บทที่ 80 การเปลี่ยนแปลงก่อนจาก
หากแต่บางครั้งการมีคนมากก็เป็นเรื่องชวนปวดหัว
คนส่วนมากในแคว้นมารเคารพบูชาท่านจอมมารผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นมาร โหลวจวินเหยา เป็นอย่างมาก
ดังนั้นเมื่อคนเหล่านั้นเข้าร่วมแคว้นมาร จึงเริ่มขอพบกับท่านจอมมาร แต่ปัญหาคือตอนนี้โหลวจวินเหยาไม่อยู่ในแคว้นมาร คนอื่น ๆ จึงได้แต่หาข้ออ้างปฏิเสธไป
“จะทำเช่นไรดี? หรือเราจะพานายท่านกลับมา ใช้ตัวตนของเขาไล่ไม่ให้ผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามาในแคว้นดีหรือไม่?” เมื่อเห็นว่าเรื่องต่าง ๆ เริ่มคุมคุมไม่อยู่ สวินลั่วก็เปิดปากแนะนำออกมา
เม่ยจีเหลือบมองเขา “แล้วเจ้ามีวิธีพาตัวนายท่านกลับมาแล้วหรือ?”
ครั้งนี้นายท่านจากไปอย่างไม่บอกกล่าว หมายความว่าอาจไม่กลับมาในเร็ววันนี้เป็นแน่ เม่ยจีจึงไม่หวังเรื่องให้เขากลับมามากนัก
“แต่จะให้คนพวกนั้นรอไปเช่นนี้ไม่ได้ หากพวกนั้นรู้ว่านายท่านไม่ได้อยู่ในแดนเมฆาสวรรค์แล้วเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา เช่นนั้นเรามีปัญหาแน่” สวินลั่วเอ่ย น้ำเสียงฉุนเฉียว
ชายหนุ่มท่าทางเหมือนบัณฑิตเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ในหมู่นักปรุงยา เราไม่รู้ว่าใครมีฝีมือแท้จริงบ้าง เสียดายที่ไป๋จือเยี่ยนไม่อยู่ ไม่เช่นนั้นเขาคงสามารถบอกได้ในทันที”
ในตอนที่คนทั้งสองกำลังสนทนากันนั้นเอง น้ำเสียงชายหนุ่มที่ใสสะอาด ไพเราะดั่งเสียงดนตรีก็ดังขึ้น น้ำเสียงนั้นไม่ดังนัก หากแต่ก็ทำให้คนทั้งคู่เบาเสียงลงได้ “ข้ายังมียาเหลืออยู่เม็ดหนึ่ง ให้นักปรุงยาทั้งหมดลองปรุงยาที่เหมือนกันออกมา ผู้ที่สามารถปรุงยาออกมาได้บริสุทธิ์ที่สุดสามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้”
คนที่เอ่ยประโยคเมื่อครู่ขึ้นมาคือชายหนุ่มในชุดขาว ใบหน้างดงามอ่อนโยน นัยน์ตาสีแดง คือชายหนุ่มที่คนอื่น ๆ เรียกว่าปีศาจน้อยนั่นเอง
เมื่อกล่าวเช่นนั้นออกมา ดวงตาของชายหนุ่มทั้งสองก็พลันเปล่งประกาย “ความคิดดี! ปีศาจน้อย สมองของเจ้านี่มีประโยชน์จริง”
“แน่นอน เจ้าไม่รู้หรือว่าเขามาจากตระกูลใด?” เม่ยจีหัวเราะเยาะ ใบหน้านางเต็มไปด้วยความภูมิใจ
หลังจากชายหนุ่มชุดขาวพูดสิ่งที่ต้องการจบ เขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป เม่ยจีเห็นดังนั้นก็เดินตามเขาออกไปเช่นกัน
“หึ ๆ เม่ยจีหลงเจ้านั่นเข้าเต็มเปา!” สวินลั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
ชายท่าทางดั่งบัณฑิตเอ่ยขึ้นราวกับเห็นเช่นนั้นจนชาชิน “นางเพียงเคยชินกับการหยิ่งผยองพองขนจนเกินไป พอพบปีศาจน้อยที่เย่อหยิ่งกว่าตนเองแล้วนางจึงต้องยอมให้เขา”
“มีเหตุผล” สวินลั่วพยักหน้าเอ่ยขึ้น
— พระราชวังหลวงแคว้นหลินยวน —
เป็นเวลากว่าหลายสิบวันแล้วที่ชิงเยี่ยหลีและคณะเดินทางกลับมายังแคว้น หลังจากที่เยว่มู่เฉินอาบยาสมุนไพรและดื่มยาเป็นประจำทุกวันในหลายวันมานี้ เขาเริ่มรู้สึกว่าร่างกายตนมีหลายจุดที่แตกต่างไปจากเดิม
วันนี้ หลังจากเยว่มู่เฉินเสร็จงานและออกว่าราชการตอนเช้า เขาก็กลับเข้าไปในห้องนอน ดูจดหมายและฎีกาที่ถูกส่งเข้ามาในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
เยว่ซินเหยียนเดินมาหาเขาพอดิบพอดี เสียงฝีเท้าแผ่วเบาของนางดังให้ได้ยินมาแต่ไกล จากนั้นประตูก็ถูกพลักเปิดออก “เสด็จพี่กำลังทำอะไรอยู่?”
