เธอก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
เดิมทีเธอรู้สึกเบื่อบ้านในวันนี้ และเห็นว่าบริเวณนี้มีแบรนด์ดังออกคอลเลคชั่นใหม่เธอจึงมาเดินเล่นแก้เบื่อ แต่ห้างก็ไม่ได้เดิน แถมยังโกรธจนเจ็บท้อง และสือเพ่ยหลินยังมาไล่เธอออกจากบ้านอีก!
เฉินจื่อโร่วไม่เชื่อว่าเขาจะเด็ดขาดจริงๆ แต่เมื่อเธอนั่งแท็กซี่กลับไปยังที่พักอาศัยของสือเพ่ยหลิน เธอเดินไปที่ประตูก็ได้พบว่าสิ่งของของเธอถูกเขาโยนออกมาหมดแล้ว เหมือนขยะกองอยู่หน้าประตู!
เธอเปิดประตูด้วยกุญแจแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาสือเพ่ยหลิน แต่เมื่อเห็นกุญแจในมือเธอ เขาก็หยิบมันไปแล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “กุญแจบ้านของผม คุณไม่เหมาะที่จะถือมัน”
หลังจากพูดจบสือเพ่ยหลินก็เอาเงินจำนวนมากออกจากกระเป๋าเงินของเขา “นี่สำหรับการผ่าตัดของคุณ และคุณไม่จำเป็นต้องไปที่บริษัท ผมได้แจ้งบุคลากรทำเรื่องลาออกให้คุณเรียบร้อยแล้ว”
ความหมายก็คือเขาไม่ต้องการเด็กในท้องของเธอ และเขาจะไม่เห็นเธออีกต่อไป
เฉินจื่อโร่วตกใจเหมือนตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง เธอไม่กล้าสู้กับเขาแล้ว หยิบเงินแล้วจากไป แต่ในใจเธอกำลังคิดว่าจะรอให้ความโกรธของเขาหายไปแล้วค่อยหาวิธีย้ายกลับเข้ามา
อย่างไรก็ตามในอีกสองวันต่อมาเฉินจื่อโร่วไม่พบโอกาสใดๆ แต่เธอยังใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ของทางหย่าหยุนกับสือเพ่ยหลินเพื่อถือโอกาสนัดสือเพ่ยหลินออกมา และเมื่อเขาเห็นเธอเขาก็หันหลังกลับและจากไปโดยไม่ลังเล
เมื่อเห็นว่าความฝันของการมีครอบครัวที่ร่ำรวยดูเหมือนจะพังทลาย เฉินจื่อโร่วเดินออกมาจากร้านอาหารทันใดนั้นเธอก็เห็นคนสองคน
เป็นพ่อแม่บุญธรรมของหลานเสี่ยวถาง เฉินจื่อโร่วเคยเห็นในงานเลี้ยงการหย่าร้างครั้งก่อน ตอนนั้นเธอตั้งใจสังเกตจึงได้พบว่าทั้งสองคนนั้นค่อนข้างโลภเงิน
ในเวลานี้ทั้งสองลงจากรถแล้วไปที่ด้านหลัง และช่วยพยุงคนแก่คนหนึ่งเข้าไปในโรงพยาบาลฝั่งตรงข้าม
เธอจำได้ว่าสือเพ่ยหลินเคยพูดกับเธอว่าคุณหญิงหลานปฏิบัติต่อหลานเสี่ยวถางเป็นอย่างดี และความสัมพันธ์ระหว่างหลานเสี่ยวถางกับคุณหญิงหลานนั้นมีความใกล้ชิดยิ่งกว่าพ่อแม่บุญธรรมของเธอซะอีก
ระหว่างที่ข้ามถนนเฉินจื่อโร่วได้ตามทั้งสามคนไป เธอยิ้มมุมปากและความแค้นใจก็ไหลผ่านดวงตาของเธอออกมา เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วโทรหาชุยซื่อฮว๋า“ช่วยฉันตรวจสอบใครคนหนึ่ง……”
