บทที่ 71 บุคคลผู้ลึกลับ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 71 บุคคลผู้ลึกลับ

บทที่ 71 บุคคลผู้ลึกลับ

น้ำแกงปลาจี้มีกลิ่นหอมกรุ่นรสชาติเข้มข้น เมื่อดื่มน้ำแกงลงไปแล้วก็รู้สึกสบายท้องเป็นอย่างมาก หลังจากกินข้าวไปชามใหญ่แล้วก็ต่อด้วยผัดหน่อไม้กับผักดอง ก็รู้สึกถึงรสชาติเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ ที่เข้ากันได้อย่างดีกับข้าว

ฉินซีที่อยู่ข้าง ๆ ไม่เคยเห็นนายท่านรับประทานข้าวมากขนาดนี้มาก่อน มองดูนายท่านที่กินอย่างเอร็ดอร่อยด้วยสายตาอันจดจ่อก็อดที่จะกลืนน้ำลายตามไม่ได้ การที่จะทำให้ความอยากอาหารของนายท่านเพิ่มมากขึ้นได้ อาหารจานนั้นจะต้องมีรสชาติอร่อยเลิศล้ำอย่างแน่นอน

หลังจากที่ฉินเย่จือจัดการอาหารตรงหน้าเสร็จ ฉินซีก็รีบเก็บจานและนำออกไป

เสี่ยวเซิ่งจื่อรออยู่ข้างนอกเป็นเวลานานแล้ว เมื่อเขาเห็นฉินซีออกมา สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย หัวใจที่บีบรัดราวกับถูกปลดปล่อย

เขารีบวิ่งไปข้างหน้า และโค้งคำนับด้วยความเคารพ เสี่ยวเซิ่งจื่อยังครุ่นคิดอยู่ในใจว่าคนผู้นี้มีอายุไม่ต่างจากเขามาก แต่ทำไมท่าทางถึงได้สง่างามถึงเพียงนี้ หากแต่เขาไม่กล้าเอ่ยออกไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าคนที่อยู่ตรงข้ามด้วยท่าทางสง่างาม ทำให้เขาไม่อยากจะยืนข้างพวกเขา

ฉินซียื่นชามและตะเกียบในมือให้กับเสี่ยวเซิ่งจื่อ และเอ่ยขึ้นไม่กี่คำ “ท่านว่าไม่เลว!”

เสี่ยวเซิ่งจื่อราวกับได้ยินคำสั่งการ เขารับของมาอย่างประหลาดใจด้วยหัวใจที่เต้นแรงกว่าเดิม เมื่อก่อนคงเป็นเพราะความกังวลและหวาดกลัว แต่คราวนี้กลับเป็นเพราะความประหลาดใจ ถึงแม้จะเป็นคำสั้น ๆ เพียงสี่คำ มันก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นคำชมที่ยอดเยี่ยมกับคนฟังแล้ว

ยังจำได้ว่าเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว เถ้าแก่ร้านสั่งให้คนไปทำความสะอาดที่ชั้นสาม และมีการตกแต่งภายในเพิ่มเติม คำสั่งของเขาล้วนทำให้ผู้คนแปลกใจ เพราะในปีนี้ไม่มีผู้ใดเคยขึ้นไปใช้ชั้นสามเลย หรือการที่เถ้าแก่ร้านปรับปรุงชั้นสามก็เป็นเพราะจะเปิดดำเนินกิจการใช่หรือไม่?

กระทั่งคืนหนึ่งที่เถ้าแก่ไม่ได้เปิดร้าน และทุกคนในร้านต่างกลับบ้านไปหมดแล้ว เหลือเสี่ยวเซิ่งจื่ออยู่เพียงลำพัง

เสี่ยวเซิ่งจื่อกับเถ้าแก่ร้านเดินไปรอที่หน้าประตูร้านนานกว่าสองชั่วยาม เวลานี้ชาวเมืองนี้ต่างหลับไหล และถนนทั้งสายก็ว่างเปล่า แต่แล้วก็มีรถม้าคันหนึ่งวิ่งเข้ามา

