บทที่ 79 ภาพอเวจีอสูรอันลึกลับ
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะรับไว้” ชิงอวี่ไม่ต่อความยาว รับแหวนวงนั้นมา
ไป๋จือเยี่ยนมองนางแล้วพลันเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ได้ยินว่าเจ้าจะเข้าสำนักละอองหมอกอะไรนั่นหรือ?”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“บนแดนนี้มีเรื่องใดที่ข้าไม่รู้บ้าง? เจ้าคิดว่าหอเสาวคนธ์ของข้าเปิดไว้เฉย ๆ งั้นหรือ?” ไป๋จือเยี่ยนตอบด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ ทำท่าราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญนัก
มั่นใจเกินเหตุไปแล้ว!
“ข้าขอพูดอะไรหน่อย เจ้าตามพวกข้ากลับไปแดนเมฆาสวรรค์ไม่ดีกว่าหรอกหรือ? เจ้าจะได้ทรัพยากรมาครอบครองมากกว่าเยอะ เช่นนั้นจะไปสำนักละอองหมอกเพื่ออะไร? พลังเช่นเจ้ายังต้องไปบำเพ็ญตนในสำนักนั่นอีกหรือไร?” ไป๋จือเยี่ยนยังไม่ยอมแพ้ พยายามเกลี้ยกล่อมนางมาแคว้นมาร ไม่ปล่อยโอกาสใดให้หลุดรอดไปได้
ชิงอวี่ฟังเขาพูดแล้วก็มองเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย “พวกคนจากแดนระดับสูงโหดร้ายนัก ทุกวันมีแต่รบราฆ่าฟัน หากข้ากลับไปกับพวกเจ้าด้วยระดับพลังบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ก็คงเหมือนพาตนเองไปตาย หากไม่ใช่เพราะแดนเมฆาสวรรค์มีเหตุยุ่งวุ่นวายเกินไป พวกเจ้าจะต้องมาหลบอยู่ที่นี่ไม่กลับไปสักทีหรือ?”
“…..” ช่างเป็นคำกล่าวที่ทำนายได้ชี้ชัดอะไรอย่างนี้!
สมองของแม่นางน้อยจะคิดอ่านได้เฉียบแหลมรอบคอบเกินไปแล้ว!!
ระหว่างที่คนทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่นั่นเอง โหลวจวินเหยาก็เดินเข้ามา เมื่อสัมผัสได้ว่าบรรยากาศภายในเปลี่ยนไปจึงเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย “คุยอะไรกันอยู่?”
ไป๋จือเยี่ยนไปมองเขาด้วยสายตาประเมินเล็กๆ “เจ้าไปไหนมา?”
โหลวจวินเหยาเหลือบมองคนต้นเหตุไม่เอ่ยคำใด หากแต่ค้นพบว่าซาลาเปาแป้งบางใสหายไปจนหมดสิ้น สีหน้าเขาเปลี่ยนไปในพลัน เอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบ “เจ้ากินไปหรือ?”
ไป๋จือเยี่ยนรู้สึกว่าคำถามนั้นฟังดูประหลาดไร้เหตุผลไปสักหน่อย หากแต่ก็ไม่สงสัยอันใด ตอบกลับไปโดยดี “ใช่แล้ว ข้าหิวก็เลยกินจนหมด ชิงอวี่นำซาลาเปาพวกนี้มาให้ข้าไม่ใช่หรือ?”
พูดแล้วก็มองไปทางแม่นางน้อยเป็นเชิงสอบถาม อีกฝ่ายกะพริบตามองเขาอย่างใสซื่อ
“พวกนั้นเป็นของข้า” โหลวจวินเหยามองไป๋จือเยี่ยนหน้านิ่ง แต่หน้านิ่ง ๆ เช่นนี้กลับดูน่ากลัวยิ่งนัก
ไป๋จือเยี่ยนรู้สึกเสียหน้าในพลัน ดวงตาดอกท้อเย้ายวนมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้น “ว่าไงนะ? เราเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ผ่านเป็นผ่านตายมาหลายปี ข้ากินซาลาเปาเจ้าไม่กี่ลูกไม่ได้เลยหรือไร?!”
