บทที่ 166 สงครามได้เคลื่อนตัวเข้ามา
*ก๊อก ก๊อก ก๊อก*
เช้าวันรุ่งขึ้น อยู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
“เมอร์ลิน รีบลุกขึ้นเร็ว! มีบางอย่างผิดปกติ!” เสียงทุ้มลึกของเลห์แมนดังมาจากด้านหลังประตู เสียงของเขาเต็มไปด้วยความเร่งรีบ
“ฮะ?”
เมอร์ลินลืมตาขึ้น เขาหันไปด้านข้างและเห็นแอวริลและเชอรีสกําลังนอนหลับใหลอยู่โดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่นในตอนนี้
เมอร์ลินตัดสินใจไม่ปลุกพวกเธอและลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อไปเปิดประตู
เขาพบกับเลห์แมนยืนอยู่ข้างนอกด้วยท่าทางกังวล เขาพูดด้วยน้ําเสียงที่หนักแน่นว่า
“เมอร์ลิน ไม่มีเวลาแล้ว ลองการ์ดีได้ส่งทหารมาแล้วและพวกเขาตอนนี้อยู่นอกเมืองแล้ว เคานต์เซลินได้ส่งอัศวินมาที่ปราสาทเพื่อมารับลูกไปหารือในเรื่องนี้”
“ทําไมลองการ์ดีถึงได้ตัดสินใจลงมือเร็วขนาดนี้”
เมอร์ลินรู้สึกกังวลขึ้นมา เขารู้ว่าลองการ์ดีมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะยึดเมืองปรากาซแต่การจะทําเช่นนั้นต้องในเวลาพอสมควรซึ่งเขาไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วแบบนี้
“ท่านพ่อ เดี๋ยวผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวแหละ!” เมอร์ลินแต่งตัวและรีบวิ่งไปที่ห้องโถงซึ่งมีอัศวินสองคนรอเขาอยู่
อัศวินทั้งสองนั้นสุภาพมากและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ท่านบารอน ท่านเคานต์เซลินเรียนเชิญท่านไปที่ปราสาท!”
“นําทางไปเลย!”
เมอร์ลินตามอัศวินทั้งสองไป ขึ้นรถม้าและรีบไปที่ปราสาทของเคาท์เซลิน
ไม่นานนัก รถม้าก็ชะลอความเร็วและหยุดลง เมอร์ลินกระโดดลงจากรถม้าและเห็นรถม้าอีกหลายคันจอดอยู่นอกปราสาท เขารู้แล้วว่าเคานต์เซลินได้เชิญขุนนางคนอื่น ๆ มาหารือด้วยเช่นกัน
เมอร์ลินเดินตรงเข้าไปในปราสาท เหล่าขุนนางจํานวนมากรวมตัวกันที่นั่น ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวล เคานต์เซลินเองก็มีท่าที่หม่นหมอง เขาพยายามอย่างหนักที่จะสงบสติอารมณ์
“บารอนเมอร์ลิน! เยี่ยมมากที่ท่านมา ตอนนี้มีกองกําลังกําลังเมืองเลบิสอยู่นอกเมืองของเรา เมืองปรากาชกําลังตกอยู่ในอันตราย!”
ใบหน้าของเคานต์เซลินได้พลันสว่างขึ้นเล็กน้อยทันทีที่เขาเห็นเมอร์ลิน เขาดูตื่นตระหนกขณะที่เขาพูดอย่างเร่งรีบ เคานต์เซลินไม่เคยตื่นตระหนกเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเมอแรงค์ก็ตาม เขาก็คงยังความเยือกเย็นเอาไว้ได้
“ตอนนี้กองทัพจากเมืองเลบสมาถึงเขตเมืองของเราแล้ว ใครมีวิธีแก้บ้างมั้ย?”
เมอร์ลินมองไปรอบ ๆ ห้องและเห็นว่าขุนนางทุกคนดูขมขึ้นแต่ก็ไม่มีใครสามารถเสนอวิธีแก้ปัญหาได้
“ทางออกเดียวในตอนนี้คือต้องสู้!”