ไม่รู้ว่าด้านในเป็นผู้ใด ความมืดมิดทำให้เห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัด คนคนนั้นสวมเสื้อสีดำและยังใส่หมวกสีดำปิดบังใบหน้าจนมิด เห็นเพียงว่าเขามีรูปร่างสูงใหญ่

ในช่วงสองวันที่ผ่านมา บุคคลนี้ไม่ได้ย่างกรายออกไปที่ใด ทุกอย่างต่างถูกจัดการโดยฉินซีทั้งหมด และเต็มไปด้วยกฎที่เข้มงวด คนอื่นไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปบริเวณชั้นสาม

เถ้าแก่ร้านยังเรียกลูกจ้างภายในร้านออกมา ขอให้ทุกคนอย่าขึ้นไปที่ชั้นสามเด็ดขาด อย่าได้ส่งเสียงตะโกนเสียงดัง ในสองวันที่ผ่านมานี้เหล่าลูกจ้างภายในร้านต่างเกิดความวิตกกังวล พูดคุย ก้าวเดินและกระทำการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง

แต่ร้านนี้ทำกิจการอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงพูดเสียงดังไม่ได้ บางครั้งที่ลูกค้าเกิดเสียงดัง เถ้าแก่ร้านจะเข้าไปขอให้ลูกค้าคนนั้นเบาเสียงลงด้วยตัวเอง เมื่อลูกค้าเกิดไม่พอใจ เถ้าแก่ร้านก็ให้ลดค่าอาหารให้พวกเขาอีกด้วย!

เสี่ยวเซิ่งจื่อกล้ารับประกันเลยว่าตั้งแต่เขาเข้ามาที่ร้านจิ่นฝูแห่งนี้ เถ้าแก่ร้านไม่เคยลดค่าอาหารให้กับลูกค้าแม้แต่คนเดียว คนที่มารับประทานอาหารที่ร้านจิ่นฝูแห่งนี้ล้วนเป็นคนร่ำรวย และมีฐานะมั่งคั่ง พวกเขาไม่สนใจว่ากินข้าวมื้อหนึ่งจะต้องใช้จ่ายเงินเท่าไร

และร้านจิ่นฝูแห่งนี้ก็เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองหลิวเจีย คนที่มากินอาหารที่นี่ล้วนอยากจะมีหน้ามีตา ถึงจะพูดอะไรที่ไม่น่าฟัง แต่แค่มีหน้ามีตาก็เพียงพอ

ความภูมิใจสูงสุดของร้านจิ่นฝูคือไม่เคยลดราคาให้แก่ลูกค้าคนไหน อยากมากินก็มา ส่วนที่ไม่อยากมาก็แสดงว่าพวกเขาเป็นลูกค้าส่วนน้อย ดังนั้นจึงพูดได้ว่า ถึงแม้ร้านจิ่นฝูจะมีราคาแพง แต่ก็มีคนมากินเยอะเช่นเดียวกัน

แต่ครั้งนี้เขากลับให้ส่วนลด ก็หมายความได้ว่าร้านจิ่นฝูแสดงความเคารพ เพราะทำให้คนเหล่านั้นไม่มีความสุขไปเสียแล้ว

เสี่ยวเซิ่งจื่อที่เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ หลังจากที่ลูกค้าคนนั้นมาที่ชั้นสาม ทำให้เขากลายกับเป็นคนขี้สงสัย เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับคนที่พักอยู่บนชั้นสามว่าเป็นใครกันแน่!

