ตอนที่ 77 ขบวนรับตัวเจ้าสาว

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 77 ขบวนรับตัวเจ้าสาว

เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อผิดแปลกไป เจียงเชี่ยวจึงเอ่ยถาม “เป็นอะไรหรือ”

เจียงซื่อพยายามสงบสติ “ไม่มีอะไรหรอก”

เอ้อร์หนิวไหวพริบดีปานนั้น ถึงขนาดที่แอบเข้าไปในจวนฉังซิงโหวได้ ครั้นจะหนีออกมาก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร

“พี่สาม ผื่นแดงบนแขนของพี่มันยังไงกัน”

นางไม่เชื่อว่าจะเกิดบังเอิญได้ถึงขั้นนั้น

เจียงเชี่ยวยกแขนขึ้น ปล่อยให้แขนเสื้อตกลงไปที่ข้อศอก และหัวเราะคิกคักพลางเอ่ย “เจ้าหมายถึงนี่น่ะเหรอ ก็เมื่อเช้ามีข้าวต้มกุ้ง ข้าก็แค่ตักกินเยอะๆ หน่อย แขนข้าก็เลยกลายเป็นเช่นนี้ยังไงล่ะ”

สักพักเจียงซื่อก็เริ่มนึกออกว่า ข้าวต้มกุ้งที่วางอยู่ตรงหน้าเจียงเชี่ยวถูกกินจนเกลี้ยง หนำซ้ำนางยังกินต่อชามที่สองอีก

เจียงซื่อรีบดึงมือของเจียงเชี่ยวมาจับฉับพลัน “พี่สาม ขอบใจพี่มากจริงๆ”

นางเคยได้ยินมาว่า บางคนจะมีผดผื่นขึ้นตามตัวหลังจากกินอาหารบ้างชนิดเข้าไป แต่บางคนจะรู้สึกคันยิบๆ แต่หากอาการรุนแรงก็อาจถึงขั้นเป็นลมหมดสติไปได้

การที่นางตัดสินใจว่าจะออกมาจากจวนโหว แม้จะรู้ว่านางคงดื้อดึงหัวชนฝา แต่นึกไม่ถึงว่านางจะกล้าทำถึงขนาดนี้

“ขอบใจอะไรกัน” เจียงเชี่ยวดึงแขนเสื้อขึ้นมาไว้ตามเดิม “ไม่ได้รุนแรงเสียหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หายแล้วล่ะ เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนและต้องทนอยู่ที่นั่นต่ออีกหน่อย ข้าก็เป็นทุกข์ขึ้นมาทันที รีบๆ ออกห่างจากนั่นน่ะดีที่สุดแล้ว”

เมื่อนางพูดจบก็ยกกล่องของขวัญที่ฉังซิงโหวฮูหยินมอบให้มาเปิดดู พบว่าด้านในมีของที่สตรีชื่นชอบอย่างพวกปิ่นมุกประดับผมจึงถอนหายใจออกมาอย่างอดมิได้พลางเอ่ย “ฉังซิงโหวฮูหยินเป็นคนดีปานนี้ แต่น่าเสียดาย…”

เจียงซื่อฟังแล้วยิ้มเยาะอยู่ในใจ

ฉังซิงโหวฮูหยินเป็นคนดี?

ในช่วงชีวิตก่อนที่นางหนีจากจวนฉังซิงโหวเร่ร่อนไปยังหนานเจียง กระทั่งกลายเป็นพระชายาขององค์ชายเจ็ดและได้กลับมายังเมืองหลวง นางไหว้วานให้อวี้ชีไปสืบจึงได้รู้ว่าฉังซิงโหวซื่อจื่อตายไปเสียตั้งนานแล้ว

ซ้ำยังตายอย่างอนาถเสียด้วย ท่อนล่างที่ถูกสับเปลือยเปล่าล่อนจ้อนถูกนำไปทิ้งที่กลางตลาด

คดีการเสียชีวิตของทั้งฉังซิงโหวซื่อจื่อและหลิวเซียนกูกลายเป็นคดีโด่งดังที่ยังไม่มีใครไขคำตอบได้ เมื่อฆาตกรยังไม่ถูกจับ การหาเหตุจูงใจในการลงมือฆ่าจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

เดิมทีเจียงซื่อตั้งใจว่าจะรอถึงสองปี เพราะคิดว่าหากถึงเวลาก็คงจะมีจอมยุทธ์มาจัดการกับเดรัจฉานอย่างฉังซิงโหวซื่อจื่อเอง

แต่นางไม่ยอม อีกทั้งไม่อาจทนดูเฉยๆ ได้

นางไม่ยอมให้เรื่องต่ำทรามที่เฉาซิงอวี้ทำถูกฝังกลบไปพร้อมกับการตายของเขา นางต้องการให้ผู้คนรู้สึกสมเพชยามเอ่ยถึงเรื่องนี้ อีกทั้งนางไม่อาจทนดูสตรีที่ไร้ความผิดจำนวนมากที่จะถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในช่วงเวลาสองปีนั้นได้