ในที่สุด ร่างหนึ่งก็ยืนขึ้นและประกาศเสียงดัง เมอร์ลินหรี่ตาเพื่อดูว่าใครเป็นใคร เพียงรู้ว่าเป็นลูกชายของเคานต์เซลิน ผู้บัญชาการคุก!
“ฮ่าฮ่า คุณพูดถูก ตอนี้ไม่มีอะไรที่เราสามารถทําได้นอกจากการต่อสู้”
ทันใดนั้น ก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ประตู คนที่เดินเข้ามาเป็นชายชราสวมชุดคลุมสีดําตั้งแต่หัวจรดเท้า นั่นคือ พ่อมดฮิลล์
เคานต์เซลิน ดูประหลาดใจปบยินดีแต่ในไม่ช้เขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวล เขาได้พูดออกมาเบา ๆ ว่า “พ่อมดฮิลล์อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เคานต์เซลินรู้เพียงว่าชายชราได้รับบาดเจ็บแต่เขาไม่เข้าใจว่าโครงสร้างเวทมนต์ไม่เสถียรคืออะไร เขาเพียงแค่ว่าชายชราไม่อยู่ในสภาพที่ดีและไม่สามารถต่อสู้ได้ตามต้องการ
ขณะที่ชายชราชุดดํามองไปรอบๆ ห้อง สายตาของเขาก็พบกับเมอร์ลิน เขาพยักหน้าเล็กน้อยและพูดเสียงดังว่า “อาการบาดเจ็บของข้าดีขึ้นมา หลังจากที่ได้รับน้ํายาที่บารอนเมอร์ลินนํามาจากดินแดนมนต์ดํา แม้ว่าข้าจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่แต่ขาก็ยังสามารถใช้พลังได้
ตอนนี้เมืองปรากาชกําลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ข้าจะไม่มาได้อย่างไร
เคานต์เซลินพยักหน้า หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสุข ท้ายที่สุด ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เพิ่มขึ้น เมื่อรวมชายชราเข้าไปด้วย
“ดี พ่อมดฮิลล์ก็เห็นด้วยว่าเราควรจะสู้ แล้วท่านคิดว่าอย่างไร บารอนเมอร์ลิน?” เคานต์เซลินจ้องมองเมอร์ลินขณะที่เขาถาม
เมอร์ลินหรี่ตาขณะที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันก็เห็นด้วยกับคําแนะนําของผู้บัญชาการคูกและพ่อมดฮิลล์ เราเหลือทางเลือกเดียวเท่านั้น นั่นคือการต่อสู้!”
ในห้องโถงเงียบลงทันทีที่เมอร์ลินพูดจบ หลังจกานั้น ทุกสายตาจับจ้องไปที่เคานต์เซลิน ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับเขาแล้วที่จะตัดสินใจขั้นตอนสุดท้าย
“เราต้องสู้ด้วยทุกวิถีทาง! ถ้าลองการที่ต้องการเมืองปรากาซของฉัน เขาจะต้องชดใช้ด้วยราคาที่มหาศาล!”