“สิบเอ็ดลูก” โหลวจวินเหยาแก้ให้สีหน้าเรีบเฉยยิ่ง
ซาลาเปาชุดหนึ่งมีทั้งหมดสิบสองลูก ลูกหนึ่งถูกใช้แกล้งคนไปแล้ว ที่เหลือตอนนี้อยู่ในท้องไป๋จือเยี่ยน
แท้จริงแล้วเรื่องเช่นนี้ไม่นับเป็นอะไร โหลวจวินเหยาหาซื้อซาลาเปาได้อีกไม่ยากเย็น หากแต่นี่เป็นครั้งแรกที่จิ้งจอกน้อยมอบของขวัญให้เขา แม้จะเป็นเพียงซาลาเปาชุดหนึ่ง แต่ก็มีความหมายไม่ธรรมดา เขาจะยอมให้ไป๋จือเยี่ยนกินพวกมันหมดได้อย่างไร?
ตอนนี้โหลวจวินเหยาจะยังไม่รู้สึกตัวว่าเหตุใดตนจึงรู้สึกดีใจ แค่ไหนยามชิงอวี่มอบซาลาเปาเพียงชุดหนึ่งให้เขา
“โหลวจวินเหยา! ข้าจะบอกเจ้าให้ ข้าทนเจ้ามานานแล้ว! หากเจ้ายังทำเย็นชาไร้หัวใจกับข้าเช่นนี้ต่อไปอีกก็ไม่ต้องเป็นพี่เป็นน้องกันแล้ว!!” ไป๋จือเยี่ยนพลันระเบิดอารมณ์ขึ้น พูดประโยคเมื่อครู่ด้วยเสียงลอดไรฟัน
ชิงอวี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่รู้จะเอ่ยคำใด “…..”
เกิดอะไรขึ้นกัน? ทะเลาะกันเพราะซาลาเปาชุดหนึ่งหรือ??
น่าขันเกินไปแล้ว…..
นางหันมองคนทั้งคู่ด้วยสายตาไร้คำจะเอ่ย ทั้งสองจ้องตากันราวกับมีดาบฟาดฟันอยู่ในดวงตา “เอ้านี่….. ข้ายังมีอีกชุดหนึ่ง หากพวกเจ้าคนใดต้องการก็รับไปเสีย!”
“ข้าต้องการชุดเมื่อครู่เท่านั้น” โหลวจวินเหยาเอ่ยขึ้นอย่างดื้อรั้น
“หึ! ใครสนซาลาเปาไม่กี่ชิ้นของเจ้ากัน! อยากให้ข้าอาเจียนออกมาคืนให้เจ้าหรือไม่?” ไป๋จือเยี่ยนย้อนถาม ทำท่าทางรังเกียจอย่างยิ่ง
“อาเจียนเลย อาเจียนออกมาเดี๋ยวนี้ ของที่เป็นของข้า แม้จะตายแล้วข้าก็ไม่ยอมให้ไปตายในท้องเจ้า”
“…..”
ช่างเป็นตัวอย่างชั้นดีของคู่รักแปลกประหลาดที่ทั้งรักทั้งชังกันเสียนี่กระไร
เกรงว่าให้นางรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่เหมาะ หากนางยังนั่งอยู่ ไม่แน่ว่าอาจล่วงรู้ความลับเรื่องความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งชังที่ซ่อนเร้นของชายหนุ่มทั้งสอง ซึ่งอาจถูกฆ่าปิดปากในภายหลังได้
“พวกเจ้าเชิญเถียงกันต่อไปเถอะ ข้าขอตัวก่อนล่ะ” ชิงอวี่เอ่ยเสียงเรียบ จากนั้นหยิบซาลาเปาอีกชุดที่ไม่มีใครต้องการขึ้นมา ค่อย ๆ เดินจากไปจากตรงนั้น
ก่อนนางจากไป นางยังคงเห็นเหล่าคนด้านล่างยังคงหลับฝันหวานไม่ยอมตื่น อาจเป็นเพราะบรรยากาศดูแปลกประหลาดเหลือทน ดังนั้นจึงไม่มีลูกค้าในร้านเลยสักคนเดียว
มีแต่คนประหลาดผิดปกติทั้งนั้น
หากแต่นางไม่ทันสังเกตว่าหลังจากตัวนางเดินจากไปไกลแล้ว ชายหนุ่มที่ยืนหลับทั้งที่ยังลืมตาอยู่ที่ริมประตูผู้นั้น ผู้ที่ไร้ปฏิกิริยาตอบกลับตั้งแต่ต้นจนจบ พริบตานั้นดวงตาเขากลับเคลื่อนไหวในพลัน จากนั้นพึมพำกับตนเองอย่างครุ่นคิด “แม่นางผู้นี้เป็นใครกัน? ความสัมพันธ์ของนางกับนายท่านต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่!”