เยว่มู่เฉินเงยหน้าขึ้น รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าจึงมีเวลาว่างมาหาข้าที่ตำหนักได้?”
เขาไม่รู้ว่านางได้ยินข่าวที่สามสำนักใหญ่จะเปิดรับศิษย์เข้าสำนักในอีกครึ่งปีนี้มาจากที่ใด นางประลองกับคนในแคว้นหลินยวนจนเกินพอแล้ว ดังนั้นจึงยืนกรานว่านางจะลองไปเข้าร่วมการประลองเข้าสำนักด้วย นางเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวที่เกิดจากมารดาเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงรักและเอ็นดูนางมาก ปล่อยให้นางทำสิ่งใดตามใจตลอด
หากแต่ช่วงหลังมานี้นางเดินทางไปประลองกับทหารในค่ายทหารเพื่อฝึกปรือฝีมือ เพิ่มโอกาสในการผ่านการประลองเข้าสำนักของนางให้มากยิ่งขึ้น สำหรับเหล่าทหารแล้ว เรื่องเช่นนี้นั้นขื่นขมเกินจะบรรยาย
“ข้าไม่ได้เห็นหน้าเสด็จพี่มาหลายวันแล้วกระมัง? วันนี้ข้าจึงมาหาท่านโดยเฉพาะ” เยว่ซินเหยียนเอ่ยขึ้น ทั้งสีหน้าและท่าทางดูเรียบร้อยเชื่อฟังยิ่ง หากแต่ทันใดนั้นนางก็โน้มตัวเข้ามา นัยน์ตางามสีน้ำเงินเบิกกว้างราวกับเห็นเรื่องน่าประหลาดใจ
“อะไร? มีอะไรติดบนหน้าข้าหรือ?” เยว่มู่เฉินถามเมื่อนางยกมือขึ้นแตะใบหน้าเขา
เยว่ซินเหยียนส่ายหน้า สีหน้ายังดูไม่อยากเชื่อสายตาตนเท่าใด “เสด็จพี่ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่า….. หลายวันมานี้ข้าไม่ได้เห็นหน้าท่าน หากแต่ท่านดูมีสีหน้ากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก!”
ด้วยความที่เขามีร่างกายอ่อนแอ แม้ร่างกายจะไม่ได้ผอมจนเห็นกระดูก แต่ใบหน้ามักจะซีดเซียวอยู่ตลอดเวลา ดูราวกับลมแรงเพียงหอบหนึ่งก็สามารถพัดเขาให้ล้มลงได้
หากแต่เมื่อตอนนี้เยี่ยมหน้ามองเขาดี ๆ นางกลับเห็นได้อย่างเด่นชัดว่าบนแก้มของเขามีเลือดฝาดสีชมพูดูสุขภาพดี
ได้ยินดังนั้นเยว่มู่เฉินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “งั้นหรือ? ข้าไม่ทันสังเกต แต่ก็รู้สึกอยู่บ้างเหมือนกันว่าร่างกายไม่ได้อ่อนแรงแล้ว ทั้งยังไม่รู้สึกเซื่องซึมเช่นเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ข้าไม่หอบหายใจแล้วด้วย”
“จริงหรือ?” เยว่ซินเหยียนเอ่ยถาม ใบหน้ายินดียิ่ง “สุขภาพเสด็จพี่ดีขึ้นเช่นนี้ ต่อไปก็จะไม่ไอออกมาเป็นเลือดแล้วหมดสติไปอีกแล้วใช่หรือไม่?”