เมื่อหลานเสี่ยวถางได้รับโทรศัพท์จากหลานไห่ฮว๋า เธอเพิ่งเขียนส่วนหนึ่งของโปรแกรมเสร็จแล้วส่ง
เมื่อเธอได้ยินว่าหลานอวี้เจินป่วยเธอรู้สึกกังวลจนหายใจไม่ออก เธอขับรถที่เพิ่งซื้อมาใหม่ไปที่โรงพยาบาล นำรถไปจอดในลานจอดรถแล้วรีบวิ่งไปที่แผนกผู้ป่วยในโดยเร็ว
ไม่นานหลังจากนั้นก็มาถึงห้องผู้ป่วยที่หลานอวี้เจินนอนพักอยู่ หลานเสี่ยวถางเห็นหลานไห่ฮว๋าและหูซิ่วจูเดินไปมาที่หน้าประตูผู้ป่วยด้วยสีหน้าวิตกกังวล
หลานเสี่ยวถางรู้สึกตึงเครียด เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “พ่อแม่คะ คุณยายเป็นอย่างไรบ้างคะ”
หลานไห่ฮว๋าพูดไปด้วยพร้อมกับดูเวลาไปด้วย “เข้าไปข้างในดูสิ คุณยายต้องการเจอหน้าเธอมาก”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกสับสนมากขึ้นและเกือบจะล้มลงกับพื้นเมื่อเธอเข้าไปในห้อง
เธอรีบไปที่เตียงของหลานอวี้เจิน หญิงชราดูความเหี่ยวเฉาลงไปมาก เธออดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “เมื่อสองสามวันก่อนคุณยายยังดีๆ อยู่เลย ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้คะ?!
หลานไห่ฮว๋ามองหน้าหูซิ่วจู สีหน้าของพวกเขาดูไม่สบายใจเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งพวกเขาทั้งสองพูดพร้อมกัน “ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วได้รับสายโทรศัพท์ หลังจากนั้น……”
“รับสายโทรศัพท์?” หลานเสี่ยวถางถามด้วยความสงสัย “รับสายใครคะ?”
“ผีรู้ว่าใครโทรมา ตอนนั้นพวกเราอยู่ที่ประตูแล้ว คุณยายรับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง แล้วเธอก็เป็นลมเมื่อเรากลับมา……” หลานไห่ฮว๋าพูดด้วยสีหน้ากังวล
“วันนี้คุณยายมาตรวจร่างกายตามปกติใช่ไหมคะ” หลานเสี่ยวถางพูดพร้อมกับหันไปถามพยาบาลที่อยู่ข้างๆ เธอว่า “คุณพยาบาลคะ ตอนแรกที่คุณยายของฉันมาถึงโรงพยาบาลเธอมีอาการอย่างไรบ้างคะ?”
“ตอนที่คุณหญิงหลานมาถึงเธอดูสบายดีค่ะ”นางพยาบาลกล่าว “แต่เมื่อตอนที่เรากำลังจะตรวจร่างกายของเธอ มีคนข้างนอกมาหาเธอ……”
ก่อนที่เธอจะพูดจบหลานไห่ฮว๋าก็ขัดจังหวะเธอ เขาขมวดคิ้ว “คุณจะพูดไร้สาระกับเธอไปทำไม? บอกสถานการณ์ของแม่ผมให้เธอรู้เลยสิ!”
หลานเสี่ยวถางคิดว่าทัศนคติของทั้งสองคนดูแปลกๆ ไปเล็กน้อย เธอก็ไม่ได้ถามเจาะลึกลงไป แต่รีบถามพยาบาลว่า “ตอนนี้คุณยายเป็นอย่างไรบ้างคะ? ทำไมเธอถึงอยู่ในอาการโคม่า?”