“เห็นว่าเป็นผู้มีพระคุณของนายท่าน เคยช่วยชีวิตนายท่านไว้ เบื้องบนออกคำสั่งมาแล้วว่านางเป็นผู้ที่พวกเราไม่อาจล่วงเกินได้”
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หลังโต๊ะจ่ายเงินนยังคงดีดลูกคิดด้วยความเร็วสูง ยามเอ่ยปากพูดเขาไม่เงยหน้าขึ้นแม้แต่น้อย ภาพภายในร้านแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าคนที่หลับไม่ได้สติทั้งยังกรนออกมาเสียงดังผู้นั้นไม่ใช่เขา
“พวกเจ้าสองคนไม่รู้อันใด” ชายหนุ่มที่นอนกางแขนอยู่บนโต๊ะดูท่าทางจะเป็นคนที่ได้นอนสบายที่สุดเอ่ยขึ้น
เขาถูดวงตาที่ยังดูสะลึมสะลือของตน ก่อนจะเช็ดรอยน้ำน่าสงสัยที่มุมปากออก จากนั้นหาวอ้าปากออกมาเสียงยาวอย่างเกียจคร้าน
หากชิงอวี่ยังรั้งอยู่ นางคงจำได้ว่าคนผู้นี้คือชายหนุ่มชุดเทาที่ช่วยนางออกจากหอคอยกั้นวิญญาณ
ยามชายหนุ่มสองคนได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต็มตาในทันที ทั้งสองชะงักไป
“แม่นางท่านนี้ไม่ใช่เพียงผู้มีพระคุณธรรมดา…..”
น้ำเสียงเขาดูมีความหมายลึกล้ำ
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ถึงข้าบอกพวกเจ้าก็ไม่เข้าใจ” ชายหนุ่มชุดคลุมเทาเอ่ยขึ้น ในนัยน์ตามีคำสบประมาทระบายอยู่ จากนั้นหาวน้ำเสียงเกียจคร้านออกมาอีกครั้ง “อย่ารบกวนข้า ขอข้านอนต่ออีกสักหน่อย”
“…..”
เจ้าบ้านี่ชาติที่แล้วไม่ได้นอนหรือไร!?
