บทที่ 111 – พลังของเรย์น่า
“เพราะว่า.. มันน่าจะอันตรายเกินไป อีกอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ฉันลองคิดค้นท่าใหม่ขึ้นมาแล้วด้วย ซึ่งมันน่าจะช่วยปกป้องเธอได้”
เรนะพูดแบบนั้นพร้อมกับมองไปที่มิว มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็นิ่งไปทันที เธอเองก็ใช้ความคิดเหมือนกัน
ถึงแม้เธอจะไม่มีความทรงจำ จำไม่ได้แม้แต่ชื่อของตัวเอง ถ้าไม่มีเรนะอยู่ด้วยบางทีมิวอาจจะตายไปแล้วก็ได้
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา มิวรู้ดีว่าตัวเองเป็นภาระกับเรนะขนาดไหน ไม่ใช่ครั้งเดียวที่เธอเป็นคนทำให้เรนะตกในที่นั่งลำบาก
แต่ใจหนึ่งเธอก็เป็นห่วงเรนะเหมือนกัน.. แม้มิวจะจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่เธอก็พอดูออกว่าเรนะไม่ใช่คนที่ต่อสู้เก่งกาจอะไรขนาดนั้น
เอาแค่สัญชาตญาณการต่อสู้ มิวเหนือกว่าด้วยซ้ำ แค่มิวไม่มีพลังที่จะทำแบบนั้นได้ก็แค่นั้นเอง
แน่นอนว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมามิวก็พยายามหาสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้อยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
อันที่จริงเรื่องนี้มันมีเหตุผลที่หลายข้อ อย่างแรกพลังของมิวถูกปิดผนึกด้วยพลังของเทพธิดาที่ดูแลหอคอย
ไม่เพียงแค่นั้นพลังที่ถูกลดลงไปครึ่งหนึ่งของมิวมันก็ยังคงเหนือกว่าคนธรรมดาหลายขุมอยู่ดี จนกระทั่งตกมาอยู่ในที่แห่งนี้
ความทรงจำที่สูญเสียไปทำให้สัญชาตญาณทื่อลงไปอีกขั้น เหมือนถูกปิดผนึกสมองไว้ครึ่งหนึ่งเลยก็ว่าได้
ส่งผลให้มิวในตอนนี้จึงเหมือนแบกภูเขาอยู่บนบ่าตลอดเวลา ไม่ใช่แค่ไม่มีพลัง แต่เธอยังยืนอยู่ท่ามกลางความมืดที่มองไม่เห็นไม่รูว่าตัวเองเป็นใคร
ยังดีที่มีเรนะอยู่ด้วย คอยช่วยเหลือตลอด แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ขนาดไหน เรนะก็ปกป้องเธอแบบยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม
ดังนั้นเป็นธรรมดาอยู่ที่แล้วที่มิวจะเป็นห่วงเรนะไม่แพ้กับที่เรนะเป็นห่วงมิว เพราะเรนะเหมือนแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของมิว
พอเห็นมิวเงียบลงไปโดยไม่ตอบกลับมาในทันที เรนะก็พูดต่อว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก”
ว่าแล้วเรนะก็ยกมือขึ้น ทันใดนั้นเองโล่แสงสีทองก็ปรากฏขึ้นรอบตัวของมิว กลายเป็นบอลสีทองขนาดสูงราวสองเมตร กว้างราวสองเมตร
อยู่รอบตัวมิวเอาไว้
