บทที่ 81 ถูกกล่าวหา

แวบหนึ่ง เขารู้สึกเหมือนตนเองได้ยินเสียงคุ้นหูแววผ่านมา แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเมามากไปเลยทำให้จินตนาการไปเองหรือไม่

เป็นตอนที่โม่เฟยหรานร้องเรียกเขานั่นเองเขาถึงหลุดออกจากภวังค์

“ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ!”

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ภายในป่าทึบที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงราวหนึ่งร้อยลี้ เงาร่างสีดำที่อยู่ด้านหน้าในที่สุดก็หยุดฝีเท้าลง หัวคิ้วขมวดมุ่นก่อนจ้องมองภาพเบื้องหน้า ดูท่าทางหงุดหงิดนัก

เขาคุ้นเคยกับสถานที่นี้ดี แต่เป็นเพราะความคุ้นเคยที่ทำให้เขารู้ว่าเขาควรหยุดอยู่เพียงตรงนี้ ไม่ควรก้าวลึกเข้าไปด้านในอีก

ป่ามืดทึบผืนนี้กลายเป็นบึงลึกลับ แม้รอบกายมองไปทางไหนก็จะมีเพียงต้นไม้เต็มไปหมด แต่เมื่อเดินทางถึงพื้นที่จุดศูนย์กลาง สถานที่ตรงนั้นจะเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมีพิษร้าย พื้นดินจะกลายเป็นเลนน้ำ หากเดินไม่ระวังเหยียบลงในบึงเข้าก็จะถูกดูดเข้าไป ไม่ว่าจะร้องสุดเสียงเพียงไรก็ไม่อาจมีใครได้ยิน

ในตอนที่เขายืนลังเลอยู่นั่นเอง เสียงวัตถุวาดผ่านสายลมหลายเสียงก็ดังขึ้น เงาดำหลายเงาปรากฏขึ้นภายในป่าทึบนั้น

“มู่ฉือ พวกเราไม่ได้มาร้าย พวกเราเพียงต้องการความช่วยเหลือจากคุณหนูมู่เท่านั้น”

หัวหน้าคนชุดดำคือชายร่างสูงคนนั้น เขาเดินนำหน้าขึ้นมา อายุอานามราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ท่าทางแข็งแรงกำยำ ดูจริงจังเปิดเผย

กลุ่มนักฆ่าหุบเขาไร้กังวลนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วทั้งแดนมุกหยก พวกเขาแต่งชุดดำทั้งตัว บนใบหน้าปิดบังด้วยหน้ากากปีศาจดูน่ากลัว ทำเช่นนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนรู้ตัวตน นักฆ่าที่มีชื่อที่สุดในหุบเขาไร้กังวลคือสิบมือสังหารผู้ลึกลับและหาตัวจับยาก

นักฆ่ามีทั้งหมดสามระดับ คือ ระดับเซียน ระดับลึกลับ และระดับเหลือง เหนือกว่าระดับเซียนคือ นักฆ่าระดับทองคำที่มีพละกำลังแข็งแกร่งน่าเกรงขาม ว่ากันว่าการจะจ้างนักฆ่าระดับทองคำสักคนต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นตำลึงทอง นักฆ่าระดับนี้หาได้ยากนัก

และสิบมือสังหารนี้คือนักฆ่าที่มีระดับเหนือกว่าระดับทอง

พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของหุบเขาไร้กังวล แต่ก็เป็นกลุ่มคนที่ไม่ขึ้นตรงกับใครเช่นกัน พวกเขาสร้างตำหนักนักฆ่าขึ้นภายในหุบเขา ว่ากันว่ากลุ่มคนสิบคนนี้คือไพ่ตายของหุบเขาไร้กังวล พวกเขาปิดบังตัวตนและลึกลับจนไม่มีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขาเลย

