บทที่ 93 นายใหญ่ลงมือ! ได้ร้านยา

เมื่อพ่อบ้านจูกล่าวหาขึ้นมาเสียงดัง ก็ทำให้จางจู่ปู้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป

ทุกคนในที่นั้นต่างก็กำลังรอคำตอบอยู่ แม้ว่าในใจของทุกคนจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม

ฉือชางไห่แม้จะอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน ก็หาได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจไม่ และนับตั้งแต่ที่เขาอยู่ตำบลฉาซู่มายังไม่เคยเจอพ่อบ้านจูผู้นี้มาก่อน แต่พวกเฉียวเจิ้งถงนั้นเขารู้จักดี

ลูกหลงของเขาปีนี้อายุแปดขวบแล้ว เขาจึงคิดที่จะส่งไปเรียนที่สำนักศึกษาชิงอวิ๋น

แต่น่าเสียดายที่เฉียวเจิ้งถงกับหลินเซวียเหวินเจ้าสุนัขสองตัวนั่นกลับไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย บอกว่าลูกชายของเขาไม่ผ่านเกณฑ์

เฮอะ อะไรคือไม่ผ่านเกณฑ์ ขอแค่มีเงิน อยากจะซื้อตำแหน่งก็ยังเป็นเรื่องง่ายเลยมิใช่หรือ?!

“ข้าเป็นเพียงเถ้าแก่ภัตตาคาร ไหนเลยจะจำขั้นตอนการทำได้ อีกอย่างนี่ก็เป็นสูตรลับ ถ้าข้าให้พ่อครัวมาป่าวประกาศในศาล ไม่เท่ากับเอาสูตรมาเผยแพร่ให้คนทำตามอย่างนั้นหรือ?” ฉือชางไห่ตั้งใจว่าเป็นตายอย่างไรก็จะไม่ยอมรับ

“เจ้าเผากระดาษฟางบนหลุมศพ ไว้หลอกผีหรืออย่างไรกัน!” พ่อบ้านจูตบโต๊ะเสียงดัง “สรุปว่าที่ว่าการของเจ้ามีคนที่พูดจาภาษาคนรู้เรื่องบ้างหรือไม่!”

สีหน้าของจางจู่ปู้เปลี่ยนไปทันที “เจ้าหมิ่นศาล โอ๊ย!”

เขาเพิ่งจะวางอำนาจก็ถูกพ่อบ้านจูกระโดดขึ้นมาชกเข้าไปหนึ่งหมัด และเตะเขากระเด็นออกจากศาลไป “คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน กล้าชี้หน้าด่าข้าอย่างนั้นหรือ?”

สภาพหมดท่าของจางจู่ปู้ ทำให้ฉือชางไห่ตกใจจนต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว เหตุใดถึงมีการลงไม้ลงมือกันด้วยเล่า?

เมื่อก่อนก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอพวกที่แข็งข้อ สุดท้ายแค่ทำเป็นข่มขวัญ ก็จัดการได้เรียบร้อยทุกครั้งไม่ใช่หรือ?

ฉือชางไห่คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะไปเตะโดนตอเข้าให้แล้ว

ขุนนางใหญ่ที่สุดที่ชาวบ้านของตำบลฉาซู่เคยเห็นนั่นก็คือนายอำเภอเจียง รองลงมาก็คือจางจู่ปู้ ทว่าสุดท้ายจางจู่ปู้ก็ยังถูกตีเช่นนี้น่ะหรือ?

พวกเขาสามารถตะโกนชื่นชมว่าทำได้ดีได้หรือไม่? แต่หากตะโกนออกไปแล้วจะถูกจับหรือไม่นะ?

ทุกคนเกิดความลังเลเล็กน้อย

“มายืนขวางประตูทำไมกัน!” มีเสียงคนตะคอกดังขึ้นมา

ทุกคนจึงหันกลับไปมอง “นายอำเภอเจียงกลับมาแล้ว”

“นายอำเภอกลับมาแล้ว!”