เมื่อพูดถึงเรื่องไอเป็นเลือด เขาไม่มีอาการนั้นมานับสิบวันแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนไม่พ้นสามวันก็มีอาการอีก ไอออกมาราวกับจะตายให้ได้ ทว่าสิบวันมานี้กลับไม่มีอาการเหล่านี้สักนิด เช่นนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
นัยน์ตาสีน้ำเงินของเยว่ซินเหยียนส่องประกายสดใส “เช่นนี้แสดงว่าวิชาแพทย์ของแม่นางน้อยผู้นั้นสูงส่งยิ่ง สามารถรักษาอาการป่วยของเสด็จพี่ของข้าได้”
“แม่นางน้อยหรือ?” เยว่มู่เฉินชะงัก
“ถูกต้อง เป็นแม่นางคนเดียวกันกับคนที่พี่เยี่ยหลีตามหามานาน” เยว่ซินเหยียนเอ่ย “แต่นางดูเด็กนัก อายุพอ ๆ กับข้า แต่วิชาแพทย์นางโดดเด่นเหมือนแม่เฒ่าอาวุโสที่อยู่มาแล้วหลายทศวรรษ ดูท่านางจะมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา ไม่แปลกที่พี่เยี่ยหลีให้ค่านางเช่นนั้น”
“อายุพอกันกับเจ้าหรือ?” เยว่มู่เฉินแสดงความแปลกใจ “เช่นนั้น….. นางกับชิงเยี่ยหลีรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่? หากรู้จักกันเมื่อสิบกว่าปีก่อน แม่นางผู้นั้นอาจจะเพิ่งเกิด เช่นนั้นนางจะรู้จักเขาได้อย่างไร?”
“ข้าก็ไม่มั่นใจนัก แต่ตอนที่ทั้งสองคนพบกันที่แคว้นชิงหลาน พวกเขาดูท่ารู้จักกันมานานแล้ว เพียงสบตากันเพียงแวบแรกก็จำกันได้แล้ว” เยว่ซินเหยียนเอ่ยขึ้นช้า ๆ
เยว่มู่เฉินดูท่ากำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง ชั่วขณะใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับคืนสู่สภาพเดิม
เรื่องนี้ดูเหมือนจะมีบางสิ่งไม่สมเหตุสมผลอยู่
หากแต่มองดูจากสถานการณ์แล้ว ชิงเยี่ยหลีกำลังจะจากหลินยวนไป แม้จะมีสิ่งใดไร้เหตุผลก็ไม่สำคัญอีก
——
หลังเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญจบลง เมืองหลวงก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
หลังจากการหมั้นหมายระหว่างซวนหยวนเช่อและเยี่ยนหนิงลั่วถูกยกเลิก ฮ่องเต้ชิงหลานก็ยังรู้สึกเหมือนมีหนามยอกอก ทั้งสองคนต้องเป็นคู่สวรรค์สร้างมากแท้ ๆ แต่ทั้งสองคนกลับไม่อาจลงรอยกันได้ สุดท้ายเรื่องหมั้นหมายจึงต้องถูกยกเลิกไป
เยี่ยนหนิงลั่วที่เกิดมาพร้อมชะตาหงส์และถูกลิขิตให้ขึ้นเป็นฮองเฮา ชายใดได้แต่งกับนางย่อมมีชะตายิ่งใหญ่ น่าเสียดายที่หงส์ตัวนี้ไม่ได้เป็นของตระกูลซวนหยวนอีกต่อไป
ซวนหยวนเช่ออยู่ที่เมืองหลวงมานานมากแล้ว อีกไม่นานก็จะเดินทางกลับสำนักละอองหมอก
เขาอยู่สำนักละอองหมอกมาเป็นเวลาหกปี อีกสี่ปีเขาก็สามารถออกจากสำนัก จะเลือกกลับมาเป็นองค์รัชทายาท หรือเลือกออกเดินทางท่องใต้หล้าใฝ่หาความยิ่งใหญ่ของตนเองก็ย่อมได้
