ตอนที่ 79 คำถามจากวังหลวง

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 79 คำถามจากวังหลวง

อวี้จิ่นนั้นเกิดจากไหน่เสียนเฟย และเสียนเฟยเองก็เป็นท่านป้าแท้ๆ ของจี้ฉงอี้

วันนี้เป็นวันงานมงคลของจี้ฉงอี้ ว่ากันตามเหตุผลแล้วอวี้จิ่นเองก็ควรจะต้องมางานมงคลที่จวนอันกั๋วกงด้วยตนเองอยู่แล้ว

เมื่อชาติก่อนก็เป็นเช่นนี้

ดังนั้นเมื่อครู่ที่เห็นว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นไปตามชาติก่อน ยิ่งทำให้เจียงซื่อรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก

หลังจากที่นางได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง จริงๆ แล้วก็ถือได้ว่ากลับมาแก้ไขเรื่องต่างๆ มากมายไม่ใช่น้อย นั่นเป็นเพราะนางตั้งใจเองต่างหาก แต่เรื่องที่นางไม่ได้สอดมือเข้าไปยุ่งวุ่นวายมันควรจะเป็นไปตามเดิมไม่ใช่หรอกหรือ

คืออะไรกันที่ทำให้อวี้ชีเปลี่ยนไปได้

เจียงซื่อสับสนอยู่ในใจครู่หนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็หาเหตุผลไม่ได้

ท่ามกลางฝูงชนนั้น อวี้จิ่นสบตากับเจียงซื่อ และยิ้มเล็กๆ ให้กับนาง

ปฏิกริยาแรกของเจียงซื่อคือรีบดึงม่านปิดลง

ม่านโปร่งปักลายทิวไผ่งามหรูหราพลิ้วไหวไปตามแรง เช่นเดียวกับจิตใจของหญิงสาวที่พลิ้วไหวด้วยเรื่องที่อยู่ในใจ

อวี้จิ่นเห็นปฏิกิริยาของเจียงซื่อเช่นนั้นก็ยิ้มค้าง นัยน์ตาปรากฏร่องลอยแห่งความผิดหวัง และยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรพลางหมุนกายหายเข้าไปในฝูงชน

เจียงซื่อกัดริมฝีปาก ไม่รู้อะไรดลใจให้นางเลิกม่านขึ้นอีกครั้ง

ด้านนอกหน้าต่างยังเห็นคนเบียดเสียดกันอยู่เช่นเดิม แต่กลับมองไม่เห็นแม้แต่เงาของคนๆ นั้น

เจียงซื่อปิดม่านลงและนั่งพิงพนักรถม้าต่อไปอย่างเงียบๆ

“น้องสี่ เจ้าถูกเจ้าสุนัขใหญ่ตัวนั้นทำให้ตกใจหรือ” เจียงเชี่ยวเห็นสีหน้าที่แปลกไปของเจียงซื่อ จึงใช้มือแตะเข้าที่บ่าของอีกฝั่ง

เพียงแค่ไปจวนฉังซิงโหวมา ก็ทำให้สองพี่น้องนี้สนิทสนมกันขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ

“เปล่า” เจียงซื่อยิ้มๆ

เจ้าเอ้อร์หนิวเป็นสุนัขตัวหนึ่งที่นิสัยไม่ชอบอยู่อย่างเงียบเหงา จะไปนับอะไรกับแค่มากลั่นแกล้งเจ้าบ่าวแบบนี้ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ขุดคุ้ยเอาศพจากสวนของจวนฉังซิงโหวลากออกมาเล่น แค่นี้นางก็ขอบคุณฟ้าดินมากพอแล้ว

พอเจียงซื่อคิดมาถึงตรงนี้ ก็ตระหนักดีว่าอวี้จิ่นนั้นก็ลำบากไม่น้อย

ตัวเองเป็นเจ้านายแท้ๆ ยังจะต้องมาตามเช็ดตามล้างเรื่องแบบนี้อีกด้วยหรือ

อวี้จิ่นผู้ที่ถูกเจียงซื่อเห็นใจอยู่นั้นก็กลับมายังจวนที่อยู่ในตรอกเชวี่ยจื่อ และตะโกนออกไปทางลานกว้างหน้าบ้าน “เอ้อร์หนิว ออกมานี่”

