ตอนที่ 78 ลักพาตัว

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 78 ลักพาตัว

ชายหนุ่มผู้มีตาแต่ไร้แววที่เจียงเชี่ยวได้พูดถึง สวมชุดมงคลมีมงกุฎประดับบุปผา ร่างผอมบางนั่งหลังตรงอยู่บนหลังม้า มุมปากประดับรอยยิ้มอ่อน สีหน้าขาวออกไปทางซีดเล็กน้อย ตามแบบรูปลักษณ์บุรุษงามในอุดมคติที่หาจับตัวยากในร้อยลี้ของต้าโจวเลยทีเดียว

เจียงเชี่ยวหันหน้าไปมองครู่หนึ่ง แม้หาข้อบกพร่องจากรูปลักษณ์นี้ไม่ออก ได้แต่กล่าวออกมาอย่างหงุดหงิดว่า “ข้ารู้แต่ว่าก็แค่พวกหน้าตาดีแต่ไร้ปัญญาเท่านั้น”

เจียงซื่อถูกทำให้หัวเราะ “พี่สามกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกเสียแล้ว ตอนนี้ผู้คนมากมายกำลังชื่นชมเรื่องราวความรักระหว่างคุณชายสามกับหญิงสาวชาวบ้านอยู่ ว่ากันว่ามีคนเอาไปแต่งเป็นหนังสือด้วยนะ ทั้งยังขายดีมากเลยทีเดียว”

เจียงเชี่ยนทำสีหน้ากระอักกระอ่วน พูดออกมาอย่างอดทนอดกลั้น “ข้าอ่านแล้วล่ะ คนเขียนช่างไร้สาระสิ้นดี น้องสี่เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ”

ไม่รู้ว่านักเขียนไส้แห้งคนไหนมาเขียนมั่วซั่วได้เช่นนี้ว่าจวนตงผิงปั๋วไปเขียนว่าเป็นคนขัดขวางความรักของคู่รัก อีกทั้งยังหาว่าน้องสี่ที่ถูกยกเลิกงานแต่งไปแล้วกลับคิดถึงคุณชายสามผู้ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายของจวนอันกั๋วกงอยู่ไม่สร่างคลาย

ถึงแม้ว่าตัวละครในนิยายนั้นจะปรับแก้ไขอย่างไร สุดท้ายไม่ว่าใครมาอ่านก็สามารถมองออกได้อยู่ดีว่าหมายถึงใคร

ช่างน่าโมโหยิ่งนัก

เอ่ยถึงจุดนี้ ก็เพราะนางเห็นว่าน้องสี่เจอเรื่องร้ายมามากพออยู่แล้ว ยิ่งเห็นหน้าน้องสี่นางก็ยิ่งสงสาร นางจึงไม่ต่อปากต่อกับน้องสี่ดังเช่นเมื่อกาลก่อนอีก

“ข้าก็อ่านหนังสือเล่มนั้นแล้วเช่นกัน เขียนได้ผิดเพี้ยนจากเรื่องจริงมากเลยทีเดียว” เวลานี้เจียงซื่อก็อดนึกถึงจี้ฉงอี้ขึ้นมาไม่ได้ แต่ในใจนั้นกลับไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

กับผู้ชายคนนั้นในชาติก่อนของนางแล้วไม่เคยคิดมีใจให้สักนิดเดียว ก่อนจะออกเรือนนั้นหรือก็เพราะเพียงแค่เกียรติและศักดิ์ศรีเท่านั้น

ในตอนนี้นางเพียงแค่ขอให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน สมดังหวังใจปรารภณา เก็บเรื่องราวดีๆ ให้ชนรุ่นหลังร้อยพันปีได้เล่าขานเป็นตำนาน

“เจ้าไม่ใส่ใจอะไรแล้วจริงหรือน้องสี่” สายตาของเจียงเชี่ยวเคลื่อนไหวไปตามขบวนงานที่เดินอยู่

“คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้า จะมีค่าอะไรให้ใส่ใจด้วยกันเล่า” เจียงซื่อเหมือนเห็นว่าเจียงเชี่ยวกำลังดูอย่างสนใจ ในเมื่อรถม้าต้องจอดติดอยู่ริมถนนไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว จึงชะโงกหน้าเข้าไปดูด้วยเลยแล้วกัน

เจียงเชี่ยวเองก็เป็นคนที่นิสัยไม่ได้คิดอะไรเยอะแยะมากมายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้เห็นเจียงซื่อท่าทางไม่ได้ใส่ใจอะไรอีกจริงก็เบาใจลงพลางพูดกับนางต่อ “น้องสี่ เจ้าว่าผู้ชายอย่างคุณชายสามจวนอันกั๋วกงน่ะ เป็นพวกสวยแต่รูปจูบไม่หอมหรือไม่”

“ทำไมท่านถึงพูดเช่นนี้เล่า”

เจียงเชี่ยวยิ้มเย็น “ซื่อจื่อแห่งจวนฉังซิงโหวก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ”

เจียงซื่อมองพิจารณาจี้ฉงอี้สวมชุดแดงมงคลที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้พลางพูดอย่างเป็นกลางว่า “ซื่อจื่อแห่งจวนฉังซิงโหวค่อนข้างดูคล้ายผู้หญิงอยู่บ้าง แต่คุณชายสามจี้ดูหนักแน่นมากกว่าเขาอยู่พอสมควร”

เจียงเชี่ยวมองเจียงซื่ออย่างแปลกใจพลางกล่าวต่อ “น้องสี่ เจ้านี่มันจริงๆ เลย”

ชั่วอึดใจเจียงเชี่ยวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

มันก็เป็นที่น่าบังเอิญเสียจริงจี้ฉงอี้ที่นั่งอยู่บนหลังมาก็กวาดสายตามองมาทางฝั่งนี้พอดิบพอดี

ผู้คนที่ยืนเบียดไหล่กันมาเฝ้าดูความตื่นเต้นทั้งสองข้างของถนน เพราะถนนถูกปิดกั้น มีรถม้าอยู่ไม่กี่คันที่รอติดอยู่ จี้ฉงอี้จึงเหลือบมองไปยังรถม้าคันหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ

ม่านของรถม้าถูกเปิดออกโดยมือคู่งามราวกับหยกคู่หนึ่ง หญิงสาวในรถม้ามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเฉยเมย ดวงตาของนางเย็นชา รูปโฉมดูงดงามสูงศักดิ์

จี้ฉงอี้ที่สวมชุดแดงมงคลตะลึงไปชั่วครู่ ปล่อยให้ม้าพาร่างของตนเองมุ่งไปทางข้างหน้า

แม่นางเมื่อครู่นี้งดงามมากเลยทีเดียว ตั้งแต่เกิดมาเขาเพิ่งจะเคยเจอคนที่งดงามเช่นนี้ครั้งแรกเลยก็ว่าได้

ในฐานะที่เป็นบุรุษคนหนึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงความคิดจากเบื้องลึกนี้ในใจได้ แน่นอนว่าไม่มีอะไรเป็นอื่นหรือนอกลู่นอกทางได้ เพียงไม่นานหัวใจของเขาก็เติมเต็มไปด้วยความสุขเข้ามาแทนที่ เมื่อคิดว่าจะได้พบกับคนที่เขาปรารภณาที่จะอยู่ด้วย

ซึ่งมันก็คือความคิดของคนส่วนมากเนกัน ทิวทัศน์อันสวยงามไม่ว่าจะสวยงามเพียงใดก็ไม่ใช่ของตนเองอยู่ดี ผ่านมาแล้วก็แค่ผ่านไป

