บทที่ 75 เขาไม่ใช่คนแบบนั้น

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 75 เขาไม่ใช่คนแบบนั้น

บทที่ 75 เขาไม่ใช่คนแบบนั้น

ย่านช็องเซลิเซ่ ลานติง วิลล่า

ถังหว่านยืนอยู่ที่ลานบ้าน สีหน้าของเธอเผยความรู้สึกเหลือเชื่อออกมา

ไม่มีเวลาเนี่ยนะ?

โจวอี้บอกว่ายุ่งงั้นเหรอ?

เขาคงไม่รู้ว่าต้องมาพบพ่อแม่ของเธอเพราะอะไรใช่ไหม?

ถังหว่านยืนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เห็นได้ชัดว่าโจวอี้เป็นคนวางสายไปก่อน

ความโกรธพุ่งพรวดขึ้นมา ความคับข้องใจที่รุนแรงทำให้จมูกของเธอแดงก่ำ

โจวอี้เคยบอกว่าเขาจะชดเชยและดูแลเธอกับลูกสาว แต่พอถูกขอให้มาพบพ่อแม่ของเธอ เขากลับปฏิเสธออกมาง่าย ๆ

คำสัญญาเป็นเพียงลมปากงั้นสิ?

ถังหว่านรู้สึกว่าหัวใจของเธอถูกพรากไปพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ค่อย ๆ รินไหล แต่แล้วเธอก็ยิ้มให้กับตนเองที่เคยไปคาดหวังกับผู้ชายคนนี้

“เขาจะกลับมาเมื่อไหร่” ฉินฮุ่ยเฟินถามขึ้นจากด้านหลัง

ถังหว่านรีบเช็ดน้ำตาแล้วปรับอารมณ์ของเธออย่างรวดเร็ว หญิงสาวหันกลับไปส่ายหัวกับมารดา “เขามีบางอย่างต้องทำค่ะ วันนี้เลยมาไม่ได้”

“อะไรจะสำคัญไปกว่าการมาพบพวกเรา” ฉินฮุ่ยเฟินขึ้นเสียงทันที

“หนู…”

เธอกำลังจะหาเหตุผลเพื่อที่จะอธิบาย แต่โทรศัพท์มือถือของเธอสั่นขึ้นเสียก่อน

เธอยกมือขึ้นและเปิดข้อความใหม่ที่ได้รับ

[ฝากขอโทษพ่อแม่คุณด้วย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคน ตอนนี้ผมไม่สามารถกลับไปหาได้จริง ๆ พรุ่งนี้ผมจะรีบกลับไปหานะ

ผู้ส่ง: โจวอี้]

ถังหว่านตกตะลึง

เธอเพิ่งจะนึกถึงตัวตนของโจวอี้ได้

ตอนนี้เขากำลังรักษาคนไข้อยู่รึเปล่า วันนี้ก็เลยกลับมาไม่ได้?

“แม่คะ เขา…”

ถังหว่านกำลังจะเอื้อนเอ่ย แต่โทรศัพท์มือถือของเธอก็สั่นอีกครั้ง หญิงสาวจึงเปิดข้อความอีกรอบ

[คุณพ่อคุณแม่รู้ว่าคุณถูกกระทำมาหลายปี พวกเขาคงไม่พอใจผมมาก ผมจะขอโทษและสำนึกผิดต่อหน้าพวกเขาในวันพรุ่งนี้ ผมจะเตรียมตัวทันทีที่งานของผมเสร็จ แต่ช่วยดุด่าและทุบตีผมน้อย ๆ หน่อยนะ (อิโมจิหน้ายิ้ม)]

“ไอ้บ้า…”

ถังหว่านอารมณ์ดีขึ้นมาก ใบของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เธอเพิ่งเข้าใจโจวอี้ผิดไป และตอนนี้เขาคงจะยุ่งมาก

“ถังหว่าน แม่กำลังคุยกับลูกอยู่นะ โจวอี้ทำแบบนี้ คิดว่าทัศนคติของเขาจะแย่แค่ไหน” ฉินฮุ่ยเฟินตะโกนด้วยความโกรธ