วันหนึ่งมีสิบสองชั่วยาม สิบชั่วยามหมดไปกับการนอน หนึ่งชั่วยามเอาไว้กิน อีกหนึ่งชั่วยามครึ่งหลับครึ่งตื่น คนผู้นี้เหลือเกินจริง
ชิงอวี่นำซาลาปาที่ยังอุ่นอยู่กลับไปฝากชิงเป่ย เขาไม่ได้ออกจากเรือนมานานหลายปีจึงไม่ค่อยเห็นขนมที่ขายอยู่ภายนอก อย่างไรเขาก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง อีกทั้งของชิ้นนี้ยังเป็นของที่พี่สาวคนโปรดของเขานำมาให้ ดังนั้นเขาจึงตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่ที่ฉินฟางเห็นพรสวรรค์ของเด็กแฝด เขาก็ไม่เข้มงวดกับเด็กทั้งสองคนมากเท่าเมื่อก่อน แต่ก็ยังคอยมาดูการบำเพ็ญของทั้งสองอยู่เป็นระยะ แต่เขากลับจับตามองเยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่อย่างเข้มงวดแทน
เยี่ยนซีอู่ปิดปากนิ่งสงบ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในขณะที่เยี่ยนซีโหรวคร่ำครวญไม่หยุดถึงความยากลำบาก นางถูกเอาอกเอาใจมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่เคยต้องพบเจอเรื่องลำบากเช่นนี้มาก่อน
แม้นางจะกลับไปบ่นกับมารดาที่เป็นพระชายารองของนางก็ไม่อาจช่วยอันใดได้ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นคำสั่งโดยตรงจากเยี่ยนซู่ ผู้ใดก็ไม่อาจสอดมือเข้ามายุ่ง อีกทั้งท่านแม่ของนางยังต้องทนคำถากถางจากพระชายาเอกโม่หานเยียน ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือก
อีกด้านหนึ่ง ชิงอวี่กลับห้องตนเองไปแล้วและกำลังเปิด ‘ตำราแพทย์แดนเซียน’ อ่าน นางเปิดดูบทที่เกี่ยวกับยาพิษและเนื้อหาที่เกี่ยวกับยา
ด้านวิทยายุทธ์ของนางในตอนนี้มีจิตวิญญาณอาวุธจั้งไหมของนางฟื้นขึ้นมาแล้ว ดังนั้นความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของนางจึงเพิ่มสูงขึ้นมาก นางไม่จำเป็นต้องแบ่งพลังไปฟูมฟักเลี้ยงดูจิตวิญญาณอาวุธของนางอีก ตอนนี้สิ่งจำเป็นคือการพัฒนาทักษะความรู้ด้านการแพทย์ของตนให้เฉียบคม แม้ว่าตอนนี้นางจะไม่อาจรู้ได้ว่านางมีพลังอยู่ขั้นไหนก็ตามที
นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง นำพาจิตใจตนเข้าสู่ทะเลจิต พริบตานั้นนางพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่วาบผ่านเข้ามาในจิตใจ
ชิงอวี่ขมวดคิ้วแน่น ใช้นิ้วชี้นวดที่หว่างคิ้วเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
นางไม่ได้ฝืนตนมากเกินไป แล้วเหตุใดจึงมีความรู้สึกเช่นนั้นได้? เคราะห์ดีที่ความเจ็บปวดนั้นสลายไปรวดเร็วนัก
หากแต่เมื่อยามที่นางไม่ทันสังเกตนั่นเอง ภาพเปื้อนเลือดน่ากลัวฉากหนึ่งจากอเวจีอสูรก็วาบผ่านมายังนัยน์ตา ท่ามกลางหมู่ดาวมากมายมีชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งกอดกันแน่น ชุดของทั้งสองเปรอะไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน
มือของชายคนนั้นจับที่ด้ามกริชแหลมคมที่กำลังเสียบเข้าร่าง เขาโอบกอดหญิงสาวไว้แน่นอย่างปกป้อง หากแต่กริชสั้นในมือหญิงสาวกลับเสียบลึกลงที่กลางอกชายผู้นั้น
ชิงอวี่เบิกตากว้าง นัยน์ตาเรียวยาวแฉลบขึ้นของนางแดงก่ำ ดูท่าทางหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
กลุ่มแสงสีทองปรากฏขึ้นที่ข้างกายนาง จากนั้นเด็กหนุ่มผมทองก็ปรากฏตัวขึ้น รีบใช้นิ้วแตะที่กลางหน้าผากนางอย่างแผ่วเบา ร่างของชิงอวี่อ่อนยวบในพลัน ร่างบางฟุบลงบนเตียง
“นายหญิง! นายหญิงเป็นอย่างไรบ้าง!?” จั้งไหมถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เขาทรุดตัวลงนั่งที่ข้างเตียง
“เกิดอะไรขึ้นกับข้า?” ชิงอวี่ขมวดคิ้วแน่น นางยกมือขึ้นสัมผัสหน้าผากตน พบว่าเหงื่อเย็นมากมายกำลังหลั่งไหล
“จิตของท่านถูกดึงไปยังอเวจีอสูรที่เต็มไปด้วยจิตสังหารรุนแรง หากข้าดึงท่านกลับมาไม่ทันเวลา นายหญิงก็คงจะถูกจิตสังหารที่นั่นครอบงำจิตใจ สังหารทุกคนที่เห็นไปแล้ว” จั้งไหมเอ่ยด้วยเสียงเจือความหวาดกลัว ในใจเขายังไม่อาจสงบลงได้
“อเวจีอสูร….. คือที่ไหนกัน…..”
“อเวจีอสูรคือมิติหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยพลังจิตลึกล้ำของผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังเกินหยั่งถึง เป็นเพราะมีเรื่องการฆ่าสังหารดุเดือดเกี่ยวพันด้วยจึงชื่อว่าอเวจีอสูร”
ชิงอวี่เงียบไปในพลัน
นางนึกย้อนไปยังฉากที่เพิ่งฉายชัดในจิตใจ ภาพฉากนั้นมีคนอยู่สองคนคือชายหนุ่มกับหญิงสาวผู้หนึ่ง
ดูท่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเห็นภาพเช่นนี้
นางจำได้ว่ายังมีครั้งก่อนอยู่อีก
เป็นช่วงที่นางหมดสติหลังจากกลับมาจากหอคอยกั้นวิญญาณ นางถูกขังไว้ในมิติแห่งหนึ่ง จำไม่ได้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง สิ่งเดียวที่จำได้คือท้องฟ้าที่นั่นเป็นสีแดงฉาน พระอาทิตย์ก็เป็นสีแดง อีกาทมิฬก็ยังมีสีแดง
อีกาทมิฬฝูงใหญ่ที่ปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายออกมาส่งเสียงร้องอยู่บนท้องฟ้าไม่หยุด เสียงร้องของมันส่งความรู้สึกเย็นยะเยือกบาดหูสู่คนฟัง ราวกับว่าพวกมันกำลังร้องคร่ำครวญให้กับเหล่าผู้คนที่กำลังจะสิ้นลม
นางจำหญิงสาวผู้นั้นได้ แม้จะไม่อาจเห็นหน้านางได้ชัด แต่นางเห็นว่าหญิงสาวผู้นั้นเผยอริมฝีปากแดงสด ก่อนจะเอ่ยคำพูดหนึ่งขึ้นว่า ขอโทษ
นางบอกว่านางขอโทษ
ชิงอวี่ไม่ทันได้สังเกตตนเอง หากแต่นัยน์ตาของนางแดงก่ำยิ่งนัก น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากหางตาของนาง
เด็กหนุ่มผมทองตื่นตระหนกในทันที ตัวเขาเองก็เกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ “นายหญิง! นายหญิง เกิดอะไรขึ้น? ท่านเจ็บตรงไหนหรือ? อย่าร้อง…..”
ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากถึงเพียงไหน นายหญิงของจั้งไหมก็ไม่เคยเสียน้ำตาหรือมีท่าทีอ่อนแอมาก่อน อาจกล่าวได้ว่านายหญิงของเขาคือผู้ที่ไม่รู้จักการเสียน้ำตาอย่างแท้จริง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จั้งไหมเห็นนายหญิงหลั่งน้ำตา ดังนั้นจึงรู้สึกตื่นตระหนกยิ่ง
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเป็นกังวลของเด็กหนุ่ม ชิงอวี่ก็พลันได้สติ “เจ้าว่าไงนะ? ข้าร้องไห้หรือ?”