“นี่คือท่าที่ฉันพึ่งคิดขึ้นมาได้.. อันที่จริงฉันสงสัยมาสักพักแล้วล่ะ พลังของฉันมันน่าจะใช้ได้มากกว่าที่คิดนะ”
เรนะพูดแบบนั้นพร้อมคิดในใจตัวเองว่า อาจจะเป็นเพราะเธอได้ความทรงจำจากอดีตชาติหรือเปล่าเธอเลยสามารถทำอะไรที่เหนือธรรมชาติในโลกนี้ได้โดยง่าย
ซึ่งต่างจากตอนเป็นเรย์น่า .. ถูกต้อง แนวคิดนี้เป็นแนวคิดเดียวกับที่มิวเคยคิดขึ้นมา นั่นคือเพราะสามัญสำนึกคนจากอีกโลกนั้นล้วนอยู่เหนือสามัญสำนึกปกติของคนบนโลกนี้อยู่แล้ว
ดังนั้นความคิดของเรนะในตอนนี้จึงเป็นเหมือนกับมิวในตอนนั้นเลย.. ใช้สามัญสำนึกจากอดีตชาติในการแสดงฤทธิ์เดชของพลังศักดิ์สิทธิ์
ไอ้พลังสีทองที่ฆ่าสัตว์ประหลาดไปตอนนู้น ตั้งแต่ที่เข้ามาโบราณสถานก็เป็นเพราะสามัญสำนึกของอดีตชาติที่ชื่อเรนะ
เห็นแบบนี้ เรนะก็เป็นคนที่ฉลาดพอตัว.. อย่างที่เคยกล่าวไปว่าเรนะนั้นฉลาดกว่ามิวอย่างแน่นอน
การที่เธอจะสร้างบาเรียที่เหมือนพลังพิเศษนี้ จริงๆ แล้วมันสร้างขึ้นผ่านสูตรที่เธอพอจะเรียนรู้มาจากอดีตชาติ
“สนามพลังนี้จะป้องกันการโจมตีจากภายนอกทุกชนิดได้.. แต่นั่นก็หมายความว่าภายในจะไม่สามารถออกมาได้เช่นกันน่ะ”
ก็นะ สาเหตุที่เรนะไม่คิดจะใช้มาก่อนเลยก็เป็นเพราะว่า เธอไม่ได้ควบคุมมันได้โดยตรง เพราะเธอควบคุมสถานะมันต่างหาก
อย่างแรกเรนะสร้างการเชื่อมโยงระหว่างสสารที่อยู่รอบๆ ตัวมิวและสร้างเป็นสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้า
และทำให้คุณสมบัติดังกล่าวนั้นส่งผลกระทบกับทุกวัตถุที่เคลื่อนที่เข้ามาหาให้สูญเสียความเร่ง ความเร็วหรือก็คือเปลี่ยนพลังงานจลน์กลับไปเป็นศูนย์ทันที แถมเป็นการเสียแบบสมบูรณ์ด้วย
พูดให้ถูกคือวัตถุทางกายภาพทุกอย่างที่เข้ามาใกล้จะหยุดอยู่กับที่ทันทีนั่นแหละนะ แต่อย่างที่บอกพลังนี้คือพลังที่เรนะแทรกแซงปรากฏการณ์เอา
เธอไม่สามารถสลายมันหรือลบมันออกมาได้ และแรงจากภายนอกเป็นยังไง ภายในก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ไม่สามารถออกมาได้
จนกว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของเรนะจะเลิกส่งผลกระทบต่อสสาร ซึ่งต้องรอประมาณหนึ่งวันเลย
อีกนัยหนึ่งก็คือ ถูกขังอยู่ภายในนั่นเอง.. แน่นอนว่าเรนะไม่คิดจะอธิบายสิ่งนี้ให้กับมิวได้เข้าใจ เพราะหากอธิบายสามัญสำนึกนี้อาจจะกลายเป็นสามัญสำนึกทั่วไป
เพราะในที่แห่งนี้มีแค่มิวกับเรนะอยู่กันสองคน เรนะไม่มั่นใจว่าพื้นฐานของที่แห่งนี้จะใช้ร่วมกับโลกด้านนอกหรือเปล่าเรื่องสามัญสำนึก
เธอไม่ต้องการเสี่ยงจึงอธิบายแค่ว่าเป็นพลังพิเศษเท่านั้น
“รอฉันอยู่ที่นี่ เข้าใจไหม?”