เพียงไม่นานเอ้อร์หนิวก็ส่ายหางดุ๊กดิ๊กออกมา วิ่งคาบหมวกเจ้าบ่าวออกมาวางตรงหน้าอวี้จิ่นอย่างดีใจ

อวี้จิ่นมองไปยังพู่ห้อยของหมวกอย่างเงียบๆ

เขาเลี้ยงสุนัขวิเศษอยู่หรือนี่…

หลงต้านองครักษ์เงาที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดก็ปรากฏตัวขึ้นพลางเข้ามารายงาน “เจ้านาย บ่าวว่าเจ้าเอ้อร์หนิวทำเกินไปแล้วขอรับ เหตุใดถึงไปก่อความวุ่นวายของงานมงคลคุณชายญาติผู้พี่แบบนี้”

เจ้าสุนัขชั่วตัวนี้ได้รับความเอ็นดูจากเจ้านายมากกว่าเขาที่อยู่ข้างหน้าได้อย่างไร เขารอคอยเวลาที่เหมาะสมเช่นนี้มานานแล้ว

“ก่อความวุ่นวาย?” อวี้จิ่นยกคิ้วขึ้น หมุนกายกลับไปลูบหัวเจ้าเอ้อร์หนิว “ก็ไม่นะ ข้าว่ามันรู้ใจข้ายิ่งนัก”

หลงต้านกะพริบตาปริบๆ หน้าตาจริงจัง “เจ้านายกำลังโกหกข้าอยู่ใช่หรือไม่”

อวี้จิ่นละสายตาไปมองหลงต้านแวบหนึ่ง

หลงต้านส่ายหน้า

ไร้เหตุผลสิ้นดี เจ้าบ่าวเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจ้านายเชียวนะ เหตุใดเจ้าเอ้อร์หนิวไปสร้างความวุ่นวายกลับได้รับความดีความชอบได้

หรือเป็นไปได้ว่า คุณชายญาติผู้พี่ไปผิดใจอะไรกับเจ้านายของเขาเสียแล้ว

หลงต้านพลางคิดในใจหลายตลบ แต่ก็คิดไม่ออกว่าคุณชายสามแห่งจวนอันกั๋วกงไปทำเรื่องอะไรให้ผิดใจกับเจ้านายของตนเองเข้าได้

นายเพิ่งจะกลับมาจากทางใต้ได้ไม่นาน อีกทั้งกับลูกพี่ลูกน้องก็แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ทั้งสิ้น ว่าไปตามเหตุผลแล้วก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้

เอ้อร์หนิวจงใจเห่าใส่หลงต้าน

หลงต้านไม่พอใจ

ปวดใจเหลือเกิน เจ้านายกับเจ้าเอ้อร์หนิวจะต้องมีความลับอะไรที่รู้กันเป็นแน่ แต่เขากลับไม่รู้สินะ

ในขณะที่หลงต้านกำลังโกรธเคืองอยู่กับตัวเอง หน้าประตูก็มีคนเข้ามารายงาน “มีคนจากวังมาขอรับ”

“เชิญให้เข้ามา” อวี้จิ่นกล่าวเสียงเรียบ

เอ้อร์หนิวรู้งานรีบคาบหมวกออกไปซ่อน

ไม่นานนักก็มีขันทีใบหน้าขาวสะอาดไร้หนวดเคราเข้ามา

“คารวะองค์ชาย”

“กงกงมีธุระอะไรหรือ” อวี้จิ่นยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้หินเช่นเดิมไม่มีท่าทีขยับ

ขันทีที่เข้ามาก็ไม่กล้าที่จะไม่พอใจพลางยิ้มกล่าว “พระสนมให้ข้าน้อยมาสอบถามพ่ะย่ะค่ะ ว่าเหตุใจวันนี้องค์ชายไม่ได้ไปงานมงคลที่จวนกั๋วกงกับท่านอ๋อง”