นายอำเภอเจียงขมวดคิ้วก่อนจะเดินเข้ามา ก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าทั้งหมด พ่อบ้านจูแค่นเสียงเย็นออกมา “เจ้าคงเป็นนายอำเภอของตำบลฉาซู่กระมัง ข้าอยากจะถามเจ้าหน่อยว่าเป็นนายอำเภอประสาอะไร ถึงได้ปล่อยให้จู่ปู้ของตัวเองและพ่อค้าในท้องที่สมรู้ร่วมคิดกันใส่ร้ายราษฎร และเก็บภาษีเพิ่มส่งเดชเช่นนี้!”

จางจู่ปู้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป นายอำเภอเจียงจึงมองด้วยความตกตะลึง

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”

นายอำเภอเจียงกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งและย้ายไปที่อื่นในเร็ว ๆ นี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะเลื่อนขั้นให้จางจู่ปู้ด้วย เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา จางจู่ปู้ทำงานภายใต้คำสั่งของเขาได้อย่างละเอียดรอบคอบมาโดยตลอด และทำมาแล้วหลายคดี เขาจึงคิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะทำเรื่องเช่นนี้ลับหลังเขา

หากว่าเรื่องนี้ส่งผลต่ออนาคตของเขาด้วยละก็ มีโอกาสสูงที่เขาจะถูกไล่ออกและถูกสอบสวนได้

จางจู่ปู้ฝืนระงับสติอารมณ์ลง “ใต้เท้า ข้าถูกใส่ร้ายขอรับ ผู้น้อยทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ แต่คนเหล่านี้กลับดูหมิ่นศาล ขัดขวางการทำคดี…”

จู่ ๆ เฉียวเจิ้งถงก็ลุกขึ้นยืนและเอ่ยออกมา “ดูท่าเรื่องนี้คงไม่จบง่าย ๆ แน่ ไม่สู้ไปเชิญท่านจื่อโจวมาซักถามอย่างละเอียดจะดีกว่า”

หลินเซวียเหวินรีบเอ่ยทันที “อาจารย์ขอรับ ข้าจะไปเชิญท่านจื่อโจวมาเดี๋ยวนี้ขอรับ”

พ่อบ้านจูโบกมือไปมา เป็นสัญญาณบอกหลินเซวียเหวินว่าไม่ต้องไป ก่อนจะหยิบเอาของสิ่งหนึ่งที่เป็นสีทองระยิบระยับจากในห่อผ้าที่แบกเอาไว้ที่ด้านหลังออกมา ก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่ดังก้อง “ป้ายทองที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้ด้วยพระองค์เอง เห็นป้ายทองเสมือนเห็นองค์ฮ่องเต้ สามารถสั่งตัดหัวทรราชหรือขุนนางที่คิดคดทรยศได้ทันที ยังไม่รีบคุกเข่าอีก!”

นายอำเภอเจียงสะดุ้งขึ้นมาทันที ป้ายทองนี้มีข่าวลือมาว่ามีเพียงถังกั๋วกงที่ตอนนั้นสาบานเป็นพี่น้องกับอดีตฮ่องเต้เท่านั้นที่มี

และมีเพียงถังกั๋วกงเท่านั้นที่นับว่าเป็นกั๋วกงที่มีอำนาจอย่างแท้จริง ในเมืองหลวงต่างมีองค์ชาย ท่านโหว และคุณชายเต็มไปหมด แต่จะมีสักกี่คนกันที่มีอำนาจในมือ

ไม่ต้องพูดถึงตระกูลใหญ่เหล่านั้น แค่โดยเฉพาะถังกั๋วกงนั้นเรียกได้ว่าอยากพบก็พบไม่ได้ มีคนมากมายที่ใช้ทั้งชีวิตก็ยังขึ้นไปไม่สูงเท่าระดับเขา

นอกจากนี้ถังกั๋วกงยังมีอำนาจในการว่าราชการอีกด้วย กั๋วกงคนอื่นที่อาศัยบุญเก่าของบรรพบุรุษ พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นภาพลวงตา เมื่อไม่มีลูกชายที่ได้เรื่องได้ราวมาสืบทอดตระกูล สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็มีเพียงความตกต่ำเท่านั้น

