บทที่ 82 มีแต่ช่องโหว่

“ฮ่า ๆ ซื่อจื่อ บุรุษมีกำลังมากกว่าสตรี หากต้องการทำอะไรจริง ๆ สตรีจะสามารถต้านทานได้อย่างไร?” ผู้ที่เอ่ยประโยคนี้ขึ้นคือสตรีนางหนึ่งที่เข้าตระกูลมาหลังจากรับพระชายารองคนหนึ่งเข้าตระกูล เป็นอนุที่มีเสน่ห์เย้ายวนแต่ไม่ค่อยมีสมองนัก

ยามคำเหล่านั้นหลุดออกจากปากนาง เยี่ยนซีเฉิงก็เหลือบตามองไปยังนางอย่างดุร้าย ทำให้นางเงียบไปทันใด

เยี่ยนซู่ไม่เอ่ยคำใด ทำเพียงนั่งขมวดคิ้ว ใบหน้าทะมึนดูดุดัน

เด็กหนุ่มบนเก้าอี้เข็นดูท่าทางไร้เรี่ยวแรงและท้อแท้ใจ ราวกับกำลังถูกผลค้างเคียงจากความมึนเมา เขาไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง แต่ความจริงมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ จึงมีแต่ต้องเชื่อเท่านั้น

เขาหวังกับเด็กหนุ่มไว้สูงมาก พยายามทำทุกทางเพื่อรักษาขาทั้งสองข้างของเขา ดังนั้นจะได้มีโอกาสไปบำเพ็ญเพียรยังสำนักละอองหมอก ภายภาคหน้าจะได้มีอนาคตสดใสได้

ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี เขาค่อนข้างพอใจท่าทีของเด็กหนุ่มอยู่บ้าง แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ธาตุแท้ของเด็กหนุ่มได้ถูกเปิดเผยออกมา พอตนมีความสามารถแล้วก็ลืมตนเองไปเลยหรืออย่างไร? ไม่แน่ว่าลึก ๆ แล้วเด็กคนนี้อาจจะเป็นคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมมากก็เป็นได้

อายุเพียงเท่านี้ แต่กลับกระทำเรื่องต่ำทรามเช่นนี้ลง หากเติบโตไปจะสามารถทำได้ถึงขนาดไหนกัน?

ระยะเวลาเพียงครู่หนึ่ง ภายในใจเยี่ยนซู่กลับเปลี่ยนแปลงไปมาไม่หยุดหย่อน นัยน์ตาดุดันของเขาเจือแววผิดหวัง น้ำเสียงที่เขาเอ่ยขึ้นฟังดูสงบเยือกเย็นนัก “ชิงเป่ย หากเจ้าไม่พูด ข้าจะถือว่าเจ้ายอมรับแต่โดยดี เมื่อคืนนี้เจ้าได้ล่วงเกินบ่าวคนนี้หรือไม่?”

เขาไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะเปิดปากพูดด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่าเมื่อคืนเขาหลงระเริงไปกับกามารมณ์หนักหนาถึงเพียงไหน

หากเขารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาคงไม่เก็บเด็กหนุ่มไว้ ตอนนี้เขาได้แต่นำพาความน่าละอายใจมาให้คนผู้นั้น แม้นางตายก็คงไม่อาจตายตาหลับ

ชิงเป่ยนั่งมองเยี่ยนซู่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สูงอย่างเงียบเชียบ มองเห็นว่าในนัยน์ตาท่านพ่อเขามีความผิดหวังและความโกรธเกรี้ยวเต้นระริกอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาทว่าซีดเซียวของเขาไร้อารมณ์ใด หากแต่ภายในใจกลับมีเรื่องหนึ่งที่กระจ่างชัด

เป็นเรื่องที่เขาเองก็ไม่อยากเชื่อ

อา….. ท่านพ่อขอเขา….. เลือกที่จะเชื่อคำของคนอื่น แต่กลับไม่เชื่อใจบุตรชายตนเอง

เพียงเพราะเขาไม่ใช่บุตรชายแท้ ๆ ของเยี่ยนซู่ ระหว่างพวกเขาจึงยังมีความเหินห่างอยู่มากอย่างนั้นหรือ?

หากเขาใส่ใจและคิดมากกว่านี้อีกสักหน่อย เขาก็จะรู้ว่านี่เป็นเพียงแผนการชั่วร้ายของโม่หานเยียน แต่เขากลับไม่คิดถึงจุดนั้น ยิ่งทำให้ชิงเป่ยกลายเป็นคนผิดในสายตาผู้อื่น

ชิงเป่ยหลับตาลง รู้สึกเหมือนปมบางอย่างในใจตนได้เผยออกมาอย่างเด่นชัด

ความห่วงใยและความใส่ใจที่เยี่ยนซู่แสดงให้เขาเห็นในหลายวันมานี้ทำให้เขาค่อย ๆ คลายปมในใจตนเองออก เขามีแม้แต่ความคิดที่จะปล่อยวางเรื่องในอดีตที่โม่หานเยียนทำให้ขาทั้งสองข้างของเขาต้องพิการเมื่อเห็นว่าเยี่ยนซู่พยายามทำทุกอย่างเพื่อชดเชยให้เขา