เคานต์เซลินยืนขึ้นอย่างดุเดือดขณะที่เขาพูดเสียงดังด้วยความมุ่งมั่น
“เราต้องสู้จนสุดกําลัง!” เหล่าขุนนางพร้อมใจกันส่งเสียงขึ้นมา พวกเขาจะรวมตัวกันและร่วมมือกันปกป้องเมืองปรากาชในทุกกรณี
ทันทีที่เคานต์เซลินเริ่มวางแผนกลยุทธ์และแผนส่งกําลังทหารในเมืองปรากาช เมอร์ลินเดินไปที่ชายชราชุดดําและกระซิบว่า
“พ่อมดฮิลล์ ท่านแน่ใจนะว่าไม่เป็นไร”
ชายชราชุดดํายิ้มและพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร น้ํายาผงหินม่วงของเจ้ามีประสิทธิภาพสูงมาก แม้ว่าโครงสร้างเวทมนต์ของข้าจะยังไม่เสถียรแต่ข้าสามารถร่ายเวทมนต์ออกมาโดยไม่ส่งผลต่อโครงสร้างเวทมนต์”
ถ้าเขาสามารถร่ายคาถาได้ ก็หมายความว่าชายชราสามารถสู้ได้ เขาจะไม่ตกอยู่ในอันตรายหรือกลัวว่าโครงสร้างเวทมนต์จะพังทลายอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน เคานต์เซลินได้วางกลยุทธ์เสร็จและพวกเขาทั้งหมดเดินทางไปที่ประตูเมือง
ที่ด้านบนของประตูเมือง เมอร์ลินสามารถมองเห็นทหารที่อัดแน่นอยู่นอกเมืองได้อย่างชัดเจน บางคนเป็นอัศวินที่ถือหอกยาว บางคนเป็นทหารราบที่ถือโล่และบางคนเป็นอัศวินที่ซ่อนตัวอยู่ไกลออกไป เมอร์ลินยังเห็นสิ่งอื่นท่ามกลางกองทหาร นั่นก็คือเครื่องจักรที่ดูน่ากลัว
แม้จะยากต่อการสร้างแต่เครื่องจักรเหล่านี้มีพลังที่น่าเกรงขาม มันสามารถยิงธนูได้สิบนัดแต่ละลูกหนาเท่าแขนเด็ก
เคานต์เซลินหน้าซีดเมื่อเห็นจํานวนทหารของเมืองลาบิส
“การป้องกันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะบุกเข้าเมือง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่างน้อยเราก็ต้องพยายามโต้กลับ!”
เคานต์เซลินสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วและแม้ว่าเขาจะได้เห็นทหารของเมืองลาบิสมากมายด้านล่าง แต่เขารู้ว่าตอนนี้ไม่มีการถอย การป้องกันไม่เคยเป็นคําตอบ มีเพียงการต่อสู้เท่านั้นที่จะทําให้มีโอกาสรอด
“เปิดประตูเมือง ส่งอัศวินสองหมื่นคนและโจมตีกองกําลังศัตรู!” เคานต์เซลินสั่งอย่างใจเย็น
หลายคนคงตายในการต่อสู้ขนาดใหญ่นี้ เคานต์เซลินจําเป็นต้องมีความสามารถในการบังคับบัญชาที่แข็งแกร่ง เรื่องนี้แม้แต่เมอร์ลินหรือพ่อมดฮิลล์ก็ไม่สามารถช่วยเขาได้
แผนการของก็คือการป้องกันไม่ให้นักเวทย์ทําลายประตูเมือง เมืองปรากาซจะยังปลอดภัยตราบใดที่ประตูเมืองยังไม่ถูกทําลาย
จากนั้นไม่นาน ประตูเมืองปรากาชก็เปิดออก อัศวินหลายหมื่นรีบออกจากเมืองและในหมู่พวกเขามีอัศวินเกราะสีดําที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย
“ท่านพ่อ!” เมอร์ลินหรี่ตาลง เขาไม่รู้ว่าเลห์แมนจะสั่งการอัศวินของเขาและตัวเองให้รีบวิ่งออกไปที่ประตูเมือง
เคานต์เซลินดูกังวลขณะที่เขาหันไปหาเมอร์ลิน “บารอนเมอร์ลิน ท่านอยากให้ข้าสั่งให้ผู้บัญชาการวิลสันกลับมาไหม”
เมอร์ลินส่ายหัว เขาจ้องมองเลห์แมน ขณะที่เขาพูดอย่างใจเย็นว่า “ไม่จําเป็น บางทีนี่อาจเป็นชีวิตที่ท่านพ่อต้องการ เขาไม่เคยหยุดฝึกฝนในฐานะอัศวิน แน่นอนว่าเขาหวังที่จะกลับไปในสนามรบสักวันหนึ่ง”
เมอร์ลินรู้ดีว่าการอยู่ในกองทัพมาหลายสิบปีส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของเลห์แมน บางทีการต่อสู้ในสนามรบจนตัวตายอาจเป็นชีวิตที่เลห์แมนต้องการ
“โจมตี!”