นายอำเภอเจียงยังไม่ทันได้สติ ร่างกายกลับคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว ส่วนพวกชาวบ้านแม้จะฟังไม่เข้าใจว่าพ่อบ้านจูพูดว่าอะไร แต่ท่าทางเหมือนจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา เมื่อเห็นว่านายอำเภอยังคุกเข่า พวกเขาจึงคุกเข่าตามโดยพร้อมเพรียง

ฉือชางไห่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ แข้งขาก็อ่อนแรงเช่นกัน ในหัวมีคำเพียงสองคำเท่านั้นที่ผุดขึ้นมา จบแล้ว

จางจู่ปู้หยิกตัวเองอย่างแรงคิดว่านี่เป็นความฝัน ทว่าสุดท้ายมันไม่ได้เป็นเพียงแค่ความฝัน เขากำลังจะตายแล้วจริง ๆ

เขากลอกตาไปมา อาศัยตอนที่พ่อบ้านจูยังไม่ได้พูดอะไรต่อ ก็รีบชี้ไปที่ฉือชางไห่แล้วเอ่ยขึ้นมา “ฉือชางไห่ เจ้าพ่อค้าหน้าเลือดชั่วช้ากล้าใส่ความชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ชื่อเสียงของข้ากับท่านนายอำเภอถูกเจ้าทำลายจนหมดสิ้นแล้ว เจ้ายังไม่รีบสารภาพความจริงอีกอย่างนั้นหรือ”

ฉือชางไห่ร่างกายอ่อนปวกเปียก เขาคิดอยู่แล้วว่าจางจู่ปู้จะต้องโยนความผิดทั้งหมดมาให้

พ่อบ้านจูเป็นใครกัน จะถูกเจ้าคนเช่นนี้หลอกได้อย่างนั้นหรือ?

พ่อบ้านจูหันไปยิ้มให้กับจี้จือฮวนและเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ “ท่านหมอเทวดาขอรับ ท่านว่าจะจัดการพวกเขาเช่นไรดีขอรับ ข้าสามารถตัดสินให้ได้เต็มที่เลยขอรับ”

จี้จือฮวน “…”

ดูเหมือนว่าจะได้อาศัยบารมีคนที่มีอำนาจเสียแล้ว

“ลงโทษตามกฎหมาย”

พ่อบ้านจูได้ยินดังนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก “นายอำเภอเจียง ที่นี่เป็นเขตอำนาจของเจ้า ดังนั้นลุกขึ้นมาไต่สวนคดีให้ชัดเจน ข้าจะคอยฟังอยู่ข้าง ๆ”

นายอำเภอเจียงคารวะหนึ่งครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นไปเปลี่ยนชุดขุนนางที่โถงด้านหลัง ระหว่างนั้นพ่อบ้านจูก็ได้ถามพวกเฉียวเจิ้งถง และได้รู้ว่านายอำเภอเจียงผู้นี้นับว่าไม่เลวจึงได้วางใจ เหลือแค่รอดูว่านายอำเภอเจียงจะไต่สวนเช่นไร

หัวหน้าสายตรวจหงผู้นี้เป็นคนขี้ขลาด ทว่าคนแรกที่ถูกสอบสวนก็คือเขา

สุดท้ายเจ้าคนผู้นี้ก็เชื่อถือไม่ได้จริง ๆ เขาเล่าทุกอย่างออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ แน่นอนว่าจางจู่ปู้เองก็ไม่ได้ยอมรับผิดทั้งหมด

แม้เขาจะเป็นขุนนางเล็ก ๆ แต่อย่างไรเสียก็ขึ้นชื่อว่าเป็นขุนนาง ขุนนางสมคบคิดกับพ่อค้า จุดจบของเขาจึงน่าอนาถกว่าฉือชางไห่เสียอีก ดังนั้นเขาจึงร้องไห้และเอ่ยขอร้องขึ้นมาทันที “ข้ารับเงินมา แต่ข้าไม่รู้ว่าฉือชางไห่ใส่ความคนอื่น ขอใต้เท้าให้ความเป็นธรรมด้วยขอรับ”