ฮ่องเต้ชิงหลานยังหนุ่มแน่นนัก ดังนั้นจึงไม่ต้องรีบร้อนรับช่วงต่อราชบัลลังก์ ซวนหยวนเช่อยังมีอิสระในมืออยู่บ้าง
“เจ้าจะไปแล้วหรือ?” คนสามคนมารวมตัวกันอยู่ที่ร้านเหล้า เมื่อได้ยินคำซวนหยวนเช่อ อวี้จิงจั๋วก็ยกจอกเหล้าขึ้น “มาเถอะสหาย ให้ข้าได้ดื่มอวยพรให้การเดินทางของเจ้าเป็นไปอย่างราบรื่น”
พูดจบก็ยกจอกขึ้นซดจนหมดในคราเดียว
ในหมู่สหายทั้งสามคน อวี้จิงจั๋วคือคนที่มีอิสระไม่ถูกจำกัดไว้กับสิ่งใดมากที่สุด
แม้ตัวเขาเองก็เป็นศิษย์สำนักละอองหมอก แต่ก็ยืดหยุ่นไม่เคร่งครัดกับกฎสำนักเท่าใดนัก
เป็นเพราะเขาเป็นศิษย์สำนักละอองหมอกที่มีหน้าที่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยเฉพาะ ดังนั้นส่วนมากจึงร่อนเร่อยู่นอกสำนัก ไม่ค่อยได้ย่างเท้ากลับสำนักเท่าไหร่ ทั้งยังเป็นเพราะเป็นผู้มากความสามารถคนหนึ่ง ดังนั้นทางสำนักจึงโอนอ่อนผ่อนผันให้เขา
ซวนหยวนเช่อจึงยกจอกเหล้าชนกับอวี้จิงจั๋ว จากนั้นก็ดื่มจนหมดจอกเช่นเดียวกัน
โม่เฟยหรานส่ายหัวก่อนหัวเราะออกมา “เหตุใดนั่งดื่มกันจึงมีบรรยากาศขมุกขมัวเช่นนี้เล่า? ไม่ใช่จากเป็นจากตายเสียหน่อย เหตุใดต้องเคร่งเครียดถึงเพียงนั้น?”
ซวนหยวนเช่อหัวเราะเยาะเบา ๆ “แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่การจากตาย แต่หลังจากข้ากลับสำนักไปแล้ว เกรงว่าคงไม่อาจหลีกหนีคำซุบซิบนินทาได้พ้น”
โม่เฟยหรานชะงักไป หากแต่พริบตาต่อมาก็สำรวมท่าทีดังเดิม “เจ้าหมายถึงเรื่องที่การหมั้นหมายระหว่างเจ้ากับเยี่ยนหนิงลั่วถูกยกเลิกใช่หรือไม่?”
“จะมีเรื่องใดอีก? คนอาจจะรู้กันทั่วแล้วก็เป็นได้ ตอนจบเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญ เยี่ยนหนิงลั่วเสนอให้ยกเลิกการหมั้นหมายต่อหน้าคนนับไม่ถ้วน! เฮ้อ คนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าตัวข้า องค์รัชทายาทแห่งแคว้น เป็นเพียงคนพาลที่ปฏิบัติกับนางไม่ดีผู้หนึ่ง” ซวนหยวนเช่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
ท่านน้าเล็กของโม่เฟยหรานคือมารดาของเยี่ยนหนิงลั่ว นับได้ว่านางเป็นญาติของเขา ได้ยินคำซวนหยวนเช่อเอ่ยออกมาเช่นนั้นเขาก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อย ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
ซวนหยวนเช่อในวันนี้คงจะดื่มหนักไปหน่อย วันนี้จึงพูดมากเป็นพิเศษ “แต่คนพวกนั้นจะไปรู้ความจริงได้อย่างไร? ฮ่า ๆ….. นางยกเลิกการหมั้นหมายกับข้า ไม่ใช่เป็นเพราะเราเข้ากันไม่ได้หรือเหตุผลน่าขันอื่นใด หากแต่เป็นเพราะนางตกหลุมรักชายอื่น…..”