คนภายนอกรู้เพียงว่าสิบมือสังหารนี้คือเหล่าคนแหกคอกแห่งหุบเขาไร้กังวลพวกเขาไม่ปิดบังใบหน้าไม่ซ่อนเร้นตัวตน เป็นเพราะไม่เคยมีผู้ใดรอดจากเงื้อมมือพวกเขามาก่อน

และกลุ่มคนตรงหน้าเขา มีคนอยู่ราวหกถึงเจ็ดคน ทุกคนอยู่ในชุดดำ สวมหน้ากากปีศาจ มีเพียงชายที่นำพวกเขามาเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ปิดบังใบหน้า ซึ่งหมายความว่าเขาคือหนึ่งในสิบมือสังหาร

มู่ฉือลอบถอนหายใจ วันนี้เป็นวันซวยของเขาจริง ๆ เขาเพิ่งเดินทางออกจากจวนตระกูลมู่ จากนั้นคนกลุ่มนี้ก็ติดตามเขามาโดยตลอด

แม้ตัวเขาเองจะพอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่หากมีคนกลุ่มใหญ่เช่นนี้เข้าโจมตีเขาพร้อมกันทุกทิศทาง อีกทั้งยังมีนักฆ่ามือฉกาจอยู่ในกลุ่มด้วย หากเขาใช้วาจาล่วงเกินคนพวกนี้เพียงนิดอาจหมายถึงความตายได้

เขาค่อย ๆ ครุ่นคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตนเอง จากนั้นเอ่ยถามขึ้น “หากพวกเจ้าตามหาพี่สาวข้า เหตุใดจึงไม่ไปยังจวนตระกูลมู่? เหตุใดจึงติดตามข้าไม่ลดละเช่นนี้?”

หรือนางปีศาจมู่ไหลนั่นเคยล่วงเกินคนกลุ่มนี้มาก่อนงั้นหรือ? ท่าทางหยิ่งยโสอวดดีเช่นนางที่คิดว่าตนอยู่เหนือคนทุกคนแล้ว อาจจะไปล่วงเกินใครเข้าก็เป็นไปได้มาก

ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะเสียงเบา “แม้หุบเขาไร้กังวลและสำนักไร้สิ้นสุดจะนับว่าเป็นมิตรต่อกันได้ แต่ในเมื่อเจ้าสนิทสนมกับคุณหนูมู่ อย่างไรหากเจ้าไปขอร้องนางแทนพวกข้า นางย่อมตอบตกลง หากพวกเราไปเอง เกรงว่าเรื่องราวจะออกมาเลวร้าย จนต้องใช้ไม้แข็งก็เป็นได้”

เขาเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็น ท่าทางมีมารยาทอ่อนโยนของเขาทำให้คนมองไม่อยากเชื่อว่าเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มนักฆ่ากระหายเลือดเหล่านั้น

มู่ฉือขมวดคิ้ว “นางสามารถช่วยหุบเขาไร้กังวลในเรื่องใดได้? นอกจากจะเป็นวิชาแพทย์อยู่เล็กน้อย นางก็ไม่ได้มีความสามารถอื่นใดแล้ว…..”

เสียงเขาจางหายไป จู่ ๆ เขาก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นแล้วทำสีหน้าประหลาดใจนัก

“ถูกต้องแล้ว เป็นเพราะนางมีวิชาแพทย์ พี่น้องคนหนึ่งของเราถูกพิษแปลก ๆ เมื่อหลายเดือนก่อนเข้า ตอนนี้อาการกำลังแย่ ทั่วทั้งแดนนี้มีเพียงตระกูลมู่ที่สามารถยื่นมือเข้าช่วยได้” น้ำเสียงเขาจริงใจนัก “หากเจ้าช่วยเชิญคุณหนูมู่มาได้ ตำหนักนักฆ่าแห่งหุบเขาไร้กังวลจะติดหนี้บุญคุณเจ้า ไม่ว่าจะสั่งให้พวกเราทำสิ่งใด หากเอ่ยมาพวกเราจะทำให้เป็นจริงเอง”

“พิษแปลก ๆ หรือ?” มู่ฉือได้ยินก็ชะงักไป “ในเมื่อเป็นพิษที่แปลกมาก เช่นนั้นคงจะไม่ได้มีให้เห็นบ่อย เป็นพิษที่รักษาได้ยากแน่ แม้พี่สาวของข้าจะเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ที่สุดในตระกูลมู่ แต่ข้าไม่อาจรับปากพวกเจ้าได้ หากนางไม่สามารถรักษาเขาได้ พวกเจ้าจะไม่ลงความโกรธกับนางหรอกหรือ?”

