บทที่ 110 – การเติบโตของอิกดร้า

 

ในระหว่างที่เรนะใช้ความคิดอยู่นั่นเอง.. จู่ๆ โบราณสถานแห่งนี้ก็สั่นสะเทือน ตั้งแต่ที่เรนะและมิวเข้ามา นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดการสั่นสะเทือนแบบนี้

“…แผ่นดินไหวเหรอ.. ไม่สิ ที่นี่ไม่ใช่เกาะแต่เป็นแผ่นดินใหญ่แถมไม่ใกล้ทะเล จะมีแผ่นดินไหวมาแต่ไหน”

เรนะถูกดึงออกมาจากห้วงแห่งความคิด เพราะการสั่นสะเทือนนี้มันเริ่มจากเบาๆ และค่อยๆ แรงขึ้นโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงแม้แต่น้อย

มิวที่นั่งอยู่ห่างออกไปก็ตอบสนองโดยการหลบมาทางที่เรนะอยู่.. เพราะเรนะเองก็มีประสบการณ์การต่อสู้มากขึ้นแล้ว

เธอในตอนนี้ถ้าเป็นพวกระดับที่ไม่เก่งมาก เธอสามารถจัดการได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียวเลยด้วยซ้ำ

ไม่ว่าจะการตอบสนองหรือสัญชาตญาณในการต่อสู้ของเธอต่างก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่แน่ๆ ถ้ามีไอ้ตัวระดับเดียวกับตอนแรกที่ตัดแขนมิว

มันไม่ได้มีโอกาสทำแบบนั้นอีกแน่ๆ ซึ่งทันทีที่มีการสั่นสะเทือน สัญชาตญาณของเรนะที่เฉียบคมขึ้นก็สัมผัสถึงอันตรายมาได้กลายๆ

พวกเธอในตอนนี้หลบอยู่ในห้องแห่งหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นห้องพักของคนที่เคยอยู่ที่นี่ ด้านนอกคือทางเดินยาวที่มีห้องแบบนี้อีกหลายห้อง

มีประตูบานเดียวและไม่มีหน้าต่าง.. บางทีที่แห่งนี้อยู่ใต้ดินมาตั้งแต่แรกแล้วเลยไม่มีหน้าต่าง.. และการสั่นสะเทือนนี้ส่งผลให้หินที่ใช้สร้างสถานที่แห่งนี้แตกร้าวได้เลย ทั้งที่ตอนแรกไม่ได้แรงขนาดนั้น

“นี่มัน….”

มิวพึมพำอย่างสับสน เธอเองก็มีสัญชาตญาณที่เหนือกว่าเรนะด้วยซ้ำ ซึ่งเธอสัมผัสได้ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีเท่าไหร่นัก

“อย่างที่คิด เหมือนจะมีสัตว์ประหลาดที่ควบคุมพวกสัตว์ประหลาดตัวอื่นอยู่จริงๆ การสั่นสะเทือนที่ค่อยๆ รุนแรงขึ้นนี่..”

“มันกำลังมุ่งหน้ามาทางเรางั้นเหรอ”

เรนะไม่ค่อยมั่นใจกับสถานการณ์ ทำไมที่แห่งนี้ถึงสั่นสะเทือน.. แต่ในขณะที่กำลังครุ่นคิดนั้นเองเสียงของมิวก็ดังขึ้น

“ระวั—”

แต่มันก็ช้าเกินไป เพราะในพริบตาตอนมาหินที่เป็นกำแพงก็แตกร้าวอย่างรวดเร็ว กิ่งก้านไม้สีดำสนิทพุ่งออกมาจากผนังด้านหลังเรนะ

ยังดีที่มิวตอบสนองกับการซุ่มโจมตีได้อย่างรวดเร็ว เธอยื่นมือไปผลักร่างของเรนะจนล้มไปด้านข้างส่งผลให้กิ่งไม้สีดำโจมตีพลาดเป้า

ทันทีที่มันโจมตีพลาดเป้า เสียงเอี๊ยดอ๊าดก็ดังขึ้นราวกับหงุดหงิด กิ่งก้านไม้เริ่มโจมตีอย่างป้าคลั่งฟาดใส่กลางอกของมิวอย่างรุนแรง

ร่างของมิวกลายเป็นว่าวที่เหมือนสายป่านขาด พุ่งไปอัดกระแทกเข้ากับผนัง กระอักเลือดคำโตออกมาเพราะแรงกระแทก แต่ก็ไม่ได้นับว่าบาดเจ็บหนักขนาดนั้น

“แก!!”

