ตอนที่ 53 ทำการเกษตร

เมื่อวานลืมลงขออภัยจ้า
ทันทีที่ผ่านพ้นวันที่สิบห้า สำนักศึกษาของซิ่วไฉเฒ่าก็เริ่มเปิดการเรียนการสอน สองพี่น้องถือกระเป๋าเรียนที่เฉียวเวยเย็บเองเดินลงภูเขาไปอย่างมีความสุข

เมื่อเทียบกับตอนแรกที่สนใจเรียนเพราะทำให้ด่าคนได้สะดวก ตอนนี้จิ่งอวิ๋นมีเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและยิ่งใหญ่กว่า นั่นก็คือสอบจอหงวนและเป็นขุนนางใหญ่โต ให้ท่านแม่ได้ใช้ชีวิตเป็นเศรษฐีนีสาวผู้มั่งคั่ง!

ชื่อเสียงของสำนักศึกษาแพร่ออกไปไกลจนมีเด็กอีกหลายคนในละแวกนี้มาเรียนด้วย ทำให้ห้องเรียนเล็กๆ มีคนแน่นขนัด เด็กที่อายุมากที่สุดคือสิบสองขวบและเด็กที่อายุน้อยที่สุดคืออายุห้าขวบ นั่นคือจิ่งอวิ๋นและวั่งซู

ถูกต้อง หลังจากผ่านไปหนึ่งปี พวกเขาก็อายุเพิ่มขึ้นมาหนึ่งปี!

ซิ่วไฉเฒ่าจัดพวกเขาสองคนไว้ตรงกลางแถวแรกของห้องเรียนเพื่อจะได้ดูแลพวกเขาง่าย เช่นการเช็ดน้ำลายให้วั่งซูขณะที่นางแอบหลับเป็นต้น

เด็กทั้งหลายต่างเป็นเด็กซุกซน ย่อมมีทะเลาะกันบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่ระวังก็อาจลงไม้ลงมือกัน แต่ทั้งสองคนมีผู้คุ้มกันตัวน้อยสุดแกร่งและแสนจะดุร้าย ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะถูกรังแก

เสี่ยวไป๋ตามเจ้าซาลาเปาน้อยมาเรียนทุกวัน ฟังบ่อยเข้า เห็นบ่อยเข้าก็เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ไม่น้อย มันบวกลบเลขจำนวนน้อยกว่าสิบได้ทั้งหมด และเหมือนจะเก่งกว่าวั่งซูเสียอีก!

แดดจ้าต่อเนื่องมาหลายวัน หิมะในทุ่งนาละลายหมดแล้ว เฉียวเวยเตรียมตัวจะพลิกหน้าดินของที่นาดินเค็มผืนนั้น แล้วรอให้อุณหภูมิสูงขึ้นอีกสักหน่อยค่อยเริ่มหว่านเมล็ด

หลังจากส่งเด็กๆ ไปสำนักศึกษา เฉียวเวยก็เข้าเมืองพร้อมไก่ป่าที่นางจับได้

กระต่ายป่าและไก่ป่าพวกนั้นดูเหมือนจะฉลาดขึ้น พวกมันไม่เดินเข้าไปในกรงของนางอย่างโง่ๆ อีกแล้ว นางดักไว้หลายวันแต่จับได้เพียงตัวเดียว ดูเหมือนว่าจะต้องย้ายกรงไปที่อื่นแล้ว

นางนั่งรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อ ตั้งแต่ทำคลอดให้ชุ่ยอวิ๋นผู้ถูกป้าหวังตัดสินชีวิตว่า ‘ต้องตาย’ ได้สำเร็จ คนในหมู่บ้านก็ไม่หลบเลี่ยงนางเหมือนเมื่อก่อน ตาเฒ่าซวนจื่อเชื้อเชิญนางขึ้นรถม้าด้วยรอยยิ้ม แล้วยังลดค่าเช่ารถม้าให้นางห้าอีแปะเพื่อเป็นการขอโทษ

