บทที่ 45 ตระกูลหลินไม่ใช่สถานที่ดีที่จะอยู่

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 45 ตระกูลหลินไม่ใช่สถานที่ดีที่จะอยู่

หลินเหราเปล่งเสียงถามขึ้นอีกครั้ง

ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยไร้อารมณ์ ริมฝีปากบางขยับขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาทั้งคู่ฉายแววเย็นชา

สะใภ้โจวกลัวจนร่างกายสั่นเทิ้ม

น้ำเสียงของแม่หวังดูแข็งกร้าวขึ้นขณะที่นางพูดออกมา “นังนั่นหอบลูกกลับไปบ้านพ่อแม่ของมันแล้ว…”

เมื่อหลินเหราได้คำตอบ เขาก็ไม่ได้กล่าวอันใดอีก กระโจนขึ้นม้าแล้วมุ่งหน้าออกจากหมู่บ้านตระกูลหลิน

หลังจากที่หลินเหราจากไป ในที่สุดสะใภ้โจวก็รู้สึกถึงความอบอุ่นของดวงอาทิตย์อีกครั้ง เลือดเริ่มไหลไปเลี้ยงแขนขาอีกครา ทำให้นางเริ่มรู้สึกตัว

หลังจากนั้นนางก็พึมพำว่า “พี่ใหญ่…ดูเหมือนเขาจะมีบางอย่างแตกต่างไปจากแต่ก่อน”

แม่เฒ่าหวังไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนี้และไม่ได้สังเกตถึงสิ่งผิดปกติ นางเอ่ยว่า “รีบไปทำงานเสีย!”

ในขณะที่พูดนางก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน

นางต้องการถามลูกชายคนเล็กของตนว่าต้องการกินอะไรเป็นอาหารกลางวัน

หลินเหราขี่ม้าออกไปจากหมู่บ้านตระกูลหลิน ไม่นานจากนั้นเขาก็มุ่งตรงไปที่บ้านตระกูลเหยา

การแสดงออกของเขายังคงเย็นชาดังเดิม ทว่าหัวใจของเขารู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างรบกวนจิตใจตลอดเวลา เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่เขาจากภรรยาและลูก ๆ ก่อนที่เขาจะไปร่วมกับกองทัพ ภรรยาของเขาเพิ่งตั้งท้องลูกอีกหนึ่งคน ยังไม่รู้ว่าลูกเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? แล้วตอนนี้ลูกของเขาแข็งแรงดีหรือไม่?

บ้านของตระกูลเหยา

หลานชายคนที่สองของตระกูลเหยานั่งอยู่ที่ประตูบ้าน เขากำลังฝึกทักษะการวาดภาพของตนบนพื้น เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากไกล ๆ ก็คิดว่าพ่อของเขากลับมาแล้ว เขาจึงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและรอให้เหยาเฉาอุ้มเขาขึ้นหลังม้าเหมือนเช่นทุกที

ทว่าจู่ ๆ เสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นก็หยุดลง เขาเงยหน้าขึ้นและพบว่าเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย

“ท่านแม่ทัพ!”

เมื่อเห็นการแต่งกายของชายผู้นั้น เอ้อหลางก็ตกตะลึง จากนั้นก็ตะโกนเข้าไปในลานบ้านด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย “มีท่านแม่ทัพใหญ่มาบ้านเรา!”

เมื่อเห็นแม่ทัพดึงบังเหียนบนหลังม้า แผ่นหลังตั้งตรงใบหน้าสะท้อนแสงทำให้มองสีหน้าไม่ชัด แต่รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก เอ้อหลางไม่กล้าที่จะมองหน้าของอีกฝ่ายจนกระทั่งคนที่อยู่บนหลังม้าเอ่ยถามว่า “เจ้าหนู ผู้ใหญ่ในบ้านของเจ้าอยู่บ้านหรือไม่?”

เหยาเอ้อหลางตัวสั่นสะท้าน ขาแขนของเขาเกิดอาการชา ขนแขนลุกชันไปทั่วทั้งร่าง

ไม่ใช่เพราะเขากลัว แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงของคนที่อยู่หลังม้าที่กำลังมองหน้าเขาทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก

“อยู่ อยู่ในบ้านขอรับ!”