แต่เวลานี้เองกลับเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมา

ลมหมุนสีดำเหลืองลูกนึงวิ่งซัดเข้ามาในกลุ่มคน โดยที่ทุกคนแทบจะไม่สังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำ และแล้วมันก็ใช้ปากงับเข้าไปที่บั้นท้ายของ…ม้า

การที่จะมาเป็นม้ารับส่งเจ้าบ่าวในงานแต่งได้ แน่นอนว่าจะต้องเลือกม้าที่นิสัยดีและอ่อนโยนอยู่แล้ว แต่ว่าต่อให้นิสัยม้าอ่อนโยนแค่ไหนเมื่อโดนกัดเข้าไปที่บั้นท้ายเช่นนี้ก็ทนไม่ได้เป็นธรรมดา จนทำให้ม้าตัวนั้นถีบตัวยกเท้าหลังขึ้นกระทันหัน

สงสารก็แต่จี้ฉงอี้ผู้หล่อเหลาสมกับเป็นความภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูล ซึ่งภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น เขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ จึงได้ลอยกระเด็นออกไปราวกับฝนดาวตก

เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นและหยุดลงทันที

โชคดีที่ขบวนงานแต่งมีคนมาก บวกกับคนที่มารอชมงานแต่งอีกก็ไม่น้อย จึงทำให้จี้ฉงอี้ที่กระเด็นลอยออกมาถูกกลุ่มคนพวกนี้ช่วยรับเอาไว้ให้ทัน

เจียงเชี่ยวเบิกตาโพล่งตกใจ “น้องสี่ มีคนจะลักพาตัวเจ้าบ่าว”

เจียงซื่อตกใจไม่ต่างกันพลางกล่าวเบาๆ “ไม่ใช่ลักพาตัวหรอก อาจจะเป็น…สร้างความวุ่นวาย…”

เอ้อร์หนิวกำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ

สุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่งคล้ายกับรับรู้การคาดเดาออกเจียงซื่อได้ ทันใดนั้นมันก็มองไปทางรถม้า และแกว่งหางให้อย่างใจดี

ตอนนั้นเองที่ผู้คนก็รับรู้ได้ว่าผู้กระทำผิดในเหตุการณ์นี้ที่แท้คือสุนัขตัวใหญ่นี่เอง

“รีบไปจับสุนัขตัวนั้นมาตีให้ตายเดี๋ยวนี้เลยนะ” หนึ่งในผู้รักษาความปลอดภัยในขบวนเอ่ยขึ้นเสียงดัง

แต่ก็ยังมีคนที่รู้จักขนบธรรมเนียมวันมงคลอยู่ตะโกนขึ้นมา “ห้ามตีให้ตายนะ งานมงคลห้ามไม่ให้มีเลือดไหล รีบนำเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นออกไปก็พอแล้ว”

ทว่าม้าที่โดนกัดและถีบขาหลังยกขึ้น “…” เลือดกำลังไหลออกมาจากบั้นท้ายของม้าอยู่ไม่ใช่หรือ

ผู้รักษาความปลอดภัยในขบวนต่างพากันไปล้อมสุนัขเอาไว้

เจียงเชี่ยวตกใจรนจนคว้าแขนเสื้อของเจียงซื่อเอาไว้ “ไม่ได้การณ์แล้ว เจ้าหมาใหญ่ซวยแล้วล่ะ”

เจียงซื่อนิ่ง “…”

พี่สามเป็นห่วงเจ้าเอ้อร์หนิวแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน

“ช่าง ช่างเถอะ…” เมื่อจี้ฉงอี้ยืนขึ้นมั่นคงแล้วพลางกล่าวด้วยสีหน้าคล้ำ

ช่วงเวลาที่จะไปรับเจ้าสาวดันถูกสุนัขทำให้ม้าตกใจและตกลงมาก็ขายหน้ามากพออยู่แล้ว สถานการณ์เช่นนี้รีบหนีออกไปให้ไวคือดีที่สุด หรือจะให้เขาทะเลาะกับสุนัขตัวหนึ่งหรืออย่างไรกัน