คำพูดนี้ก็เป็นความจริง จุ้ยเซียนจวี่ที่ยิ่งใหญ่ของฉือชางไห่พ่ายแพ้ให้กับสาวชาวบ้านเดิมก็เป็นเรื่องเหลวไหลอยู่แล้ว แต่ไหนเลยจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้กลับเป็นเรื่องจริง และตอนนี้ยังได้ย้อนมาเล่นงานเขาอีกด้วย

นายอำเภอเจียงโมโหจนตัวสั่น เขาตั้งใจทำงานอย่างซื่อสัตย์มาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่สามารถขัดขวางผู้ใต้บังคับบัญชาที่ฉวยโอกาสเช่นนี้ได้ ดังนั้นจึงได้ส่งคนไปค้นบ้านของจางจู่ปู้ทันที พร้อมยึดทุกสิ่งที่ฉือชางไห่มอบให้ทั้งหมด และตอนนี้คดีก็ชัดเจนแล้ว

หัวหน้าสายตรวจหงจึงถูกลงโทษโดยการโบยสามสิบที และถูกไล่ออกจากตำแหน่งหัวหน้าสายตรวจ จางจู่ปู้ไม่ทำตามหน้าที่และรับสินบน จึงถูกนำตัวไปคุมขังและเนรเทศไปหลิงหนาน ส่วนฉือชางไห่ต้องจ่ายเงินชดเชยให้เค่ออวิ๋นไหลเป็นเงินห้าร้อยตำลึง และถูกจำคุกเป็นเวลาสองปี ลูกหลานรวมถึงคนในครอบครัวของเขาถูกตัดสิทธิ์ในการสอบจอหงวน

ฉือชางไห่ดวงตาหม่นแสงลงทันทีก่อนจะสลบไป สิ่งที่เขารับไม่ได้มากที่สุดก็คือลูกหลานของตระกูลฉือจะไม่สามารถสอบจอหงวนได้อีก

เช่นนั้นชาตินี้ตระกูลฉือของพวกเขาก็คงทำได้เพียงค้าขายแล้ว!

จางจู่ปู้เองก็ทรุดลงไปกับพื้นเช่นกัน เนรเทศ ไม่เท่ากับส่งไปตายอย่างนั้นหรือ?

หัวหน้าสายตรวจหงที่ได้รับโทษเบาที่สุด จึงร้องไห้ออกมาพลางเอ่ยขอบพระคุณ ชีวิตนี้พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าสาวชาวบ้านตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะมีคนหนุนหลังใหญ่โตถึงเพียงนี้

“ทำเรื่องที่ไร้คุณธรรมเอาไว้มากก็เท่ากับรนหาที่ตายชัด ๆ” พ่อบ้านจูเอ่ยอย่างดูแคลน

เมื่อคดีจบลงจี้จือฮวนก็ตั้งใจว่าจะพาเผยจี้ฉือกลับบ้าน เห็นได้ชัดว่าคนที่ช่วยพวกเขาในวันนี้คือบุคคลสำคัญในราชสำนัก ตั้งแต่ที่พ่อบ้านจูเอาป้ายทองออกมา เผยจี้ฉือก็ก้มหัวมาโดยตลอด

“ท่านหมอเทวดาขอรับ” พ่อบ้านจูตามมาและเอ่ยขึ้น “ท่านช่วยนายท่านของเราไว้ นี่เป็นของขวัญพบหน้าที่นายท่านของเราต้องการมอบให้ ภายภาคหน้าหากต้องการอะไรเชิญบอกมาได้เลยนะขอรับ”

จี้จือฮวนมองอยู่ครู่หนึ่ง โดยกระดาษแผ่นนั้นก็คือโฉนดของร้านยาแห่งหนึ่ง!