ตามคําสั่งของเซลิน อัศวินสองหมื่นคนเริ่มรุกเข้าหากองกําลังของเมืองเลบส
ทางด้านเมืองเลส อัศวินราวหมื่นคนก็วิ่งออกมาจากกองทหารของ เมี่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้น
ผู้คนนับหมื่นถูกฆ่าตายในการต่อสู้ หนึ่งหรือสิบคนก็ไม่ต่างกันแต่ละชีวิตดูไม่มีนัยสําคัญนัก
นี่เป็นครั้งแรกที่เมอร์ลินได้เห็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เขาตั้งข้อสังเกตว่าเมื่ออัศวินฝ่ายตรงข้ามสองคนพบกัน มันเป็นการฆ่าที่โหดร้าย ไม่ว่าคุณจะฆ่าหรือถูกฆ่าก็ตาม
ในบรรดาคู่ต่อสู้ทั้งหมด มีกลุ่มกองอัศวินที่สวมใส่ชุดเกระสีดํา พวกเขาเป็นกองอัศวินในสังกัดเลห์แมนซึ่ง พวกเขารับใช้เลห์แมนมานานกว่าสิบปี พวกเขาติดตามมาจากเมืองแบล็กวอเตอร์มายังเมืองปรากาซและตอนนี้ พวกเขาสามารถพิสูจน์คุณค่าของพวกเขาในสนามรบ พวกเขาทํางานร่วมกันราวกับกริชที่แหลมคมแทงทะลุหัวใจของศัตรู
ไม่ว่าอัศวินเกราะเหล็ก เหล่านี้จะไปที่ไหนก็ไม่มีใครหยุดพวกเขาได้
แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขามีจํานวนที่น้อยเกินไป อัศวินเมืองปรากาชเริ่มแสดงสัญญาณที่บ่งบอกว่าต้านทานไม่ไหวแล้ว
ด้านบนของกําแพงเมือง
เคานต์เซลินแสดงสีหน้าผิดหวัง “เราแพ้แล้ว…ออกคําสั่งให้ล่าถอย เมื่อกองทหารของเราเข้าไปในเมืองแล้ว ปิดประตู!”
เคานต์เซลินตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าสงครามครั้งนี้ไม่เอื้ออํานวยต่อพวกเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาไม่ควรทําให้เสียกองกําลังโดยใช่เหตุเพราะสิ่งที่สัญที่สุดนั่นก็คือการปกป้องเมืองปรกาซ
เหล่าอัศวินแห่งเมืองปรากาซได้ล่าถอยออกไปและกลับเข้ามาในเมือง
เมอร์ลินให้ความสนใจเลห์แมนอย่างใกล้ชิด แม้ว่าอัศวินเกราะเหล็กจะโจมตีและสั่งการศัตรูจํานวนมาก แต่เลห์แมนก็สามารถถอยกลับเข้าไปในเมืองได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเขาตระหนักว่าเลห์แมนกลับมาโดยไม่ได้รับอันตราย
เมอร์ลินหันกลับไปมองกองทหารที่แน่นขนัดและขมวดคิ้ว การโจมตีระยะไกลที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาคือ ข่ายสายฟ้า มันไม่เพียงพอที่ครอบคลุมพื้นที่สนามรบหลายร้อยเมตรได้ ไม่มีทางที่เขาจะโจมตีพวกเขาทั้งหมดได้ในคราวเดียว
นอกจากนี้ ความสามารถในการโจมตีทหารหลายแสนนาย มันจะต้องใช้คาถาระดับสี่ขึ้นไปถึงจะสามารถจัดการทั้งหมดให้อยู่หมัดได้
“พ่อมดฮิลล์ ตอนที่ท่านต่อสู้ใน โรงเชือด” ในตอนนั้นไม่ใช่นักวเทย์ทุกคนที่อยู่ในระดับสี่ ดังนั้นพวกนักเวทย์ระดับล่างเหล่านั้นจะมีประโยชน์อะไรในสนามรบ”
เมอร์ลินถามอย่างแผ่วเบาขณะที่เขาหันไปหาชายชรา