ท่านอ๋องที่ขันทีกล่าวถึงก็คือพี่ชายใหญ่แท้ๆ ของอวี้จิ่นหรือก็คือองค์ชายสี่ในรัชกาลปัจจุบัน ได้รับการอวยยศเป็นฉีอ๋อง

พูดถึงตรงนี้อวี้จิ่นที่ยังสถานะเป็นองค์ชายเจ็ดก็ค่อนข้างรู้สึกลำบากใจอย่างบอกไม่ถูก

ตอนที่เขาเกิดเพียงไม่นานฮ่องเต้จิ่งหมิงก็เกิดประชวรขึ้นกะทันหัน หมอหลวงไร้ทางรักษา จนทำให้ไทเฮาทรงรับสั่งให้ประกาศตามหาคนมารักษาพระอาการป่วย และสุดท้ายผู้ที่ได้รับคัดเลือกคือนักบวชจากลัทธิเต๋า

นักบวชจากลัทธิเต๋าได้กล่าวเอาไว้ว่าอาการประชวรของฮ่องเต้จิ่งหมิงมีความสัมพันธ์กับองค์ชายเจ็ดเพราะทั้งสองดวงไม่สมพงษ์กัน องค์ชายเจ็ดจำเป็นต้องออกไปอาศัยอยู่นอกวัง รอให้ครบอายุสิบแปดปีถึงจะสามารถกลับมาพบพระราชบิดาได้

ไทเฮาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ครั้นสายพระเนตรที่ยังคงเห็นฮ่องเต้จิ่งหมิงประชวรหนักอยู่ก้ได้แต่ลองส่งองค์ชายเจ็ดออกไปอยู่นอกวัง ใครจะไปรู้เพียงไม่นานฮ่องเต้จิ่งหมิงกลับค่อยๆ ดีขึ้น

นับจากนั้นมาอวี้จิ่นก็ไม่ได้กลับเข้าวังอีกเลย

หากว่ากันไปตามราชประเพณีของต้าโจว เมื่อองค์ชายอายุครบสิบหกปีจะได้รับแต่งตั้งเป็นตำแหน่งอ๋อง แต่เมื่ออวี้จิ่นอายุครบสิบหกปีที่อยู่เมืองทางใต้นั้น กลับปล่อยผ่านไปอย่างไม่มีใครสนใจ

มาตอนนี้อวี้จิ่นกลับมาเมืองหลวงแล้ว เพราะยังอายุไม่ครบสิบแปดปีเลยทำให้ไม่สามารถเข้าพบฮ่องเต้จิ่งหมิงได้ อีกทั้งหลายคนก็ไม่กล้าคาดเดาใจฮ่องเต้ว่ามีท่าทีต่อองค์ชายผู้นี้อย่างไร แน่นอนว่าไม่มีกล้าหาเหาใส่หัวเอ่ยถึงเรื่องการแต่งตั้งตำแหน่งอ๋องให้อย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของสถานการณ์ที่ลำบากใจ องค์ชายแปดที่อายุน้อยกว่าอวี้จิ่นยังได้รับกาแต่งตั้งเป็นเซียงอ๋องแล้ว แต่องค์ชายเจ็ดก็ยังเป็นองค์ชายเจ็ด…

แต่อวี้จิ่นเองกลับไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

เขาก็เป็นแค่องค์ชายที่ไร้ความสำคัญคนหนึ่ง หากอยากจะได้อะไรหรือทำอะไรตามใจชอบก็ง่ายขึ้นมามากโข

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นหรอก หากองค์ชายรัชทายาทอยากจะขอหญิงสาวที่เคยแต่งงานมาแล้ว ก็ยากเสียยิ่งกว่าอะไรดี