เรนะพูดแบบนั้นพร้อมกับมองมิว มิวเองก็มองมาที่เธอเหมือนกัน มิวไม่ได้พูดอะไร เธอรู้ว่าเธอเป็นแค่ภาระ
แต่เธอรู้สึกว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเหมือนกัน สิ่งที่มิวทำได้ในตอนนี้.. คืออะไรกันแน่ เธอสามารถทำอะไรได้ในตอนนี้
มิวก้มมองที่มือตัวเอง.. เธอที่จำทุกอย่างได้ เธอสามารถทำอะไรได้
เรนะเข้าใจสิ่งที่มิวคิดได้ เธอได้แต่ยิ้ม เธอในฐานะเรย์น่าคงจะดีใจขนาดไหนกันนะที่คนตัวเองนับถือราวกับพระเจ้ากำลังเป็นห่วงเธอ
“งั้น…เดี๋ยวฉันมานะ”
เธอพูดแบบนั้นแล้วก็หันหลังให้กับมิว ทว่าก่อนที่เธอจะจากไปมิวก็เรียกรั้งเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยว..”
“อะไรเหรอ?”
เรนะหยุดแล้วหันมามองมิว..
“อย่าตายล่ะ ฉันยังไม่ได้ตอบแทนเธอเลย”
“….คนที่ต้องตอบแทนมันฉันมากกว่านะ แต่..ฉันสัญญา”
“อืม”
ทั้งคู่มองหน้ากัน.. ก่อนที่เรนะจะหันหลังให้ก่อนที่จะมุ่งหน้าจากมิวไป ทิ้งให้มิวยืนอยู่ข้างหลังของเธอ
มิวได้แต่ยืนมองเรนะจากไป.. ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในอกของเธอ เธอไม่สามารถช่วยอะไรสักอย่างเรนะได้เลยงั้นเหรอ
ก่อนที่ดาบเล่มหนึ่งจะปรากฏขึ้นมาในมือของเธอ.. ดาบเล่มนี้คือดาบมหาเผ่าพันธุ์ของผู้กล้าเอริเนีย
เหมือนว่าดาบเล่มนี้เป็นเพียงอย่างเดียวที่พอจะตอบสนองต่อความคิดของมิวได้ ส่วนพลังอย่างอื่นของมิวนั้นมิวก็ไม่แน่ใจ เพราะเธอจำอะไรไม่ได้
แน่นอนว่าสำหรับมิวในตอนนี้เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดาบเล่มนี้สุดยอดแค่ไหน..
“แค่ดาบเล่มเดียวกับคนที่เสียความทรงจำ… จะไปทำอะไรได้ มีแต่เป็นภาระเรย์น่าเปล่าๆ”
มิวถอนหายใจ
…..
…
.
ในห้องที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ซึ่งเป็นการจำลองธรรมชาติให้กับสิ่งมีชีวิตลึกลับ.. สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์จำหัวสัตว์ประหลาดที่ตัวเป็นไม้กดลงกับพื้น
หลังจากให้สัตว์ประหลาดตัวนี้ไปจู่โจมใส่เรนะกับมิวและถูกตอบโต้มา ร่างไม้ที่อยู่ในมือของมันก็เหี่ยวเฉาลงไปทันที
เพราะว่าร่างกายซึมซับพลังงานจากธรรมชาติมามากเกินไปจนทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย เพราะร่างกายของพวกมันไม่ใช่ร่างกายที่สมบูรณ์แบบ
แน่นอนเจ้าสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ดังกล่าวนี้ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘อิกดร้า’ ดวงตาของมันค่อยๆ ลืมขึ้น
“สิ่ง.. มี..ชีวิต พวกนี้.. อ่อนแอ เกินไป”
น้ำเสียงของมันตะกุกตะกักอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมันเองก็เหมือนจะพึ่งเรียนรู้ภาษามาจากที่มิวและเรนะคุยกัน
ซึ่งหากรู้ความจริงดังกล่าวแล้วก็น่าตะลึงที่เรนะและมิวพึ่งอยู่ที่นี่แค่สิบวัน แต่มันกลับเรียนรู้วิธีการพูดได้เหมือนกันแล้ว
ก่อนที่มันจะลุกขึ้นยืนช้าๆ
“ถ้า..เปลี่ยน.. ให้ฉัน.. เป็นคนซึมซับพลังงาน.. แล้วควบคุม..มัน..”
ดวงตาของอิกดร้าเป็นประกายราวกับกำลังสนุกที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ
อย่างที่เรนะคาดเอาไว้…
หากปล่อยไว้นานกว่านี้
คนที่จะตาย..ต้องเป็นพวกเธอแน่!