“เจ้าวางใจได้ แม้พวกเราจะเป็นนักฆ่า แต่ก็แยกแยะผิดถูกออกได้”

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะเดินทางกลับไปยังตระกูลมู่ภายในวันพรุ่งนี้เพื่อถามเรื่องนี้กับพี่สาวข้าให้” มู่ฉือคิดว่าอย่างน้อยเขาก็ควรทำทีเป็นตอบรับคำขอ พวกเขาจะได้วางใจ อีกทั้งเขาสามารถสร้างบุญคุณกับคนกลุ่มนี้ได้ แม้แผนการเหล่านี้จะเพิ่งคิดได้เพราะตกอยู่ในสถานการณ์จำเป็นก็ตามที

ได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มตรงหน้าก็แบมือปะทะกำปั้น ก่อนเอ่ยขึ้นในพลัน “อาการของน้องชายข้าไม่อาจรออีกต่อไปได้ ไปถามคุณหนูมู่คืนนี้เลยดีกว่า!”

“…..”

เรื่องนั้น หากเขาไปรบกวนมู่ไหลตอนนางกำลังนอนอยู่ละก็ นางต้องอาละวาดเป็นแน่! แต่เขาไร้ทางเลือก จำต้องทำเช่นนั้น ชีวิตเขาอยู่บนความเป็นความตายเช่นนี้ นางคงไม่โทษเขาหรอกกระมัง?

——————

เช้าวันต่อมาในจวนหย่งอันอ๋อง ก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่องหนึ่ง

ในขณะที่เยี่ยนซู่และพระชายากำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ ข้ารับใช้สาวคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา เสื้อผ้านางหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย นางคุกเข่าลงกับพื้นอย่างแรง ท่าทางอ่อนระทวย ก่อนจะเงยหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้น “ท่านอ๋อง พระชายา โปรดช่วยทวงความยุติธรรมให้บ่าวด้วยเจ้าค่ะ!”

สีหน้าโม่หานเยียนเคร่งเครียดขึ้นในพลัน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ข้ารับใช้ชั้นต่ำ! ผู้ใดสั่งให้เจ้าเข้ามารบกวนมื้ออาหารของท่านอ๋องเช่นนี้!?”

ข้ารับใช้สาวสะดุ้งสุดตัว นางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น “พระชายา ขออภัยกับความอวดดีของบ่าวด้วย บ่าวไร้ทางเลือก…..”

เยี่ยนซู่มองเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยของนาง ผิวนวลที่โผล่มามีร่องรอยฟกช้ำดำเขียว มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เยี่ยนซู่ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงวางตะเกียบลง “เกิดเรื่องอันใดขึ้น!?”

“บ่าว….. เมื่อคืนนำยาต้มที่เตรียมไว้ไปให้คุณชายรอง จากนั้นจู่ ๆ คุณชายรองก็กอดบ่าวแน่นราวกับคนเสียสติ….. ฉีกกระชากชุดของบ่าวจนขาดเช่นนี้ บ่าวพยายามดิ้นหนีสุดแรง ร้องขอความเมตตา แต่คุณชายรอง….. ไม่เพียงเมินคำขอของบ่าว แต่กลับ……”

ข้ารับใช้สาวพูดไปร้องไห้สะอึกสะอื้นไป ประโยคสุดท้ายนางพูดคำหนึ่งสะอื้นคำหนึ่ง “นายน้อยก็ทำการล่วงเกินบ่าว ทรมานบ่าวอยู่ทั้งคืน….. กระทั่งเมื่อครู่นี้เองที่บ่าวหนีออกมาได้เพราะนายน้อยหลับไปแล้ว…..”