พอคิดถึงตรงนี้มุมปากของอวี้จิ่นก็ยกยิ้มขึ้นน้อยๆ

ขันทีที่มาก่อนหน้านี้รู้สึกงุนงง

ถึงแม้ว่าองค์ชายเจ็ดจะยิ้มสวยกว่าสาวงามในวัง แต่องค์ชายผู้นี้กำลังยิ้มเรื่องอะไรอยู่กันแน่

หรืออาจจะได้รับการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมมาตั้งแต่ยังเล็กเลยทำให้กลายเป็นนิสัยเช่นนี้หรือ

ราวกับได้รับรู้ความคิดของขันที อวี้จิ่นจึงเก็บความคิดของตนพลางกล่าวเรียบๆ “หึ ข้าขี้เกียจไป”

ขันที “…”

ครู่หนึ่งอวี้จิ่นก็ถามกลับ “กงกงยังมีธุระอื่นอีกหรือไม่”

ขันทีแทบอยากจะร้องไห้โฮ

องค์ชายท่านให้คำตอบตรงไปตรงมาเกินไปหรือไม่ แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อเล่า

หากกลับเข้าไปในวังแล้วพระสนมเสียนเฟยถามมาแล้วเข้าตอบกลับไปว่าองค์ชายขี้เกียจจะไปเข้าร่วมงาน คิดดูสิว่าพระสนมเสียนเฟยจะโกรธขนาดไหน

“แค่…แค่นี้หรือพ่ะย่ะค่ะ แต่จวนอันกั๋วกงเป็นพระญาติขององค์ชายนะพ่ะย่ะค่ะ…”

อวี้จิ่นมองขันทีอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ราวกับว่าขัดเคืองใจที่พูดมากเกินไป “ก็ไม่สนิท”

พอกล่าวถึงตรงนี้ในใจของอวี้จิ่นก็ยิ้มเย็นชา

มากกว่าที่ไม่สนิทกับครอบครัวฝั่งท่านตาแล้ว ผู้คนเหล่านั้นในวังที่มีสายเลือดเดียวกับเขา สำหรับเขาแล้วไม่แตกต่างอะไรจากคนแปลกหน้า

เสด็จพ่อเป็นถึงฮ่องเต้ปกครองแผ่นดิน สุขภาพร่างกายต้องมาก่อน ถึงแม้จะเชื่อคำนักบวชลัทธิเต๋าเช่นนั้นเขาก็ยังพอใจเข้าใจได้ แต่เสด็จแม่นั้นหลังจากที่เขาถูกส่งออกไปนอกวังหลายปี แม้ความคิดที่จะหาวิธีออกมาเจอหน้าเขาสักครั้งยังไม่มี ขนาดเสื้อผ้าสักชุดรองเท้าสักคู่ยังไม่เคยมีส่งให้เขาเลยสักครั้ง

ในสมัยเยาว์วัยเขาเคยรู้สึกทั้งน้อยใจ ทั้งโกรธเคือง แต่ตอนนี้เขากลับไม่เหลือความรู้สึกใดๆ เลยแม้แต่น้อย

ก็ไม่สนิทจริงๆ นี่นะ

“กงกงจะอยู่รับประทานอาหารหรือไม่”

“ขอบพระทัยองค์ชาย แต่ข้าน้อยยังต้องกลับไปรายงานพระสนมอีกพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีตั้งใจเน้นย้ำ ‘รายงาน’ สองคำนี้ให้ดูหนักแน่น ถือเสียว่าให้โอกาสอวี้จิ่นอีกครั้ง

อวี้จิ่นเลิกคิ้วเฉียงขึ้น “ส่งแขก”

สุนัขตัวใหญ่วิ่งส่ายหางเข้ามา

จนแทบจะทำให้ขันทีเกือบจะวิ่งหนี

อวี้จิ่นมองไปที่เอ้อร์หนิวและพูดเสียงดังขึ้น “ข้าหมายถึงให้หลงต้านส่งแขก”

เอ้อร์หนิวเงยหน้าขึ้นมอง

ว่าอะไรนะ มันทำท่าราวฟังอะไรไม่ออกเลยสักคำ