ส่วนฉังซิงโหวฮูหยินนั้น…

ครั้นนึกถึงนาง เจียงซื่อไม่สามารถบอกได้ว่าตนเองรู้สึกโกรธแค้นหรือขยะแขยงกันแน่ หรือจะให้บอกอีกอย่างก็คือ ถ้าไม่ใช่คนบ้านเดียวกันก็มิอาจเข้าประตูบ้านหลังเดียวกันได้

เจียงเชี่ยนตบแต่งเข้าไปหลายปีกลับไม่มีบุตร แต่พอฉังซิงโหวซื่อจื่อเสียชีวิตลง จวนโหวกลับประกาศว่านางตั้งครรภ์ และในปีถัดไปนางก็คลอดบุตรก่อนกำหนด

หญิงหม้ายให้กำเนิดบุตรก่อนกำหนดหลังจากที่สามีตายก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คนภายนอกไม่อาจสงสัยในเรื่องนี้ แต่จากที่นางเฝ้าตามสืบเรื่องบ้านของท่านอารอง ทำให้นางได้ทราบความจริงอันน่าพรั่นพรึงอีกอย่างคือ ลูกชายที่เกิดจากเจียงเชี่ยนไม่ได้เป็นลูกของฉังซิงโหวซื่อจื่อ แต่เป็นลูกของฉังซิงโหวต่างหาก!

เรื่องราวเลวร้ายกว่าที่คิดเอาไว้ ลูกของเจียงเชี่ยนและฉังซิงโหวไม่ได้เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์เชิงชู้สาว แต่เกิดจากการที่ฉังซิงโหวฮูหยินต้องการจะตัดลูกชายออกจากกองมรดก อีกทั้งยังไม่ต้องการให้ลูกของอนุมาเป็นผู้สืบทอดจึงได้ใช้ร่างกายของลูกสะใภ้เพื่อให้กำเนิด ‘หลานชายสายตรง’

เรื่องราวทั้งหมด ฉังซิงโหวฮูหยินที่ดูอ่อนแอไร้ทางสู้ไม่ได้ถูกปิดหูปิดตา

แต่นางเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด

ฉะนั้นสำหรับสตรีผู้นี้ นางยอมให้เป็นเช่นนี้ดีกว่าเห็นลูกชายของฉังซิงโหวและอนุมาฮุบมรดกที่ควรจะเป็นของลูกชายนางไป

เมื่อเจียงซื่อนึกถึงเรื่องนี้ ในใจของนางก็รู้สึกสะอิดสะเอียนจนแทบอาเจียนออกมา

นางสามารถพูดได้อย่างไม่เกรงใจเลยว่า แม้แต่รูปปั้นสิงโตหินหน้าจวนโหวก็ยังแปดเปื้อน

“คนเรารู้หน้ารู้ตา แต่ไม่รู้ใจ ดูเหมือนว่าของกล่องเดียวจะซื้อพี่สามได้แล้วล่ะสิ?” เจียงซื่อหยอกล้อ

เจียงเชี่ยวชะงักไป และรีบตอบสนองทันควัน “หรือว่าน้องสี่คิดว่าฉังซิงโหวฮูหยินมีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ”

เจียงซื่อตอบเสียงเบา “ข้าคิดว่าอุปนิสัยของคนๆ หนึ่งเกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อมที่เขาเกิดมา การที่ลูกชายเป็นเช่นนั้น ไฉนเลยคนเป็นมารดาจะเป็นพระโพธิสัตว์ได้”

เจียงเชี่ยวครุ่นคิดแล้วจึงพยักหน้า “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล แต่ว่าไม่ว่าพวกเขาจะชั่วร้ายเพียงใดก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้ว อีกหน่อยก็อยู่ห่างๆ ไว้ก็พอ”

เจียงซื่อไม่ต้องการให้เจียงเชี่ยวเข้ามาเกี่ยวข้องมากไปกว่านี้จึงเพียงยิ้มและตอบรับ

“น้องสี่ เจ้าคิดจะจัดการไอ้เดรัจฉานนั่นอย่างไร”

เจียงซื่อตอบคลุมเครือ “ข้าเองก็ยังไม่มีแผน ตอนนั้นข้ารู้สึกกลัว อยากจะรีบออกจากจวนโหวให้เร็วที่สุดถึงได้พูดไปแบบนั้น รอข้ากลับไปคิดดูก่อนแล้วกันเจ้าค่ะ”

เจียงเชี่ยวหรี่ตามองเจียงซื่อ “อย่ามาหลอกข้าเป็นเด็กๆ หน่อยเลย”

