บทที่ 44 หลินเหราฟื้นคืนชีพ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 44 หลินเหราฟื้นคืนชีพ

ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่อทุกอย่างฟื้นตัว ชาวนาในหมู่บ้านก็เริ่มออกไปทำสวนไร่นา เพื่อรอหว่านปุ๋ยหลังจากฤดูใบไม้ผลิหวนคืน

เดิมทีวันนี้เป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่ง ยามเช้าตรู่ ผู้เฒ่าฟางแห่งหมู่บ้านตระกูลหลินแบกจอบพาลูกชายคนโตไปยังทุ่งนา

เนื่องจากดินพึ่งละลายกลายสภาพจากน้ำแข็งสู่สภาพเดิม จึงต้องใช้แรงอย่างมากในการหว่านปุ๋ยพรวนดิน

สองพ่อลูกยุ่งตั้งแต่เช้าตรู่จนพระอาทิตย์ขึ้น นั่งลงบนคันนาเพื่อดื่มน้ำพักผ่อน เพียงพวกเขานั่งลง หูก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นดังมาจากทางเข้าหมู่บ้าน ผู้ที่เป็นบุตรชายจึงกล่าวด้วยความประหลาดใจ

“วันธรรมดาไม่ใช่เทศกาล ไม่น่ามีเรื่องเร่งด่วนอันใด เหตุใดถึงมีคนขี่ม้ามายังหมู่บ้าน”

ทันทีที่เขาพูดจบก็มีร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นที่ทางเข้าหมู่บ้าน

ผู้มาใหม่ควบม้าสีน้ำตาลแดงทั้งตัว แม้จะแต่งกายด้วยเครื่องแบบทหาร ทว่าก็ดูไม่เหมือนทหารธรรมดา มองไกล ๆ เหมือนมีพลังกดดันแผ่ออกมาราวกับว่าเพิ่งกลับมาจากสนามรบ ทั้งเคร่งขรึมและโหดเหี้ยม

ครอบครัวชาวนาทั่วไปไม่เคยเห็นผู้ใดน่าเกรงขามเยี่ยงนี้มาก่อนในชีวิต สองพ่อลูกตระกูลหลินคิดว่าจะเข้าไปดูคนผู้นั้นเสียหน่อย แต่ดูเหมือนว่าชายผู้นั้นกลับมุ่งตรงไปยังฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน ดึงดูดสายตาของชาวบ้านไม่น้อยเลยทีเดียว

“ช่างสง่างามราวกับแม่ทัพยิ่งนัก!”

เมื่อเห็นลูกชายอ้าปากกว้างสีหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา ชายชราจึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ดูท่าทางไร้อนาคตของเจ้าเอาเถิด! หากได้เป็นทหารจริง ๆ อย่าว่าแต่ขี่ม้าเลย ต่อให้หนีเอาชีวิตรอดก็ไม่เร็วเท่าคนอื่น อย่ามัวแต่เพ้อฝันอยู่เลย ทำงานซะ!”

เมื่อเหล่าผู้ชายในหมู่บ้านเห็นม้าวิ่ง พวกเขาต่างก็พากันออกมาดูว่าเกิดเหตุใดขึ้น แม้แต่เด็ก ๆ ในหมู่บ้านที่ได้ยินเสียงม้าวิ่งก็พากันวิ่งออกมาดู จากนั้นจึงเห็นชายคนนั้นควบม้าวิ่งผ่านไปจนถึงหน้าเรือนใหญ่แล้วถึงได้หยุดลง

ประตูลานบ้านไม่ได้ปิดเอาไว้ สตรีที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงออกมาดู สตรีนางนั้นคือแม่โจวผู้เป็นน้องสะใภ้ของเหยาซู

สะใภ้โจวเห็นม้าตัวใหญ่หยุดอยู่ที่ประตูบ้าน นางตะลึงงันไปชั่วขณะ ก่อนจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของผู้มาใหม่ หลังจากนั้นก็กรีดร้องออกมา

“ผี…ผี!”

หลินเหราขมวดคิ้ว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปาก น้ำเสียงดุร้ายของแม่หวังแม่สามีของสะใภ้โจวก็ดังขึ้นทันที ฝีเท้าของนางฟังดูเร่งรีบ คิดว่าคงได้ยินเสียงจึงรีบออกมาดู

“ตะโกนหาพระแสงอะไร! ตอนเที่ยงยังไม่ได้ทำกับข้าวเลย! รอให้ข้าปรนนิบัติพวกเจ้าทีละคนหรืออย่างไร!”

ร่างเงาของหญิงชราปรากฏขึ้นที่หน้าประตูทั้งด่าทอลูกสะใภ้ไปด้วย “กินข้าวตั้งมากมาย แต่ทั้งตัวกลับไม่มีแรงเลยหรือ?”

ใบหน้าของสะใภ้โจวขาวซีด นางชี้ไปที่ด้านนอกด้วยอาการสั่นเทาจนพูดไม่ออก เมื่อแม่หวังเห็นผู้มาใหม่ นางถึงกับขมวดคิ้วแน่น “เจ้าใหญ่? เจ้ากลับมาได้อย่างไร?”

แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้ว ดวงตาคมกริบทอประกายดุจดวงดาวบนฟากฟ้า สีหน้าไร้อารมณ์ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกหายใจไม่ออก ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากเอ่ยคำใด

หลินเหราเห็นว่าแม่ถามเช่นนั้นจึงตอบเสียงเข้ม “สงครามสิ้นสุดแล้ว ย่อมต้องกลับบ้าน!”

ในสนามรบกระบี่ไร้ตา มิอาจคาดเดาได้ว่าผู้ใดจะอยู่หรือตาย รอยแผลบนใบหน้ายังไม่หายดี ผมของเขามัดขึ้นเป็นมวย ทว่าความสง่ายังไม่หายไป

แม่หวังไม่ค่อยสนิทกับลูกชายคนโต ยามเห็นเขากลับมาก็ไม่ได้รู้สึกยินดี นางเบ้ปากแล้วเอ่ยว่า “เหมือนกับสะใภ้แพศยานั่น คนเช่นเจ้าน่ารังเกียจเหมือนสุนัข แต่กลับยังมีชีวิตรอดกลับมา!”

หลินเหราไม่ได้แปลกใจในท่าทางของแม่หวัง และสิ่งที่เขาสนใจก็ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ เมื่อได้ยินแม่หวังพูดถึงเหยาซู เขาจึงลงจากม้า นัยน์ตาของเขาฉายแววประหลาดใจ ทำให้ผู้คนไม่เข้าใจว่าในตอนนี้เขามีความสุขหรือโมโหกันแน่ เขาถามนางด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ภรรยาของข้าเล่า?”

เมื่อพูดถึงเหยาซู โทสะของแม่หวังก็ลุกโชนขึ้นมา ตั้งแต่ที่พวกนางได้พบกับเหยาซูและเหยาเฟิงในเมืองเมื่อหลายเดือนก่อน ตระกูลหลินของพวกนางก็เกิดเหตุการณ์ไม่ดีมาตลอดทั้งปี

ประการแรกเมื่อหลายวันมานี้ ยามคนบ้านหลินออกไปทำธุระนอกบ้าน มักจะมีคนในหมู่บ้านจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาแปลก ๆ

หลังจากนั้นวันที่ 30 ของปี หลี่เจิ้งวิ่งมาที่บ้านตระกูลหลิน เตือนแม่หวังว่าอย่าทำตัวเด่นเกินไปในช่วงนี้ หากหมู่บ้านตระกูลหลินทำเรื่องบีบบังคับสะใภ้จริง ๆ เรื่องนี้คงไม่จบง่าย ๆ

ครานี้พวกเขาไม่สามารถแหย่รังแตนได้

หลังจากที่พวกเขากลับมาจากในเมือง ช่วงบ่ายก็มีคนในหมู่บ้านกำเริบเสิบสานเริ่มแพร่กระจายฉายา ‘ไร้เมตตา’ ของแม่หวัง ทุกคนพูดถึงเหยาซูและกล่าวชื่นชมนางไม่หยุดไม่หย่อน

มีชายชราคนหนึ่งในหมู่บ้านเตือนสะใภ้โจวว่า “อย่าเห็นว่าพวกเขาเป็นเด็กกำพร้าแลแม่ม่ายแล้วเจ้าจะรังแกได้ตามอำเภอใจ ไม่แน่ว่าสักวัน ลูกชายคนโตของตระกูลหลินคงจะทนดูต่อไม่ไหวแล้วคลานขึ้นมาจากหลุมศพเพื่อคิดบัญชีกับพวกเจ้า เขาเป็นผีที่ผ่านสนามรบมา แค่บีบคอก็พรากชีวิตน้อย ๆ ของพวกเจ้าไปได้แล้ว”

สะใภ้โจวจำฝังใจเรื่องผีมาครึ่งเดือนแล้ว พอได้เห็นหลินเหรากลับมาจริง ๆ ก็ตกใจแทบเป็นลม

แม่หวังพยายามข่มกลั้นความเดือดดาลไว้ในใจแล้วพูดกับหลินเหราว่า

“นางแพศยานั่นทนอยู่บ้านสกุลหลินไม่ได้ กลับไปเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเหยา มีชีวิตมั่งคั่ง คนธรรมดาอย่างตระกูลเราจะไปเลี้ยงดูนางได้อย่างไร! ข้าพูดเพียงไม่กี่คำกับนาง กลับเกิดความโกลาหลขึ้น ทั้งหมู่บ้านต่างบอกว่านางช่างกตัญญู…เฮอะ กตัญญูงั้นเหรอ กตัญญูกับหมาน่ะสิ!”

ใบหน้าของหลินเหราไม่ได้แสดงอาการใด ๆ แต่มือที่กุมบังเหียนเอาไว้ต่างบีบแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว “แล้วภรรยาของข้าเล่า?”

………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

นังแก่คนนี้ยังไม่รู้ตัวสินะว่าอีกไม่นานชะตาจะถึงฆาต ดูท่าทางลูกคนโตพร้อมที่จะบวกแม่ตัวเองทุกขณะอย่างไรไม่รู้

ไหหม่า(海馬)