เสียดายที่ฝ่ายเจ้าบ่าวคิดแต่เพียงให้เหตุการณ์ทุกอย่างรีบสงบลง แต่เจ้าสุนัขตัวใหญ่กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

ทันใดนั้นเจ้าสุนัขตัวใหญ่ก็วิ่งหนีออกมาจากวงล้อมได้สำเร็จ ทั้งยังใช้ปากคาบหมวกของเจ้าบ่าวไว้แล้ววิ่งหนีออไป

ผู้คนที่มาชื่นชนขบวนงานแต่งถูกสุนัขใจกล้าตัวหนึ่งทำให้ตกใจเสียแล้ว ไม่มีคนเข้าไปห้ามยังไม่พอ เพียงครู่ทุกคนหันกลับไปมองศีรษะของเจ้าบ่าวที่โล่งไม่มีหมวกพลันเกิดเสียงหัวเราะขึ้นอย่างสนุกสนาน。

สีหน้าของจี้ฉงอี้เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำราวกับก้นหม้อ ความโกรธแค้นในใจที่เพิ่งมอดหายกลับปะทุขึ้นอีกครั้ง

หลายวันมานี้นอกจากเสียงบ่นของบิดา ก็จะได้ยินเสียงถอนหายใจของมารดา อีกทั้งยังมีสายตาแสดงความไม่พอใจของเหล่าพี่น้องอีก

บ้านก็เป็นบ้านของเขา แต่ในสายตาของเขากลับเป็นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นทีไม่คุ้นเคยเสียแล้ว ความไม่คุ้นเคยเหล่านั้นค่อยๆ บีบให้เขาจะกลายเป็นคนบ้า

เขาปลอบใจตนเองมาโดยตลอด คิดว่าพอหลังจากแต่งงาน เขาจะตั้งใจศึกษาหาความรู้ให้ประสบความสำเร็จขึ้นมาให้ได้ เมื่อถึงเวลานั้นใครมันจะกล้ายกเรื่องที่เขาแต่งงานกับสาวชาวบ้านขึ้นมาว่าเขาได้อีก

แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า เรื่องที่เขาคาดคิดอยู่ในใจกลับถูกสุนัขตัวหนึ่งทำลายลง

น่ากลัวว่าเขาจะเป็นเจ้าบ่าวที่ขายหน้าที่สุดคนหนึ่งเสียแล้ว

“คุณชายสามรีบขึ้นมาเถอะขอรับ” ผู้ดูแลรีบนำม้าตัวใหม่มาให้อีกตัวพลางเอ่ยเตือนให้ขึ้นม้าเสียงเบา

จี้ฉงอี้พยายามพยักหน้าและขึ้นหลังม้าอย่างเงียบๆ ปล่อยไปตามเสียงดนตรีของขบวนรับเจ้าสาวที่บรรเลงขึ้นอีกครั้ง ทั้งบรรยากาศโปรยเหรียญโปรยลูกอมคึกคักขึ้นมา แม้จะมีบรรยากาศคึกครื้นเช่นนี้แต่หูของเขากลับไม่ได้ฟังเข้าโสตประสาทเลยสักนิด

เจียงเชี่ยวเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่าง พอได้สติกลับมาก็กล่าวขึ้น “สุนัขของบ้านใครปล่อยให้ออกมาวุ่นวายได้แบบนี้นะ”

ทำดีมาก

เจียงซื่อไม่ได้พูดต่อแต่สายตากลับมองไปยังร่างหนึ่งท่ามกลางฝูงชน ในใจกลับงุนงง

อวี้ชีที่ไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ทำไมถึงมายืนอยู่ท่ามกลางความคึกครื้นนี้ได้

ในชาติก่อนก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาไปร่วมงานแต่งของจี้ฉงอี้