เฉียวเวยไปขายไก่ป่าที่ตลาดสดก่อน หลังช่วงปีใหม่ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น แต่ก่อนขายได้ตัวละแปดสิบอีแปะ คราวนี้กลับขายได้หนึ่งร้อยอีแปะ

เฉียวเวยนำเงินไปซื้อเนื้อแกะและปลาไนสดใหม่ให้เด็กๆ หลังจากนั้นนางจึงไปที่โรงตีเหล็กเพื่อเลือกเครื่องมือสำหรับเพาะปลูก เช่น จอบ เสียม พลั่ว คันไถ คราด คราดถี่ปรับหน้าดินและอื่นๆ

คันไถต้องใช้คู่กับวัว แม้เฉียวเวยจะไม่มีวัว แต่ตาเฒ่าซวนจื่อมีอยู่ตัวหนึ่ง นางเช่าจากเขาได้

ขั้นต่อไปคือแรงงานคน พื้นที่สิบหมู่ไม่ใช่พื้นที่เล็กๆ อาศัยตัวนางเพียงคนเดียวไม่สามารถเพาะปลูกเองได้ทั้งหมด

“ฮูหยิน! ท่านอยู่ที่นี่เอง!” เฉินต้าเตายิ้มร่าพร้อมกับถือดาบเล่มใหญ่เดินเข้ามา หลังจากได้เป็นหัวหน้าพรรคชิงหลง เขาก็ดูฮึกเหิมมากกว่าเดิม!

เฉียวเวยเหลือบมองดาบเล่มใหญ่ในมือ “เจ้าแบกเจ้านี่เดินไปทั่วตลาดเช่นนั้นหรือ”

เฉินต้าเตารีบเอาดาบซ่อนไว้ข้างหลังแล้วยิ้มกริ่ม “เหตุใดฮูหยินไปโรงตีเหล็กเล่า ซื้อสิ่งใดหรือ”

เฉียวเวยตอบว่า “เครื่องมือปลูกพืช”

เฉินต้าเตาอ้าปากกว้าง “ฮูหยินจะทำนาหรือ”

ไฉนเป็นคนของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีแล้ว ยังต้องใช้ชีวิตลำบากเช่นนี้อีกเล่า

อืม เขารู้แล้ว!

ทำเพราะใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี!

บุตรีจวนเอินปั๋วอะไรนั่นอยู่ในเมืองหลวงอยู่ดีกินดี สุขกายสบายใจ ส่วนฮูหยินของพวกเขากลับลำบากตรากตรำทำงานหนัก เลี้ยงลูกสองคนตามลำพัง หากเป็นเขา เขาก็คงสงสารฮูหยินมากกว่า!

ไม่มีวิธีไหนทำให้บุรุษใจอ่อนได้มากกว่านี้แล้ว!

ฮูหยินฉลาดจริงๆ! กลอุบายล้ำเลิศนัก!

ปลูกๆ งานนี้ต้องทำนา!

ต้องบอกว่าสมองของเฉินต้าเตาช่างมีจินตนาการสูงส่ง

เฉินต้าเตาขับรถม้าที่อู๋ต้าจินทิ้งไว้ไปยังโรงตีเหล็ก รถม้าคันนี้ปัจจุบันตกเป็น ‘รถส่วนตัว’ ของเขาแล้ว จากนั้นบรรทุกอุปกรณ์ทำการเกษตรของเฉียวเวยทั้งหมดขึ้นรถ “ฮูหยิน! ท่านจะเริ่มเพาะปลูกเมื่อใด ข้าจะพาพวกพี่น้องไปช่วย!”

อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ พอง่วงก็มีคนส่งหมอนมาให้!