“โม่เฟยหราน เจ้ารู้ไหม….. ว่าชายผู้นั้นคือใคร?”
“เขาคือ ฮ่า ๆ….. คือคนที่ไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าตนต่อหน้าคน ดังนั้นจึงสวมหน้ากากอยู่ตลอด ชางไห่อ๋อง…..”
พูดจบ สีหน้าโม่เฟยหรานก็ชะงักค้างไป คิดว่าตนเองคงหูฝาดไปกระมัง
เมื่อครู่องค์รัชทายาทว่าอย่างไรนะ?
คนที่หนิงลั่วชอบ….. คือชางไห่อ๋องหรือ!?
เหล้าในจอกที่อวี้จิงจั๋วถืออยู่กระฉอกออกมาเล็กน้อย ราวกับเขาประหลาดใจมาก
ซวนหยวนเช่อยังคงเอยต่อ “เจ้าไม่เชื่อหรือ? เยี่ยนหนิงลั่วบอกข้าเองว่านางชอบเขามาตั้งแต่ยังเด็ก ฮ่า! ยอดสตรีอัจฉริยะมีรสนิยมไม่เหมือนใครโดยแท้…..”
เยี่ยนหนิงลั่วชอบชางไห่อ๋อง จากนั้นชางไห่อ๋องก็ชอบน้องสาวแท้ ๆ ของนาง
เห็นสีหน้าท่าทางของชางไห่อ๋องในวันนั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาชอบและใส่ใจแม่นางน้อยผู้นั้นเป็นอย่างมาก
อวี้จิงจั๋วยกยิ้มเยาะเย้ยขึ้น ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนยิ่ง
ทั่วทั้งท้องถนนแขวนโคมไฟส่องทางสว่างไสว ชายหนุ่มทั้งสามเดินออกจากร้านเหล้า กำลังจะแยกทางกันกลับ
ทันใดนั้นเอง ลมหนาวหลายสายก็พัดผ่าน อวี้จิงจั๋วดื่มไปมากที่สุดในหมู่คนสามคน หากแต่กลับเป็นคนที่สร่างเมาเร็วที่สุด เป็นเพราะเขาดื่มเหล้าอยู่เป็นประจำ ดังนั้นจึงคอแข็งมาก
ลมชั่วร้ายหอบหนึ่งพัดผ่านไป เขาเงยหน้าขึ้นมองด้านบน พบว่ามีเงาดำหลายร่างลอยผ่านไป
ซวนหยวนเช่อและโม่เฟยหรานรู้ตัวช้ากว่าเล็กน้อย หากแต่ทั้งสองก็ยังสัมผัสได้ถึงเงาร่างสีดำเหล่านั้น ทั้งสองสร่างเมาไปกว่าครึ่งในพลัน
“คนพวกนั้นเป็นใครกัน?” โม่เฟยหรานถามเสียงต่ำ
“ดูเหมือนจะเป็นนักฆ่าจากหุบเขาไร้กังวล” อวี้จิงจั๋วตอบ นัยน์ตาหรี่ลงด้วยความระมัดระวัง
ซวนหยวนเช่อเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ไปเถอะ อย่ายุ่งเรื่องคนอื่นดีกว่า” พูดจบเขาก็เตรียมจะยกเท้าเดินจากไป
นักฆ่าหุบเขาไร้กังวลนั้นสามารถพบเห็นได้ทั่วไป พวกเขากระจายตัวไปทั่วทั้งแดนมุกหยก แม้จะเป็นสำนักรั้งท้ายในหมู่สามสำนักใหญ่ แต่ความกว้างขวางและจำนวนคนกลับมากว่า
ศิษย์หุบเขาพบเห็นได้บ่อยในยามราตรี ด้วยเพราะนักฆ่ามักลงมือทำภารกิจต่าง ๆ ในยามค่ำคืนเงียบสงัดเพื่อปกปิดตัวตน
พวกเขาไม่คิดอันใดมาก คิดแต่จะมุ่งหน้าเดินต่อไป หากแต่ไม่นานฝีเท้าของซวนหยวนเช่อกลับชะงักลง ใบหน้าพลันแปรเปลี่ยนไป