หลังจากฟังบ่าวสาวเล่าเรื่องราวให้ฟังแล้ว เยี่ยนซู่และโม่หานเยียนก็ตกตะลึงไป ราวกับไม่คิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้

โม่หานเยียนเป็นผู้ที่มีปฏิกิริยาคนแรก นางเบิกตากว้างด้วยความโมโห “เจ้าปีศาจนั่น! ทำเกินไปแล้ว! บังอาจทำเรื่องบัดสีเช่นนี้ได้!”

“ขอพระชายาโปรดทวงความยุติธรรมให้บ่าวด้วย…..” เห็นท่าทางของโม่หานเยียนแล้ว นางก็ยิ่งส่งเสียงร้องให้น่าสงสารยิ่งขึ้น

เยี่ยนซู่มองไปยังโม่หานเยียน “ก่อนจะตรวจสอบให้ถี่ถ้วน อย่ารีบเพิ่งตัดสินเลยดีกว่า”

อย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ เขาได้ยินมาจากผู้อาวุโสฉินฟางอยู่หลายครั้งว่าสองสามวันมานี้ เจ้าเด็กชิงเป่ยมีพรสวรรค์น่าตกตะลึงนัก ต่อไปต้องเก่งกาจไม่แพ้หนิงเอ๋อร์เป็นแน่ เขายังคิดว่าหากเด็กคนนั้นสามารถกลับมายืนได้ก่อนถึงเวลาทดสอบคงจะดียิ่งนัก

เรื่องราวกำลังจะเปลี่ยนไป กลับมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?

เขาเป็นเด็กหนุ่มท่าทางใสซื่อนัยน์ตาเปิดเผยนัก เป็นไปไม่ได้ที่จะกระทำเรื่องอุกอาจเช่นนี้

คิดได้ดังนั้น เยี่ยนซู่ก็มีสีหน้าทะมึนลง “คิดให้ดีก่อนเอ่ยวาจา การป้ายสีคุณชายของตนนั้นเป็นความผิดร้ายแรง บ่าวต่ำต้อยเช่นเจ้าไม่อาจรับบทลงโทษไหวเป็นแน่ บอกข้ามาตามตรง เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”

“บ่าวมิกล้าพูดปด คุณชายรองล่วงเกินบ่าวจริง ๆ…..” บ่าวสะอื้นไห้ ดูน่าสงสารยิ่งนัก

“ท่านอ๋องจะพยายามช่วยเหลือเด็กคนนั้นหรือ?” โม่หานเยียนเห็นดังนั้นก็หัวเราะ “แม้จะเป็นบุตรชายของท่านอ๋อง แต่กระทำเรื่องชั่วร้ายถึงเพียงนี้ บ่าวน้อยผู้นี้ระหว่างทางที่วิ่งมาคงมีคนเห็นไม่น้อย คงไม่ดีต่อชื่อเสียงของจวนหย่งอันอ๋องหากข่าวแพร่งพรายออกไป”

“ตัวข้ารู้เรื่องนั้นดี” เยี่ยนซู่เอ่ยเสียงเย็น “ทหาร! ไปยังเรือนสงบเงียบแล้วนำตัวคุณชายรองมาให้ข้า!”