เสียงของเรนะดูหงุดหงิดไม่น้อย แต่ว่าเรนะเองก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเธอตอบโต้โดยสะบัดมือเป็นแนวตั้งขึ้น

ตามมาด้วยคมดาบสายลมที่มองไม่เห็นตัดสะบั้นใส่กิ่งก้านไม้สีดำให้แตกกระจุยกระจายทันที เรนะรู้ว่านี่เป็นแค่การงอกร่างของมัน

ไม่ใช่ร่างที่แท้จริง.. ต้องออกไปจากที่นี่ก่อน เรนะดีดตัวไปอุ้มร่างของมิวพร้อมกับออกจากห้องไปอย่างว่องไว

ทว่าในจังหวะนั้นเองกิ่งก้านไม้สีดำก็พุ่งมาจากใต้พื้นรัดขาของเรนะเอาไว้จนเธอล้มหน้าฟาดพื้น

“บัดซบ”

เรนะบ่นออกมาพร้อมกับกิ่งไม้สีดำที่แตกกระจุย.. ทว่ากิ่งไม้สีดำใหม่ก็พุ่งขึ้นมาจากใต้พื้นรัดเธอไม่ให้เธอหลบหนีออกไป

ท่ากิ่งไม้อีกกิ่งที่กำลังจะพุ่งมาเสียบเธอก็แห้งเหี่ยวลงกะทันหัน ก่อนจะสลายหายไปพร้อมกับกิ่งที่รัดเธอเอาไว้

เรนะตามแผนการของมันทันแทบจะทันที ไอ้เจ้าพวกนี้มันฉลาดขึ้นทุกครั้งที่ต่อสู้กันเลย ก่อนอื่นที่เรนะสู้กับมันตลอดหลายวันที่ผ่านมา

ความสามารถหลักๆ ที่พวกมันมีโดยการกำเนิดคือการหยั่งรากลงไปยังพื้นดินเพื่อซึมซับพลังชีวิตหรือพลังธรรมชาติอะไรไม่รู้

ซึ่งถ้าหากมันซึมซับพลังที่ว่านี้.. มันจะสามารถฟื้นฟูได้เรื่อยๆ แต่ทว่าพวกมันเหมือนจะไม่สามารถซึมซับพลังที่ว่านั้นได้ตลอดเวลา

เท่าที่เรนะสังเกตดูเหมือนจะไม่เกินสิบวินาที และในระหว่างนี้มันจะต้องมีร่างหลักที่ไม่ได้อยู่ในพื้นด้วย ร่างหลักก็เหมือนเป็นสมองของมัน

มันต่างจากมนุษย์ตรงที่มันสามารถย้ายไปไว้ตรงในของร่างกายก็ได้ ตราบใดที่ร่างไม้ของพวกมันไม่อยู่ใต้ดิน

เจ้ากิ่งไม้ที่โจมตีเธออยู่ตอนนี้ คงมีร่างจริงอยู่ที่ไหนสักแห่งห่างออกไป และมันก็หยั่งรากลงพื้นเพื่อมาโจมตีเธอ

และมันจะไม่ส่งร่างหลักมาทางกิ่งไม้นี้แน่ๆ เพราะหากถูกทำลายมันก็จะตาย แต่กิ่งไม้ที่งอกออกมาโดยไม่มีร่างหลักพวกนี้ถูกทำลายไปยังไงก็งอกใหม่ได้

ตราบใดที่มันอยู่ในพื้น.. ทว่าเรนะไม่คิดว่ามันจะสามารถหยั่งรากมาไกลได้ขนาดนี้ แถมมันยังไม่สามารถหยั่งรากได้เกินสิบวินาที

ซึ่งถ้าหยั่งรากแล้วไม่มีประสิทธิภาพ พวกมันจะเลือกที่จะไม่หยั่งรากมากกว่า.. ทว่าตอนนี้มันเหมือนกับหยั่งรากเพื่อมาโจมตีเธอภายในสิบวิ