เหยาเอ้อหลางรีบเรียกสติคืนมา เด็กน้อยทั้งแปลกใจทั้งตื่นเต้น เมื่อเห็นผู้มาใหม่ลงจากหลังม้าก็รีบพาเข้าไปในบ้านแนะนำอย่างกระตือรือร้น “ท่านแม่ทัพ นอกจากท่านพ่อของข้าแล้วทุกคนล้วนอยู่ในบ้านขอรับ!”

หลินเหราผูกม้าไว้ที่ด้านหน้าประตูและเดินตามเหยาเอ้อหลางเข้าไปในบ้านตระกูลเหยา

เสียงร้องตะโกนของเหยาเอ้อหลางทำให้ทุกคนในตระกูลเหยาได้ยินเช่นกัน

เดิมทีเด็กทั้งสามคนกำลังฝึกเขียนหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ

เหยาเอ้อหลางเบื่อหน่ายกับการอ่านหนังสือมากที่สุด จึงหาข้ออ้างแอบออกไป จึงเป็นคนแรกที่พบกับหลินเหรา

ทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกน หลานชายคนโตของตระกูลเหยาก็โยนพู่กันที่ฝึกเขียนตัวอักษรในมือทิ้งและเตรียมตัวออกไปเล่นเรื่องสนุก

หลินจื้อและหลินซือถูกเหยาเฟิงจับตามองอยู่ พวกเขาเองก็อยากจะโยนพู่กันทิ้งไปเหมือนกัน แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของลุงใหญ่ จึงได้จับพู่กันและก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสือต่อ

สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองกำลังเย็บผ้าอยู่กับแม่เฒ่าเหยาในห้องหลัก เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหลานชายจึงเงยหน้าขึ้นมองที่ประตู

พ่อเฒ่าเหยานอนอยู่บนยุ้งข้าวเพียงลำพัง เขาเขย่าเปลไปมาพลางหลับตาพักผ่อน เมื่อได้ยินคำพูดของหลานชายคนรองก็ลืมตาลุกขึ้นขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ

ซานเป่ายังคงนอนหลับลึก แม้ฟ้าร้องก็ไม่สามารถปลุกเขาได้ ทารกตัวน้อยยังนอนหลับสงบอยู่ในเปล

แม่เฒ่าเหยาเห็นว่าพ่อเฒ่าเหยายังไม่ตื่นเต็มที่จึงวางเสื้อผ้าในมือลง พร้อมเอ่ยกับสะใภ้ทั้งสองว่า “ข้าจะออกไปดูเอง”

พี่สะใภ้รองเมื่อได้ยินลูกชายของตัวเองร้องโวยวายก็รู้สึกปวดหัวจึงบ่นกับพี่สะใภ้ใหญ่อย่างอดไม่ได้ “เอ้อหลางกำลังเรียนหนังสืออยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดเขาถึงหนีออกไปอีก!”

การให้เด็กอ่านหนังสืออย่างสงบเหตุใดจึงเป็นเรื่องยากเช่นนี้

อีกด้านหนึ่ง

แม่เฒ่าเหยาเดินออกไปที่ประตูก็เห็นลูกชายคนโตเดินออกมาจากห้องหนังสือเช่นกัน

ทั้งสองมองหน้ากันอย่างสงสัย จากนั้นก็ได้ยินเสียงเอ้อหลางตะโกนขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพาชายร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเข้ามาในเรือน…

ผู้มาใหม่มีสายตาดุจดวงดาวแสนเหน็บหนาว ท่าทางองอาจและกล้าหาญ แม้อายุยังน้อยแต่กลับดูสุขุมเยือกเย็น

แม่เฒ่าเหยาจ้องเขม็งอยู่ครู่ใหญ่ แม้นางจะรู้สึกคุ้นตาทว่าก็นึกไม่ออก จึงแอบพูดกับลูกชายคนโตว่า “นี่เป็นคนของจวนผู้ตรวจการหรือเปล่า? หรือว่ามาตามหาอาเฉา”

ยังไม่ทันพูดจบก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างตื่นเต้นดังลอยแว่วมา “ท่านพ่อ!”