นางพยาบาลกล่าวว่า “คุณหญิงหลานเครียดจนเธอเกือบจะช็อกเลยค่ะ และตอนนี้ทางเราไม่แน่ใจว่าเธอจะตื่นขึ้นมาได้อีกหรือไม่ สรุปสั้นๆ คือความฟื้นตัวของเธอนั้นต่ำมากค่ะ!”
เมื่อเธอได้ยินแบบนี้ก็แทบจะล้มลงไปกองกับพื้น เธอจับมือของหลานอวี้เจินที่เหมือนต้นไม้เหี่ยวเฉา “ทำไมคุณยายถึงต้องยอมแพ้?”
แน่นอนว่าจะไม่มีใครตอบคำถามของเธอ
หลานไห่ฮว๋ามองดูนาฬิกาของเขาอีกครั้ง จากนั้นก็มองหูซิ่วจูและทั้งสองก็ยืนขึ้นพร้อมกันแล้วพูดว่า “เสี่ยวถาง พ่อกับแม่จะออกไปซื้อของมาไว้ให้คุณยาย เธออาจจะต้องกินมันเมื่อตื่นขึ้นมา……”
หลังจากพูดจบทั้งสองก็รีบออกไปโดยไม่รอให้หลานเสี่ยวถางได้พูดอะไร
เมื่อเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว หลานเสี่ยวถางเฝ้าอยู่ข้างเตียงของหลานอวี้เจินตลอดเวลา จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น
เมื่อเธอเห็นหมายเลขผู้โทร เธอตระหนักได้ว่าเธอลืมบอกสือมูเฉิน
“มูเฉิน” น้ำเสียงของเธอเคร่งเครียด
“เสี่ยวถาง คุณอยู่ที่ไหน มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” สือมูเฉินไม่เห็นหลานเสี่ยวถางเมื่อเขากลับมาถึงบ้าน แต่เขาเห็นผักที่ล้างไว้ในครัวแทน
“ฉัน” ไม่รู้ว่าทำไมจิตใจที่ตึงเครียดในตอนนี้กลับกลายเป็นความเปราะบางและไม่สบายใจ เธออยากจะร้องไห้ “ฉันอยู่ในโรงพยาบาล คุณยายไม่สบาย”
สือมูเฉินเกิดความสงสัย “คุณยายป่วยเหรอ? ร้ายแรงไหม?”
“หมอบอกว่าเธอมีอาการฟื้นฟูตัวเองน้อยมาก ไม่รู้ว่าเธอจะผ่านมันไปได้หรือไม่……” หลานเสี่ยวถางพูดพร้อมทำเหมือนว่าพยายามจะคว้าฟางเส้นสุดท้ายผ่านทางโทรศัพท์ “มูเฉิน ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันควรจะช่วยคุณยายยังไง?”