มัน..กะจะโจมตีทีเผลอแล้วก็จัดการเธอภายในสิบวิ การทำแบบนั้นได้มันต้องมีความคิดในระดับหนึ่งเท่านั้น

“ไอ้พวกนี้มันจะฉลาดขึ้นทุกครั้งที่เจอเลยหรือไงเนี่ย เหมือนมันกำลังเรียนรู้อยู่เลย”

เรนะพึมพำ ค่อยๆ ลุกขึ้นปัดฝุ่น.. หลังจากเงียบลงก็ไม่มีการโจมตีระลอกใหม่เธอยิ่งมั่นใจว่ามันไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เธอ

“อย่างที่คิด.. มันฉลาดขึ้น แต่ไอ้การต่อสู้เมื่อกี้นี้..นี่มันเรียนรู้จากที่ฉันเคยจัดการตัวก่อนๆ งั้นเหรอ”

“ถ้าเป็นแบบนั้นพวกมันเชื่อมต่อจิตใจกันอยู่?”

“หรือไม่ก็มีใครบงการมันอยู่”

เรนะได้แต่คาดเดา มิวนั่งข้างเรนะแล้วก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่า

“เป็นอะไรไหม?”

“อืม.. ฉันไม่เป็นไร เธอนั่นแหละ เป็นอะไรหรือเปล่า เลือดออกปากเลยไม่ใช่หรือไง?”

“อืม.. เหมือนจะหายแล้ว?”

เรนะมองที่ปากมิวที่พึ่งกระอักเลือด แต่เหมือนจะไม่มีคราบเลือดแล้ว เอาเข้าจริงเหมือนว่ามิวจะเริ่มกลับมาแล้ว

เรนะจึงเดาว่าพลังของมิวคงจะเริ่มกลับมาแล้ว

“ดีแล้ว และมีข่าวร้ายจะบอกว่า พวกเราอยู่ที่นี่นานไม่ได้แล้ว ต้องรีบหาทางออก ไม่ก็รีบจัดการบอสของเจ้าพวกปีศาจไม้นั่น ฉันสังหรณ์ใจว่าขืนปล่อยไว้แบบนี้เราตกที่นั่งลำบากแน่”

“บอส?”

“ใช่ เหมือนว่ามันจะมีคนคอยออกคำสั่งอยู่จริงๆ จากการให้สัตว์ประหลาดไม้มาดักรอเราตามสถานที่ต่างๆ การที่ไม่มีคนควบคุมอยู่ด้านหลังมันแปลกเกินไป อีกอย่างทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกมันก็ตีกันเองแท้ๆ แต่ตอนนี้เหมือนจะไม่ตีแล้ว”

“แบบนี้นี่เอง แล้วจะทำยังไง?”

“จำทางที่เธอเจอได้ไหมมิว?”

“ทางนั้นน่ะเหรอ?”

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ประมาณสามวันได้ มิวได้ไปเจอทางเข้าไปยังห้องทดลองอะไรบางอย่าง ซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างซับซ้อน

เรนะเลือกที่จะไม่เข้าไปเพราะมันน่าจะเป็นกลางโบราณสถานแห่งนี้ ซึ่งน่าจะเป็นห้องทดลองปฏิบัติหลัก เพราะจากขนาดห้องน่าจะใหญ่ที่สุดแล้ว

แต่ทางออกจะไปอยู่ในห้องทดลองได้ไงล่ะถูกไหม.. ทางออกก็ต้องอยู่ด้านหน้าไม่ก็ด้านหลังสิ เรนะจึงเลือกที่จะไม่เข้าไป

แถมทางนั้นก็มีสัตว์ประหลาดเดินอยู่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมดด้วย..

“ใช่ ถึงจะไม่แน่ใจว่ามีทางออกไหม แต่บอสพวกมันน่าจะอยู่ในนั้นนั่นแหละ ถ้าดูจากการเฝ้าของพวกสัตว์ประหลาดนะ แต่ว่า…”

“ในเมื่อหาทางออกยังไม่ได้ก็ไปจัดการบอสพวกมันก่อนน่าจะมีประสิทธิภาพที่สุด”

มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า แต่ว่า…

“ฉันจะไปคนเดียว”