เฉียวเวยยิ้มหวาน “พรุ่งนี้”

วันรุ่งขึ้น นักเลงกลุ่มหนึ่งเดินอาดๆ เข้ามาในหมู่บ้านซีหนิวด้วยท่าทางดุร้าย หัวหน้านั่งอยู่บนรถม้าสีดำ ลูกน้องทั้งหลายเดินตามหลังมาเป็นโขยงด้วยท่าทางฮึกเหิม รังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาทำให้สุนัขในหมู่บ้านหวาดกลัวจนปัสสาวะราด!

ชาวบ้านทั้งหลายมือหนึ่งคว้าเด็ก อีกมือหนึ่งฉวยเก้าอี้ เผ่นแผล็วกลับเข้าบ้านทันควัน!

จากนั้นก็แนบตัวอยู่บนบานประตู สอดส่ายสายตามองลอดช่องประตู เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้อย่างเงียบๆ

ชาวบ้านเห็นพวกเขาเดินไปทางที่ดินร้างฝั่งตะวันออกของหมู่บ้านพร้อมกับรังสีอำมหิต จากนั้นก็เห็นพวกเขายืนล้อมเสี่ยวเฉียวด้วยท่าทางโหดเหี้ยม เสี่ยวเฉียวต้องตกใจกลัวเป็นแน่ นางยกเท้าได้ก็วิ่งทันที!

คนกลุ่มนั้นยกพวกไล่ตาม!

วิ่งเข้าไปหาเสี่ยวเฉียว…

แย่แล้ว!

กำลังจะตามทันแล้ว!

“ไปให้พ้น เจ้าพวกเดรัจฉาน”

ป้าหลัวถือเคียวปรี่เข้ามาด้วยท่าทางดุร้าย แล้วเหวี่ยงเคียวใส่พวกเขา!

กลุ่มคนแตกฮือหลบ!

ป้าหลัวพาเคียวถลาลงไปในทุ่งนา ล้มหน้าทิ่มจนปากเต็มไปด้วยดินโคลน

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งคว้าตัวนางไว้จากนั้นจับแขนข้างหนึ่งของนางไพล่หลัง

เฉียวเวยหยุดเดิน แล้วหันมามองด้านนี้ พอเห็นชัดว่าเป็นป้าหลัว แววตาก็ชะงักวูบ “หู่จื่อ หยุด!”

หู่จื่อปล่อยป้าหลัว

เฉียวเวยเดินเข้ามาหาแล้วถามอย่างสงสัย “เหตุใดท่านมาที่นี่เล่า”

ที่แท้การปกป้องครอบครัวอย่างไม่คิดชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรปานนั้น ดูสิ พริบตาเดียวนางก็พุ่งออกมา ตัวนางเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไป

ป้าหลัวนั่งอยู่ในนาอย่างหมดสภาพ มองเฉียวเวยอย่างน่าเวทนา “เจ้า…เจ้าไม่เป็นอะไรนะ ข้าคิดว่าพวกเขา…พวกเขา…”

พูดจบก็ก้มหน้าหงอยเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด

เฉียวเวยยิ้ม “ข้าสบายดี คนพวกนี้เป็นพี่น้องที่ต้าเตาพามาช่วยข้าไถพรวนดิน ท่านเคยพบต้าเตาแล้วกระมัง วันที่ข้าเข้าเมืองหลวง ข้าให้เขามาส่งจดหมายให้ท่าน”

เฉินต้าเตายิ้มร่าเดินมาด้านหน้า “ท่านป้า จำข้าได้หรือไม่ขอรับ”

ป้าหลัวประหลาดใจ “ข้าจำได้ ข้าจำได้!” นางกวาดสายตามอง แล้วพูดอย่างหวั่นกลัว “เจ้ามีพี่น้องมากเช่นนี้เชียว…”

คืนนั้นเขาฝ่าหิมะมาคนเดียว สภาพน่าเวทนา มองไม่เห็นความองอาจแม้แต่น้อย ป้าหลัวคิดว่าเขาเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ไหนเลยจะรู้ว่า…

เฉินต้าเตายิ้มอย่างภาคภูมิใจ แต่จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันไปตบศีรษะของหู่จื่อ “เจ้ามีตาหรือไม่ นี่แม่บุญธรรมของฮูหยิน! อยากโดนตัดมือใช่หรือไม่”