อย่างไรก็ตาม เถ้าแก่ร้านและฉินซีก็ยังคงปากหนักราวกับมีคนมาติดหนี้อยู่จำนวนมหาศาล นอกจากเถ้าแก่ร้านและฉินซีแล้ว คนอื่น ๆ ต่างไม่มีใครรู้เลยว่าบุคคลที่อยู่ข้างในเป็นใคร

ทุกคนต่างสงสัยใคร่รู้ แต่ไม่มีใครกล้าถาม ในปีที่เปิดร้านนั้นท่านลุงที่เฝ้าประตูเคยบอกว่าปีที่ก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นหนึ่งครั้ง ดูเหมือนว่าคนคนนั้นเคยมาที่นี่หนึ่งครั้ง และจากไปหลังจากอยู่ได้สองวัน

เสี่ยวเซิ่งจื่ออยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก แต่หัวใจของข้ารับใช้คนนี้ก็ไม่กล้าที่จะละเลย

เมื่อฉินซีจากไป เสี่ยวเซิ่งจื่อก็ถือถาดเดินกลับมาที่ครัวพร้อมกับความปีติยินดี และพบกับเถ้าแก่ร้านที่เดินไปมาอย่างกระวนกระวายใจ

เมื่อหลี่ฝานเห็นเสี่ยวเซิ่งจื่อก็รีบเดินเข้าไปหาเขาและเอ่ยถามอย่างประหม่าว่า “เป็นอย่างไร?”

“เขากินเรียบร้อย และบอกว่ารสชาติไม่เลว!” เสี่ยวเซิ่งจื่อตอบอย่างมีความสุข

เมื่อหลี่ฝานได้ยินว่ากินแล้วและยังบอกว่ารสชาติไม่เลว รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า และปรบมือซ้ำไปมา “เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก!”

หลังจากพูดจบ หลี่ฝานก็ดูเหมือนจะนึกถึงกู้เสี่ยวหวาน และรีบก้าวไปหานางด้วยความร่าเริง “สาวน้อย วันนี้เจ้าช่วยข้าได้มากจริง ๆ”

เมื่อพูดจบ ก็ผายมืออย่างสุภาพ “ไปเถอะ พวกเราไปคุยกันที่ในห้อง!”

เดิมทีกู้เสี่ยวหวานอยากรู้ว่าอาหารจานนี้ถูกยกไปให้ผู้ใด เหตุใดการที่คนคนนั้นบอกว่าอร่อยถึงทำให้เถ้าแก่ร้านมีความสุขถึงขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม ถึงเถ้าแก่ร้านจะไม่พูด แต่กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ใช่คนใจร้อน จึงไม่ได้เอ่ยถามให้มากความ เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่ร้านพานางไปด้วยตนเอง นางจึงเดินตามไปเป็นธรรมชาติ “ท่านอาเถ้าแก่ร้าน เชิญท่านก่อน!”

กิริยาที่เป็นธรรมชาติ ละเอียดอ่อนและไม่แสแสร้ง ราวกับว่าการเคลื่อนไหวร่างกายของสาวน้อยคนนี้สัมพันธ์กับหัวใจ แต่ดูจากการแต่งตัวของสาวน้อยคนนี้แล้ว ท่าทางจะไม่ใช่ลูกของตระกูลร่ำรวย

นางเรียนมารยาทอันสง่างามนี้มาจากที่ใด หลี่ฝานอดที่จะอยากรู้เกี่ยวกับกู้เสี่ยวหวานไม่ได้

หลี่ฝานต้อนรับกู้เสี่ยวหวานอย่างอบอุ่นในโถงซงป่าย ความกระตือรือร้นและรอยยิ้มของเขานั้นเผยชัดเจน ด้วยคำชมเมื่อสักครู่ทำให้เขารู้สึกอิ่มเอม ดูเหมือนว่าคืนนี้เขาจะนอนเต็มอิ่มเสียแล้ว

ตั้งแต่บรรพบุรุษน้อยมาที่นี่ เพื่อทุ่มเทให้กับบรรพบุรุษน้อยผู้นี้ เขาไม่เคยได้กินอาหารดี ๆ หรือนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม ทั้งวันนั่งได้แต่นั่งครุ่นคิดว่าบรรพบุรุษน้อยจะกินอิ่มนอนหลับหรือมีความสุขดีหรือไม่!

……………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

นายท่านที่ชั้นสามมีฐานะยิ่งใหญ่ขนาดไหนกันนะ ถึงไม่มีใครกล้าทำอะไรขัดใจ

ไหหม่า(海馬)