“อาการฟื้นฟูตัวเองค่อนข้างต่ำ?” สือมูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เสี่ยวถาง ไม่ต้องกังวล จัดยาให้ถูกต้อง หาเหตุผลว่าทำไมคุณหญิงหลานถึงยอมแพ้ที่จะอยู่ต่อไป”
หลานเสี่ยวถางดูเหมือนจะมีสติมากขึ้น “พยาบาลบอกว่าคุณยายมีอาการแบบนี้หลังจากรับสายโทรศัพท์” จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นและไปตรงโทรศัพท์บ้านอย่างรวดเร็ว “มูเฉิน ฉันจะให้หมายเลขโทรศัพท์มือถือของคุณยาย คุณลองเช็กว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา”
“ตกลง” สือมูเฉินตอบอย่างง่ายดาย
สิบนาทีต่อมาสือมูเฉินก็ตอบกลับหลานเสี่ยวถาง “เสี่ยวถาง นี่เป็นอีกหมายเลขหนึ่งที่เฉินจื่อโร่วไม่ได้ใช้บ่อยๆ”
“เป็นเธอจริงๆ เหรอ?!” หลานเสี่ยวถางทั้งตกตะลึงใจทั้งโกรธโมโห“ถ้าคุณยายมีอะไรจริงๆ ฉัน……”
สือมูเฉินกล่าวว่า “เสี่ยวถาง อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป คุณอยู่ในโรงพยาบาลหรือหอผู้ป่วยไหน ผมจะไปหาคุณทันที”
ครึ่งชั่วโมงต่อมาสือมูเฉินได้มาถึงห้องผู้ป่วย หลานอวี้เจินก็ยังไม่ตื่น หลานเสี่ยวถางยังนั่งเฝ้าคุณยายอยู่ท่าเดิม
“เสี่ยวถาง คุณไม่ได้ทานอาหารเย็นใช่ไหม?” สือมูเฉินพูดพร้อมกับยื่นข้าวกล่องที่ซื้อมาให้เธอ “กินอะไรสักหน่อยนะ”
“มูเฉิน ฉันไม่หิว” หลานเสี่ยวถางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพ่อแม่บุญธรรมของเธอบอกว่าพวกเขาไปซื้ออาหาร แต่ตอนนี้พวกเขายังไม่กลับมาเลย
“ไม่อยากกินก็ต้องกิน” สือมูเฉินยัดกล่องข้าวลงในมือของหลานเสี่ยวถาง “คุณต้องการให้คุณยายตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าคุณเป็นลมเพราะอยู่ดูแลเธองั้นหรือ?”
หลานเสี่ยวถางเชื่อฟังคำพูดของเขา เปิดกล่องอาหารอย่างเชื่อฟังและเริ่มตักกิน
แม้ว่ารสชาติจะเหมือนกับการเคี้ยวขี้ผึ้ง แต่สุดท้ายก็กินไปครึ่งหนึ่ง
ค่ำคืนนั้นเงียบสงัดจนกระทั่งไฟด้านนอกหน้าต่างเปิดลง จู่ๆ หลานเสี่ยวถางก็นึกขึ้นได้เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือโทรไปหาพ่อแม่บุญธรรมของเธอ แต่พวกเขาทั้งคู่ปิดเครื่องไว้!
เมื่อตระหนักว่าต้องมีปัญหาแน่นอน หลานเสี่ยวถางจึงอดไม่ได้ที่จะกระตุกแขนเสื้อของสือมูเฉิน “มูเฉิน พ่อแม่บุญธรรมของฉันบอกว่าจะไปซื้ออาหารในตอนบ่าย แต่พวกเขายังไม่กลับมาเลย คุณคิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาไหม?”
“เดียวผมจะตรวจสอบให้” พอพูดจบสือมูเฉินก็เดินไปคุยโทรศัพท์ห้องน้ำ
ในขณะนี้หลานอวี้เจินได้ไอสองสามครั้งบนเตียงแล้วก็ลืมตาขึ้นมา
หลานเสี่ยวถางสั่นไปทั้งตัวแล้วจับมือหลานอวี้เจินอย่างรวดเร็ว “คุณยาย! คุณยาย!”
ดวงตาที่ขุ่นมัวของหลานอวี้เจินค่อยๆ ปรับชัดเจนมากยิ่งขึ้น และในที่สุดก็มองมาที่หลานเสี่ยวถาง
ดวงตาของเธอเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็มืดมนลงอีกครั้ง
“คุณยาย เกิดอะไรขึ้นคะ คุณยายบอกหนูได้ไหมคะ?” หลานเสี่ยวถางได้พูดขึ้นอีกครั้ง “เฉินจื่อโร่วโทรมาหาคุณยายใช่ไหมคะ? อย่าเชื่อในสิ่งที่เธอพูด……”
“เสี่ยวถาง” หลานอวี้เจินพูดด้วยความยากลำบาก “หย่ากับสือเพ่ยหลินแล้วใช่ไหม?”