อาจื้อวิ่งออกมาจากห้องหนังสือแทบจะกลิ้งได้ ก่อนจะพุ่งเข้ากอดผู้มาใหม่ จากนั้นก็ถูกชายร่างสูงใหญ่อุ้มขึ้น

เด็กน้อยตะโกนไม่หยุด “ท่านพ่อ! เป็นท่านจริง ๆ หรือ! ท่านไม่ได้ตายไปแล้วหรอกหรือขอรับ!”

ด้วยความตื่นเต้นทำให้น้ำตาของอาจื้อพลันไหลออกมา “ข้ารู้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่…ข้ารู้! เหตุใดท่านเพิ่งกลับมา!”

หลินเหรากอดอาจื้อไว้ในอ้อมแขนด้วยมือข้างเดียว เขายกมืออีกข้างหนึ่งเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อย ชายหนุ่มก้าวมาข้างหน้าสองก้าว โค้งคำนับให้กับแม่เฒ่าเหยาอย่างนอบน้อม

“แม่ยาย” จากนั้นพยักหน้าให้กลับเหยาเฟิง “พี่ใหญ่”

แม่เฒ่าเหยามองโครงร่างที่คล้ายคลึงกับอาจื้อ ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้และมองไปที่เหยาเฟิงกับหลินเหรา นางตื่นเต้นจนพูดไม่ออก “หลินเหรา เจ้ากลับมาแล้ว!”

“ท่านพี่! อาจวน อาเว่ย! ออกมาดูลูกเขยของเราเร็ว เขากลับมาแล้ว!”

คนที่ตายไปแล้วในสายตาของทุกคน บัดนี้กลับยืนอยู่ตรงหน้า ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ แม่เฒ่าเหยาอยากให้คนทั้งโลกรู้ว่าลูกเขยของนางกลับมาแล้ว “อาเฟิงรีบไปตามอาซูกลับมาจากในเมืองเร็วเข้า!”

ตระกูลเหยาเริ่มคึกคักขึ้นมา

เมื่อพ่อเฒ่าเหยาและพี่สะใภ้ทั้งสองของตระกูลเหยาได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็รีบออกมาต้อนรับ แม้แต่เด็กบางคนก็ออกมาจากห้องหนังสือและมองสำรวจผู้มาใหม่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

แววตาของแม่เฒ่าเหยาเต็มไปด้วยความปิติยินดี นางเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น “กลับมาก็ดีแล้ว…กลับมาก็ดีแล้ว”

หลินเหราโค้งคำนับ พ่อเฒ่าเหยาและพี่สะใภ้ทั้งสองคน ก่อนจะพยักหน้าให้กับพ่อเฒ่าเหยา “ข้ารีบกลับมาจึงไม่ได้เตรียมของขวัญให้กับท่านพ่อตาและแม่ยาย ต้องขอโทษด้วย”

พ่อเฒ่าเหยาแย้มพูด “ครอบครัวของเราให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านั้นที่ไหนกัน เข้าไปในบ้านกันเถิด คืนนี้พวกเราต้องดื่มฉลองกันเสียหน่อย!”

ทุกคนต้อนรับขับสู้หลินเหราอย่างดิบดีและพากันเดินเข้าไปในห้อง

เมื่อเห็นว่าเหยาเฟิงกำลังจะขับเกวียนออกไป พ่อเฒ่าเหยาก็ตะโกนเรียกเขาอย่างเคืองขุ่น “อาเฟิง! อย่าลืมพาอาเฉากลับมาด้วยล่ะ”

“เข้าใจแล้วขอรับ!” เมื่อลูกเขยกลับมาถึงบ้าน พ่อเฒ่าเหยาก็อยากจะดื่มในคืนนี้ โดยไม่มีใครรู้ว่าชายชราจะดื่มเข้าไปมากเท่าใด