“ขอรับท่านอ๋อง” ทหารหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านนอกตอบรับ ก่อนจะหายไปในพริบตา

เป็นตอนที่ชิงอวี่ไม่ได้กลับเรือนทั้งคืนพอดิบพอดี

หลายวันมานี้ฉินฟางบอกกับพวกนางว่า เขากำลังเตรียมการส่งให้พวกนางออกไปฝึกฝนข้างนอกเพื่อเพิ่มทักษะการเอาตัวรอดของเด็กแฝด ด้วยหลังจากเข้าสำนักไปแล้วก็จะต้องพบเจอภารกิจคล้ายคลึงกันอีกมาก จำต้องกินต้องนอนอยู่ในป่า ต้องใช้ชีวิตอยู่ในป่าระยะหนึ่ง ดังนั้นทั้งสองคนจึงควรมีประสบการณ์เช่นนั้นไว้ก่อน

หลังจากหาพื้นที่ได้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ชิงอวี่จึงออกไปสำรวจเส้นทางแล้วยังนอนที่นั่นคืนหนึ่งด้วย นอกจากเจองู แมลง และสัตว์ป่าไม่กี่ตัวแล้ว นางก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมอันใด

หากแต่ยามนางกลับมายังเรือนสงบเงียบ ก็พบว่ามีข้ารับใช้น้อยสองคนกำลังเดินไปเดินมาอย่างเป็นกังวลที่หน้าประตู บางครั้งก็ยื่นหน้าออกมามองด้านนอก นางสัมผัสได้ทันทีว่ามีบางอย่างแปลกไป ดังนั้นจึงรีบก้าวเท้าเดินเข้าไป “เกิดอะไรขึ้น?”

“คุณหนูหก! ท่านกลับมาเสียที! เกิดเรื่องกับคุณชายรองแล้วเจ้าค่ะ!” ข้ารับใช้น้อยหน้ากลมท่าทางน่ารักผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมนัยน์ตาแดงก่ำ “เมื่อเช้านี้เชียนเชียนวิ่งออกมาจากห้องคุณชายรอง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย หลังจากนั้นไม่นานคนของท่านอ๋องก็มาพาตัวคุณชายรองไป”

ในหมู่ข้ารับใช้ที่เยี่ยนซู่ส่งมาให้พวกนาง เชียนเชียนเป็นคนที่หน้าตาน่ามองที่สุด

“บัดซบ!”

นางประมาทเกินไป! สตรีผู้นั้นอยู่อย่างสงบมานาน พอเสี่ยวเป่ยเริ่มแสดงความสามารถออกมานางกลับชิงลงมือ!

หึ! สตรีผู้นั้นคิดว่านางเป็นลูกพลับนิ่มให้นางบีบเล่นควบคุมเล่นไปตามใจสั่งหรืออย่างไร?

แต่ก่อนนางไม่อยากยุ่งกับคนประเภทนี้ แต่ตอนนี้สตรีผู้นั้นล้ำเส้นนาง ครั้งนี้แม้จะไม่อาจเอาชีวิตนางได้ แต่ก็ขอเฉือนหนังนางออกสักชั้นก็แล้วกัน!

ผู้ที่นั่งอยู่ในห้องโถงหลักในตอนนี้คือเยี่ยนซู่ โม่หานเยียน และเยี่ยนซีเฉิงที่ถูกเรียกตัวมา ทั้งยังมีสตรีคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ด้านในด้วย

บ่าวสาวที่สวมชุดไม่เรียบร้อยนักนั่งอยู่บนพื้น ส่วนเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าอมทุกข์นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น ด้วยดวงตามึนงง

“ชิงเป่ยร่างกายอ่อนแอ จะไปทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร?” เยี่ยนซีเฉิงมองเด็กหนุ่มบนเก้าอี้เข็นแล้วเอ่ยขึ้น คิ้วขมวดมุ่นด้วยความกังขา

โม่หานเยียนเหลือบมองเขา “เฉิงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าบ่าวต่ำต้อยเช่นนางจะกล้าใส่ร้ายคุณชายตนเองงั้นหรือ?”

“แต่ชิงเป่ยขาพิการ เขาจะสามารถทำร้ายทรมานบ่าวที่มีแขนขาดีทุกประการขนาดนั้นได้อย่างไรกัน?” เยี่ยนซีเฉิงรู้ดีว่ามารดาตนไม่ชอบเด็กแฝดจากเรือนสงบเงียบ แต่จะให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มที่ยังไม่ถึงวัยแต่งงานได้อย่างไร?