ถ้าจะพูดว่ากลัว นางแสดงออกมากกว่าเจียงซื่อเสียอีก อีกอย่างเจียงซื่อก็ดูสงบนิ่งราวกับว่าไม่รับรู้เรื่องเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นว่าหลอกไม่สำเร็จ เจียงซื่อจึงจำใจพูดไปว่า “เรื่องวิธีการข้ายังไม่สะดวกจะพูดตอนนี้ รอให้ได้ผลก่อนแล้วข้าจะอธิบายให้พี่สามฟังอย่างละเอียด แต่หากไม่ได้ผล…”

เมื่อเห็นสายตาเจียงเชี่ยวที่เหล่มองมา เจียงซื่อก็พลันหัวเราะพลางเอ่ย “หากไม่ได้ผล ข้าก็จะมาให้พี่สามช่วยคิดหาวิธียังไงล่ะ”

“อย่างงี้ค่อยพอไปวัดไปวาหน่อย” เจียงเชี่ยวรู้งานจึงไม่ถามต่อ

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ทั้งคู่ก็สบายใจต่อกันมากขึ้นจึงเริ่มชวนคุยเรื่องอื่นด้วย

ทันใดนั้นรถม้าก็พลันหยุดเสียดื้อๆ

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เจียงเชี่ยวเอ่ยถามเสียงดัง

คนขับรถเอ่ยตอบผ่านม่านกั้น “ข้างหน้ามีขบวนรับตัวเจ้าสาว คนมามุงดูกันมากมายขอรับ ถนนด้านหน้าจึงถูกปิดกั้นขอรับ”

“ขบวนรับตัวเจ้าสาว?” เมื่อเจียงเชี่ยวที่ชื่นชอบความครึกครื้นเป็นนิสัยได้ยินก็รีบเปิดหน้าต่างออกไปดู

สายลมหอบหนึ่งพัดเข้ามาทางหน้าต่าง และขับไล่บรรยากาศอึมครึมภายในรถม้าออกไปทันที

ผู้คนด้านนอกพลุกพล่านไปมา คึกคักเป็นพิเศษ

แล้วไม่นานก็มีเสียประทัดดังขึ้นจากที่ไกล เสียงเด็กกรีดร้องอย่างมีความสุขดังออกมาจากฝูงชน

ดูท่าแล้วน่าจะเป็นคุณชายตระกูลสูงศักดิ์เข้าพิธีสมรสกระมัง

เมื่อเห็นว่าด้านหน้าไม่อาจไปต่อได้ รถม้าในขณะนั้นก็ไม่สามารถหมุนหัวกลับได้ คนขับจึงขยับเกวียนไปข้างถนนและลงไปยืนดูกับฝูงชน

เจียงเชี่ยวเอาแก้มแนบไปกับหน้าต่างรถพลางเอ่ยด้วยความอยากรู้อย่างเห็น “ไม่รู้ว่าบ้านไหนกันนะที่จัดพิธีมงคลวันนี้”

เจียงซื่อชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความไม่ตั้งใจ

ขบวนรับตัวเจ้าสาวเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้น เสียงจากปี่สั่วน่าที่เป่าในงานมงคลทำให้บรรยากาศครึกครื้นยิ่งขึ้น

“หึหึ ไม่รู้มาก่อนว่าคุณชายสามแห่งจวนอันกั๋วกงจะหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้!”

“จะแปลกตรงไหนเล่า ก็ถ้าไม่หล่อ หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานด้วยจะยอมสังเวยชีวิตเพื่อความรักหรือไง…”

“เจ้าก็พูดถูก หญิงสาวจากครอบครัวธรรมดาได้แต่งงานกับคุณชายแห่งอันกั๋วกงที่ยอมฝืนคำสั่งของพ่อแม่ ต่อให้คุณชายมีฝีขึ้นเต็มหน้า ข้าว่าก็ยอมตายตามกันไปอยู่ดี”

น้ำเสียงนั้นทั้งตื่นเต้นทั้งเย้ยหยัน เรื่องที่ผู้คนกล่าวกันจนน้ำลายแตกฟองคือเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ทั้งคู่ยอมจบชีวิตเพื่อความรัก

เรื่องซุบซิบนี้ใหญ่โตถึงขนาดที่พวกบัณฑิตยังพากันแตกตื่น

สองสาวพี่น้องที่นั่งอยู่ในรถม้ายังรู้สึกได้ถึงเปลวไฟที่โหมกระหน่ำจากคำซุบซิบของชาวบ้านในเมืองหลวง

สีหน้าของเจียงเชี่ยวพลันเปลี่ยน รีบหันไปมองเจียงซื่ออย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อไม่ได้แสดงความรู้สึกใดออกมาเจียงเชี่ยวก็โล่งอกแล้วจึงหันกลับไป

คุณหนูสามยื่นศีรษะของตัวเองออกไปนอกหน้าต่างพลางชะเง้อคอมอง

“พี่สาม มีอะไรให้ดูงั้นเหรอ” เจียงซื่อถามอย่างสงสัยใคร่รู้

“อย่ามากวนข้า ข้าจะดูสิว่าชายที่มีตาหามีแววไม่มันหน้าตาเป็นยังไง”