เหยาเฟิงออกไปอย่างรวดเร็ว

อาจื้อร้องไห้สะอึกสะอื้นในอ้อมกอดผู้เป็นพ่อ หลินเหราไม่ได้เอ่ยปลอบใจ เขาทำเพียงมองหน้าเล็ก ๆ ของลูกชายด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ใบหน้าที่เย็นชาของหลินเหราพลันอ่อนลง เอ่ยออกมาแผ่วเบา “หยุดร้องไห้ได้แล้ว”

อาซือยืนอยู่ข้าง ๆ ตะโกนเสียงเบา “พี่ชาย…”

นางไม่เคยเห็นพี่ชายของนางร้องไห้เช่นนี้มาก่อน พลางคิดในใจว่าคนที่อุ้มพี่ชายอยู่คือท่านพ่องั้นหรือ?

ใบหน้าขาวไร้เดียงสาของเด็กหญิงปรากฏริ้วชมพูระเรื่อ ดวงตาสีดำสนิทคู่โตของนางมองสำรวจชายที่กอดอุ้มพี่ชายของตนด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หลินเหราเหมือนกับเห็นภรรยาจากใบหน้าของลูกสาว…

นางยังสบายดีอยู่ไหมนะ? ข่าวคราวของเขาหายไปเป็นปี ๆ ไม่รู้ว่านางจะโทษตัวเองอย่างไร

“อาซือ มานี่มา”

น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ด้วยกลัวว่าจะทำเด็กน้อยตกใจ จึงเอ่ยเสริมว่า “มาหาพ่อ”

อาซือเห็นพี่ชายพยักหน้าจึงเดินเข้าไป ต่อมาก็ถูกหลินเหราอุ้มขึ้นมาด้วยแขนอีกข้างหนึ่ง

ทันทีที่ถูกอุ้ม อาซือก็แน่ใจแล้วว่าชายผู้นี้คือพ่อของตน เมื่อก่อนนางมักจะถูกเขากอดอยู่บ่อย ๆ

อ้อมกอดของบิดาแตกต่างจากมารดา

ท่านแม่ต้องใช้สองแขนในการอุ้มนาง ทว่าท่านพ่อกลับสามารถอุ้มตนและพี่ชายได้ในเวลาเดียวกัน…

แม้ว่าความนุ่มนวลของท่านพ่อจะด้อยกว่าท่านแม่ แต่อย่างน้อยนางก็รู้สึกถึงความอบอุ่นใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

มองใบหน้าพี่ชายที่เต็มไปด้วยน้ำตา นางก็ยิ้มและยื่นมือเล็ก ๆ ของนางไปเช็ดน้ำตาให้เขา “พี่ชายน่าอาย…”

หลินจื้อและหลินซือต่างหัวเราะออกมา

เมื่อทุกคนเข้ามาในห้อง หลินเหราไม่ได้วางเด็กทั้งสองลง ราวกับว่าพวกเขายังกอดกันไม่มากพอ แม้กระทั่งนั่งก็ไม่ยอมแยกออกจากกัน

แม่เฒ่าเหยานั่งมองอยู่ฝั่งตรงข้ามอยู่ครู่ใหญ่ นางระบายยิ้มบาง ๆ แล้วพูดกับลูกสะใภ้ทั้งสอง “ข้าพูดมาตลอดว่าเอ้อเป่าหน้าตาเหมือนกับแม่ แต่ต้าเป่ากลับไม่เหมือนอาซู ตอนนี้เมื่อมานั่งมองเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าหลานชายคนนี้หน้าตาเหมือนกับพ่อของเขา!”

พี่สะใภ้ใหญ่พยักหน้ารับเห็นด้วย “วันหน้าหลานชายจะมีใบหน้าหล่อเหลาเหมือนกับน้องเขยเป็นแน่เจ้าค่ะ”

จากนั้นพี่สะใภ้รองจึงพยักหน้าเห็นด้วย แต่ไม่ได้พูดอะไร ในใจกลับคิดว่าอาซูจะตามสามีของนางกลับบ้านหรือไม่ ตระกูลหลินไม่ใช่สถานที่ดีที่จะอยู่เลย

………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ท่านพ่อยังไม่ตาย เด็ก ๆ สองคนเจอพ่อแล้ว แง

ไหหม่า(海馬)