นางยกมือขึ้นปาดที่หางตา พบว่านัยน์ตาทั้งสองข้างของนางชื้นแฉะ
เห็นดังนั้นแล้วตัวนางก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดยามนางนึกถึงผู้หญิงในความฝันคนนั้น บนริมฝีปากนางมีรอยยิ้มรันทดประดับอยู่ ทั้งยังคำขอโทษที่นางเอ่ยออกมา นึกถึงภาพนั้นทีไรในใจนางพลันรู้สึกเจ็บปวดเกินบรรยาย ส่งผลให้นางหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“ไหมไหม เหตุใดข้าจึงเห็นภาพแปลกประหลาดเช่นนี้ได้? ข้าไม่เคยเห็นสถานที่เหล่านั้นมาก่อนด้วยซ้ำ” ชิงอวี่เอ่ยถามเสียงเบา มองหลังมือที่เปื้อนหยาดน้ำตาตนนิ่ง
จั้งไหมชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยขึ้น “ข้าคิดว่าจะต้องเกี่ยวพันกับร่างที่นายหญิงใช้มาเกิดใหม่เป็นแน่”
ชิงอวี่ได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าจะบอกว่า….. มันเป็นความทรงจำของร่างนี้งั้นหรือ?”
“ถูกต้อง มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นเช่นนั้น”
ชิงเป่ยเคยเล่าให้นางฟังมาก่อน ดูท่าพวกนางจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเยี่ยนซู่ ก่อนที่ท่านแม่ของนางจะแต่งกับเยี่ยนซู่ นางก็ตั้งท้องแล้ว ด้านหนึ่งคือเยี่ยนซู่มีความรู้สึกดี ๆ กับท่านแม่ของพวกนาง อีกด้านหนึ่งคือเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านแม่เคยช่วยเหลือเขาไว้ในอดีต ดังนั้นท่านพ่อจึงต้องการปกป้องพวกนาง
เช่นนั้นแล้ว….. ท่านแม่ของพวกนางเป็นใครกันแน่?
เป็นไปได้ไหมว่าท่านแม่อาจจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับแดนเมฆาสวรรค์…..
— อารามจันทร์กระจ่าง —
ภายในความมืดมิดมีป้ายวิญญาณนับไม่ถ้วนถูกแขวนลอยอยู่ในอากาศ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าแสงสีแดงอ่อนเริ่มเรืองแสงขึ้นเมื่อใด สีแดงนั้นยิ่งล้ำลึกขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นสีแดงดั่งโลหิต
หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านล่างมีสีหน้าที่ราวกับจะเข้าใจความเจ็บปวดภายในนั้นดี ริมฝีปากงามยกขึ้นเล็กน้อย กลายเป็นรอยยิ้มบาง น้ำเสียงนางอ่อนโยนแผ่วเบาราวกับสายลมหนึ่งพัดผ่านมา ไม่รู้ว่านางกำลังเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นกับผู้ใดหรือนางกำลังพึมพำกับตนเอง
“หากเจ้ารู้ว่าวันเช่นนี้จะต้องมาถึง เหตุใดตอนนั้นเจ้าจึงทำเช่นนั้น…..”
“ความเจ็บปวดทั้งหลายที่เจ้าต้องเผชิญอยู่ในตอนนี้จะมีผู้ใดรับรู้ได้”
ไม่นาน คนที่อยู่ด้านข้างก็เดินเข้ามาเอ่ยกับนางเสียงเบา “ร่างวิญญาณของนางคล้ายกับจะเริ่มมีจิตขึ้นมา ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานนางจะฟื้นคืนสติขึ้นมาอย่างแน่นอน”
หากแต่หญิงสาวผู้นั้นกลับเปล่งเสียงหัวเราะขึ้น จากนั้นส่ายหน้า “เท่านี้ยังไม่มากพอ นางยังขาดวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งไป หากวิญญาณนางไม่อาจกลับมารวมเป็นหนึ่งได้ นางจะฟื้นคืนสติหรือไม่นั้นบอกได้ยากนัก”
“ท่านเจ้าอาราม ท่านจะฟื้นคืนชีพนางจริงหรือ?”
“หึ…..” หญิงสาวหัวเราะอีกครา “ต้องให้นางทนทรมานเสียมาก ไม่เช่นนั้นนางจะอาจไม่จดจำบทเรียนในครั้งนี้ ”
“ข้าเคยบอกกับนางแล้วว่าความรักและความหลงใหลไม่ใช่สิ่งที่นางควรสัมผัส อย่างไรก็ไม่ควร แต่นางก็ยังยืนยันจะฝืนข้อห้าม สุดท้ายเรื่องราวจึงจบลงอย่างเลวร้ายเช่นนั้น…..”