หัวใจของหลานเสี่ยวถางจมดิ่ง ในขณะนี้เธอรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ฆ่าเฉินจื่อโร่วเมื่อสองสามวันก่อน ไม่สนใจว่าเธอจะมีลูกที่ไร้เดียงสาอยู่ในท้องของเธอหรือไม่!
เธอส่ายหัว “คุณยาย อย่าไปฟังเธอ เธออิจฉาหนู เธอโกหกคุณยาย!”
“เสี่ยวถาง อันที่จริงฉันรู้ว่าสือเพ่ยหลินทำไม่ดีกับหนูมานานแล้ว…… ” หลานอวี้เจินจับมือของหลานเสี่ยวถางพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา “เมื่อเขาฟื้นตัวแล้ว แต่เขาไม่เคยกลับมาที่บ้านตระกูลหลานกับหนู ยายก็พอจะเดาออก เสี่ยวถาง ยายเสียใจที่ยอมให้หนูแต่งงานกับคนแบบนี้ เหมือนทำลายชีวิตของหนู…..”
“ไม่เลยค่ะคุณยาย หนูไม่ได้เสียหายอะไร หนูเจอคนที่ดีแล้วในตอนนี้ หนูแต่งงานใหม่แล้วค่ะ! วันนี้เขาก็มาเยี่ยมคุณยายด้วยกัน เขาคุยโทรศัพท์อยู่ตรงนั้น เดียวรอสักพักค่อยเรียกเขาโอเคไหมคะ? “หลานเสี่ยวถางพูดอย่างกระตือรือร้น
“เสี่ยวถาง ฉันไม่เพียงแต่โกรธสือเพ่ยหลิน แต่ยังโกรธลูกชายและลูกสะใภ้ของฉันอีกด้วย” หลานอวี้เจินพูดด้วยแววตาเศร้าสร้อย “พวกเขาทำผิดมาก ฉันเสียใจมาก…… ”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ เธอก็เริ่มมีอาการไออย่างรุนแรงอีกครั้ง
หลานเสี่ยวถางตกใจและรีบกดกระดิ่งเรียกหมอ
หมอมาแล้ว แต่หลานอวี้เจินยังคงจับมือหลานเสี่ยวถางอย่างใจจดใจจ่อ ในขณะนี้ความแข็งแกร่งของเธอยอดเยี่ยมมากจนน่าประหลาดใจ“แม้ว่าพวกเขาจะทำผิด แต่ไห่ฮว๋ายังเป็นลูกชายของฉันเหมือนเดิม ในอนาคตเพื่อเห็นแก่ฉัน อย่าเกลียดเขาเลยนะ ถ้าพวกเขาผ่านมันไปไม่ได้จริงๆ ก็ช่วยพวกเขานะ……”
น้ำตาของหลานเสี่ยวถางเอ่อล้น“คุณยายอย่าเพิ่งพูดอะไรเลยค่ะ ให้หมอตรวจก่อนนะคะ”
“เสี่ยวถาง สัญญากับฉัน…… ” หลานอวี้เจินเริ่มอ้อนวอนภายใต้ดวงตาของเธอ “ฉันรู้ว่าพวกเขาเห็นแก่ตัวเกินไปและพวกเขาทำไม่ดีต่อหนู แต่ถือว่ายายขอร้องหนูนะตกลงไหม?”
“คุณยายรู้ใช่ไหมว่าพวกเขาไปไหน?” หลานเสี่ยวถางไม่สามารถพูดได้ว่าเธอเจ็บปวดใจแค่ไหน “คุณยายป่วย แต่พวกเขากลับทิ้งคุณยายไป ลูกแบบนี้……”
“เสี่ยวถาง” หลานอวี้เจินไอหนักอีกครั้ง ริมฝีปากของเธอก็เต็มไปด้วยสีแดงสด และเสียงของเธอก็อ่อนลงและอ่อนลง “ถือว่ายายขอร้องหนูล่ะนะ…… ”