หู่จื่อพึมพำ “ก็ข้าไม่รู้…”

“ถ้าเช่นนั้นเมื่อครู่เจ้าวิ่งทำไม” ป้าหลัวถามเฉียวเวย

เฉียวเวยจึงตอบว่า “ข้าทิ้งเครื่องมือไว้ด้านนั้น จึงจะพาพวกเขาไปเอา!” นางกล่าวจบก็ชี้เครื่องมือทำการเกษตรที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ป้าหลัวอายมากจนแทบอยากเอาจอบมาตีตัวเองให้สลบเสีย โชคดีที่ไม่มีผู้ใดถูกตัดมือ ไม่อย่างนั้นคงเป็นบาปกรรม

ตกอกตกใจทั้งที่ความจริงไม่มีอันใดยกหนึ่งแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ ‘คลี่คลายความขัดแย้ง’ ได้อย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มแผนการเพาะปลูกของเฉียวเวย

เฉียวเวยเช่าวัวสี่ตัวและคันไถสามคัน เพราะนางมีคันไถของตนเองอยู่แล้วคันหนึ่ง วัวตัวหนึ่งเป็นของตาเฒ่าซวนจื่อ อีกสามตัวเป็นของคนในหมู่บ้านนี้และคนในหมู่บ้านข้างๆ เฉียวเวยจ่ายค่าเช่าวัวตัวละสองร้อยอีแปะให้ตาเฒ่า แล้วแต่ว่าเขาจะให้ราคาค่าเช่ากับเจ้าของวัวเช่นไร

ความก้าวหน้าของเครื่องมือมีส่วนอย่างยิ่งในการกำหนดประสิทธิภาพของการทำงาน คันไถทรงโค้งเป็นคันไถสมัยปลายราชวงศ์ถัง มีความล้ำหน้า ประสิทธิภาพสูงและคล่องตัวมากกว่าคันไถแบบตรงในสมัยราชวงศ์ฮั่น แต่เมื่อเทียบกับเครื่องมือไถนาสมัยใหม่ก็นับว่ายังห่างชั้นมากอยู่ดี

วัวสี่ตัวไถพรวนดินสิบหมู่เสร็จในหนึ่งวัน เป็นการประมาณการณ์ในแง่ดีแล้ว

คันไถ คราด คราดถี่ปรับหน้าดิน คือสามขั้นตอนของการทำนาแบบแห้ง

ขั้นแรกใช้คันไถพลิกหน้าดินเป็นก้อนใหญ่ๆ ขึ้นมาก่อน จากนั้นใช้คราดทำให้ก้อนดินกลายเป็นดินละเอียด สุดท้ายใช้คราดถี่ปรับหน้าดินเพื่อเกลี่ยดินให้สม่ำเสมอ

คันไถและคราดถี่ปรับหน้าดินต้องใช้วัวมาช่วยทุ่นแรง ถือเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะ ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ ตาเฒ่าซวนจื่ออาสารับผิดชอบคันไถคันหนึ่งอย่างกล้าหาญ

เฉียวเวยมองเฉินต้าเตาผู้กำลังเกาศีรษะ “ข้าทำไม่เป็น…”

หู่จื่อ “ข้าทำเอง ข้าเคยไถนา!”

ขาดอีกสอง

ป้าหลัวไถนาไม่เป็นจึงกลับบ้านไปเรียกบุตรชายคนโตที่กำลังหยอกล้อลูกน้อย บุตรชายคนเล็กกับสามีออกไปทำงานข้างนอก ต้องหาเพิ่มอีกหนึ่งคน

นางเจอบิดาของชุ่ยอวิ๋นพอดี

เฉียวเวยช่วยชีวิตบุตรสาวกับหลานชายของเขาไว้ บิดาของชุ่ยอวิ๋นไม่พูดพร่ำก็รับปากทันที