ถังหว่านจึงวางโทรศัพท์มือถือลงแล้วอธิบายว่า “แม่คะ โจวอี้ต้องหางานหลังจากที่มาอยู่เมืองนี้”

“ลูกหมายความว่ายังไง เขามาไม่ได้แล้วเกี่ยวอะไรกับงาน? งานของเขาสำคัญแค่ไหนกัน” เฉินฮุ่ยเฟินถามอย่างโกรธเคือง

“เขาทำงานในโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิง อย่างที่แม่รู้ ตอนที่เขาอยู่ในหมู่บ้านโจวเมี่ยว เขาเรียนแพทย์แผนจีนกับอาจารย์ของเขา” ถังหว่านอธิบาย

“เป็นอะไรนะ…หมอ? เขา…” ฉินฮุ่ยเฟินไม่อาจพูดต่อ น้ำเสียงจึงอ่อนลงทันที

“นี่คือข้อความที่เขาส่งมาให้หนู ลองอ่านดูค่ะ!” ถังหว่านยื่นโทรศัพท์มือถือให้มารดาดู

ฉินฮุ่ยเฟินขมวดคิ้ว

เรื่องสำคัญ?

กลับมาพรุ่งนี้?

รู้ว่าพ่อแม่ของคุณไม่พอใจ และยอมรับการลงโทษ?

ความโกรธของฉินฮุ่ยเฟินหายไปทันที

เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ไร้เหตุผล เธอรู้แล้วว่าเขาเป็นหมอ เขาจึงต้องรักษาผู้ป่วยและช่วยชีวิตผู้คน ทำให้ไม่สามารถมาที่นี่ได้ในขณะนี้

นอกจากนี้เมื่ออ่านแล้วก็รู้สึกว่าทัศนคติของเขาค่อนข้างดีทีเดียว

เธอคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบถาม “เสี่ยวหว่าน เขาออกมาจากภูเขาชางหลางเพื่อตามหาลูก ไม่ใช่เพราะเขารู้ว่าลูกเป็นดาราดังและมีเงินหรอกนะ…”

“แม่คะ แม่กำลังคิดอะไรอยู่ โจวอี้ไม่ใช่คนแบบนั้น”

“พลัดพรากจากกัน ไม่เจอกันนานกว่าห้าปีแล้วใช่ไหม ลูกรู้เหรอว่าเขาคิดอะไรอยู่ ตอนนี้ลูกเป็นดาราดัง มีเงินมากมาย อาศัยอยู่ในบ้านหรู ขับรถหรู มีชื่อเสียง ร่ำรวย เขา…” ฉินฮุ่ยเฟินกังวล

“แม่ มากับหนูหน่อยสิ” ถังหว่านขัดจังหวะผู้เป็นแม่แล้วเดินออกจากลานบ้านไป

ฉินฮุ่ยเฟินไม่รู้ว่าลูกสาวจะพาไปไหน แต่เธอก็ยอมเดินตามไปด้วย

ถังหว่านมาถึงลานบ้านก็ชี้ไปที่อาคารวิลล่าแล้วพูดว่า “เขาซื้อวิลล่านี้เอง หนูไม่รู้ว่าเขาซื้อบ้านข้าง ๆ จนตอนที่เขาย้ายเข้ามา หนูแน่ใจว่าแม่รู้ว่าบ้านหลังนี้ราคาเท่าไร ”

“ราคาปัจจุบันคือยี่สิบล้านไม่ใช่เหรอ?” ฉินฮุ่ยเฟินลังเล

“มากกว่ายี่สิบล้าน” จากนั้นหญิงสาวก็ชี้ไปที่รถออฟโร้ดรุ่น Knight XV ที่จอดอยู่ในสนาม “ส่วนรถคันนี้ราคามากกว่ายี่สิบล้านหยวน เขาก็ซื้อเองเหมือนกัน”

“ราคาเท่าไหร่นะ?” ฉินฮุ่ยเฟินตกตะลึง

มากกว่ายี่สิบล้านหยวน?

โจวอี้ซื้อเองเหรอ?

เขาไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ? เขาไม่ได้มาจากภูเขาทุรกันดารหรอกเหรอ?

“แม่คะ หนูทำงานมาหลายปีแล้วแต่ยังไม่สามารถซื้อรถคันนี้ได้ด้วยเงินเก็บ แม่คิดว่าเขาหวังเงินของหนูเหรอ” ถังหว่านถาม

“นี่… ไม่ ไม่” ฉินฮุ่ยเฟินกล่าว

“แต่นั่นไม่สำคัญหรอกค่ะ ความต้องการของหนูมีแค่เรื่องเดียว ตราบใดที่เขารักเหมียวเหมี่ยวอย่างจริงใจ ทำให้เหมียวเหมี่ยวไม่ขาดความรักของพ่อ และสามารถเติบโตอย่างแข็งแรงและมีความสุขหนูก็พอใจแล้ว”

“นั่นยังไม่พอ เขาต้องปฏิบัติต่อลูกอย่างดีด้วยสิ” ฉินฮุ่ยเฟินบ่นทิ้งท้าย

ณ พาราไดซ์คลับ

ทุกคนโล่งใจที่พายุผ่านพ้นไปโดยไม่มีอันตรายใด ๆ

เมื่อโจวอี้และคนอื่น ๆ กลับมายังอาคารฝั่งตะวันตก พวกเขาก็ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาในคลับ ท่าทางดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่

พวกเขาจึงต้องรีบออกไปอีกครั้ง

ภาพตรงหน้าคือกลุ่มชายฉกรรจ์แปดคน

หัวหน้ากลุ่มเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างสูง โกนหัว มีแผลเป็นที่แก้มซ้าย ส่วนดวงตาวาบปลาบดุร้ายยิ่งนัก

“ใครคือหลี่หงอี้ ออกมา!”

“เขายุ่งมาก ไม่มีเวลาทักทายผู้คนหรอก ถ้ามาที่นี่เพื่อหม้อระงับวิญญาณก็มาคุยกับผม หม้อระงับวิญญาณอยู่ในมือผมแล้ว” โจวอี้พูดอย่างใจเย็น

“เอาหม้อระงับวิญญาณมาให้ฉัน แล้วฉันจะไว้ชีวิตแก” ชายวัยกลางคนหัวล้านสั่งออกมาเสียงกร้าว

“ไม่ถามเหรอว่าผมเป็นใคร?”

“แกคือใคร?”

“ศิษย์สำนักโอสถ โจวอี้”

“แกเป็นลูกศิษย์สำนักโอสถเหรอ” ชายหัวล้านตกตะลึง

“ถูกตัอง” หลังจากที่โจวอี้พูดจบ เขาก็ยกวัตถุสีดำขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมา มันเป็นหม้อขนาดใหญ่ บนตัวหม้อสลักคำว่า ‘ยา’ สีทอง

“แก…” ชายวัยหัวล้านลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบพูดขึ้นว่า “ขอโทษนะ ลาก่อน”

ก็แค่นั้นแหละ!

คนอื่น ๆ ที่เหลือจึงพากันถอยหนีไปทีละคน

โจวอี้มองตามหลังก่อนจะผุดรอยยิ้มขึ้น “ผมรู้แล้ว”

“รู้อะไร?” หวงไห่เทาถาม

“ถ้าวันนี้มีศัตรูเข้ามาอีกก็ไม่ต้องพูดให้มากความ แค่เปิดเผยตัวตนและแสดงป้ายว่าเป็นคนจากสำนักโอสถ แค่นั้นก็ทำให้พวกมันกลัวหัวหดแล้ว” โจวอี้ยิ้ม

“…”

หวงไห่เทาพูดไม่ออก คนอื่น ๆ รอบตัวก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“น้องโจว ป้ายที่บอกว่ามาจากสำนักโอสถนั่นทำให้คนกลัวกว่าหม้อระงับวิญญาณอีกเหรอ?” เฉิงฮ่าวถามขึ้น

“ผมเองก็รู้สึกแบบนั้น” โจวอี้กล่าว

จากนั้นพวกเขาก็หัวเราะ