พูดเช่นนั้นแล้ว หญิงสาวก็เอ่ยเยาะเย้ยตนเองออกมา “แต่ไม่ว่าเมื่อใด….. จะมีใครที่สามารถหนีจากคำสาปของมันไปได้อย่างสมบูรณ์กันเล่า?”
——————
ยามที่มีข่าวว่าแคว้นมารกำลังเสาะหานักปรุงยาถูกปล่อยออกมา ทั่วทั้งแดนเมฆาสวรรค์ก็ถึงกับชะงักค้างไป
ครั้งนี้พวกคนนอกรีตร้ายกาจเหล่านั้นมีแผนการชั่วร้ายอันใดอีกเล่า!? คิดจะเสาะหานักปรุงยาไปเข้าพวกด้วยอย่างนั้นหรือ?
เป็นที่รู้กันโดยทั่วว่าคนในแคว้นมารนั้นมีฝีมือร้ายกาจไม่ธรรมดา หนทางที่พวกเขาใช้บำเพ็ญเพียรนั้นแตกต่างจากทางที่ชาวแดนเมฆาสวรรค์คนอื่น ๆ ฝึกฝน ดังนั้นทั่วทั้งแดนจึงไม่มีสถานที่ใดที่จะลึกลับพิศวงไปกว่าที่นี่อีกแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขาฝึกฝนวิทยายุทธ์อันใดชัดเจนนัก ดังนั้นยามแลกหมัดกับคนแคว้นมารจึงเสียเปรียบยิ่ง
หากพวกเขายอมปล่อยให้นักปรุงยาฝีมือดีไปเข้ากับแคว้นมาร เช่นนั้นแคว้นมารจะแข็งแกร่งขึ้นไปถึงขั้นใด?
มิกลายเป็นจ้าวครองทั้งแดนเมฆาสวรรค์ไปเลยหรือ!?
แม้สำนักเซียนแพทย์จะไม่ได้เป็นเป็นปฏิปักษ์ต่อคนแคว้นมารนัก เป็นเพราะความสัมพันธ์ของไป๋จือเยี่ยนและโหลวจวินเหยา แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็นกลุ่มคนที่ช่วยชีวิตคนตายรักษาคนบาดเจ็บ เป็นผู้กล้าที่รักษาความเที่ยงตรงและความถูกต้อง ยามเมื่อมีคำสั่งสอนบรรพบุรุษวางอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ พวกเขาจึงออกกฎมิให้ผู้ใดในสำนักข้องเกี่ยวกับคนแคว้นมาร ผู้ที่ขัดคำสั่งจะถูกขับไล่ออกจากสำนักเซียนแพทย์
ดังนั้นแม้ไป๋จือเยี่ยนจะทำไปโดยมีเหตุผล แต่ก็นับว่าเป็นการทำผิดกฎสำนักเซียนแพทย์ ดังนั้นจึงนับว่าเขาประกาศให้คนภายนอกรู้โดยทั่วกันว่าตนไม่ใช่ประมุขน้อยสำนักเซียนแพทย์อีกต่อไป
ตระกูลใหญ่ที่สืบทอดต่อกันมานานหลายร้อยปีย่อมต้องไม่ถูกความมัวหมองใดที่มาทำให้แปดเปื้อน
แม้สำนักเซียนแพทย์จะประกาศห้ามไม่ให้ศิษย์สำนักตนเข้าไปข้องเกี่ยว แต่ในแดนนี้ก็ยังมีนักปรุงยากระจัดกระจายอยู่ทั่วแดนที่ชื่นชมความดื้อรั้นไม่ถูกกดอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ใดของแคว้นมาร นักปรุงยาเหล่านี้เป็นอิสระจากทุกสิ่งอย่างไม่ขึ้นตรงกับสำนักหรือผู้ใด
ภายในเวลาไม่นาน จำนวนคนแคว้นมารจึงเพิ่มขึ้นมาทีละน้อย