พวกเขาสองคน ชิงอวี่และเขา ถูกทอดทิ้งตั้งแต่ยังเล็ก ส่งผลให้เขาเป็นเด็กที่โหยหาความรักความใส่ใจเป็นอย่างมาก ชิงอวี่บอกว่าเขาทำตัวงี่เง่าและใจอ่อนเกินไป

ในตอนที่บรรยากาศอึดอัดจนเหลือทนนั่นเอง ความกดดันหนาแน่นถึงขีดสุด ก็มีเสียงหัวเราะแผ่วๆ เสียงหนึ่งดังลอดผ่านประตูเข้ามา จากนั้นร่างบางก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคน ร่างบางค่อย ๆ เดินเข้ามาด้านในเรื่อย ๆ

คนผู้นั้นสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ไร้สิ่งใดแปดเปื้อน เรือนผมหนาเงางามถูกเกล้าไว้ด้วยปิ่นปักผม ท่าทางนางดูไม่ใส่ใจตนเองมากนัก แต่องค์ประกอบบนร่างนางกลับดูเหมาะสมลงตัว ตัวนางแผ่กลิ่นอายไม่แยแสจาง ๆ ออกมา

คิ้วประณีตงดงามเลิกขึ้นเล็กน้อย ถัดลงมาคือดวงตามีเสน่ห์คู่หนึ่ง มันเรียวยาวราวกับนัยน์ตาจิ้งจอก เจอแววฉลาดปราดเปรื่อง จมูกงามเชิดขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากสีลูกอิงเถาระบายยิ้มขี้เล่นออกมา เป็นใบหน้าที่งดงามราวกับกำลังหลับตาฝัน ทำให้ทุกคนในห้องมองตามนางราวกับต้องมนต์

ผู้ที่ประหลาดใจที่สุดคือโม่หานเยียน นางเพิ่งเห็นเด็กสาวคนนี้ไปเมื่อไม่นานมานี้ หากแต่ทุกครั้งที่ได้เห็นเด็กคนนี้ นางกลับดูสว่างไสวและเจิดจ้าขึ้นจนไม่อาจละสายตาไปได้ นางดูงดงามกว่าสตรีในอดีตผู้นั้นเสียอีก

เพียงหันไปมองใบหน้าเยี่ยนซู่ที่ตกตะลึงไม่อาจละสายตาไปจากเด็กสาวได้ก็เป็นตัวชี้ชัดแล้ว

เด็กสาวไม่ใส่ใจสายตาที่มองมาทางนางทั้งหลาย นางไม่แม้แต่จะเหลือบมองเด็กหนุ่มบนเก้าอี้เข็น แต่กลับเดินตรงมายังบ่าวสาวน้อยที่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับพื้น

นิ้วเรียวนางจับคางบ่าวสาวเชิดขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงยามเอื้อนเอ่ยเจือด้วยแววยิ้ม หากแต่นัยน์ตาหงส์ที่ฉายแววเย็นยะเยือกคู่นั้นกลับทำให้คนสะท้านสะเทือน “โอ้โห ใบหน้าน้อย ๆ นี่น่ารักน่ามองโดยแท้”

บ่าวสาวดูหวาดกลัวมากจนร่างสั่นสะท้าน ไม่กล้าคำใด ทำได้เพียงปล่อยให้น้ำตารินไหลอาบแก้มไปเช่นนั้น

ชิงอวี่หลุดหัวเราะออกมา จากนั้นกันกลับไปมองเยี่ยนซู่ที่ทำหน้าทะมึนอยู่บนเก้าอี้หลัก มุมปากนางยกยิ้มขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง “ท่านพ่อได้ตรวจสอบแน่ชัดแล้วหรือยังเจ้าคะว่าบ่าวผู้นี้ถูกชิงเป่ยรังแกจริง?”

“หลักฐานเห็นอยู่ตำตา ทั้งเขายังเงียบ นับว่าเป็นการยอมรับการกระทำตนเอง” เยี่ยนซู่เอ่ยเสียงต่ำ

“หลักฐาน?” ชิงอวี่ทำท่าเหมือนตนเพิ่งได้ยินเรื่องน่าขันมา “หากว่ากันตามที่ท่านพ่อกล่าว เพียงทำร่องรอยไว้บนร่างของบ่าวผู้หนึ่งและส่งนางมาร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้าท่าน เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อยดูน่าสงสารสักหน่อย แล้วกล่าวอ้างว่าเสี่ยวเป่ยล่วงเกินนาง เพียงคำของคนนอกมากี่คำ ท่านพ่อก็ไม่คิดฟังชิงเป่ยอธิบายแล้วหรือเจ้าคะ?”

“แบบนั้นสินะเจ้าคะที่เรียกว่าหลักฐาน ข้านึกว่ามีแต่ผู้ที่ขลาดเขลาเท่านั้นที่จะสามารถปักใจเชื่อกับคำกล่าวอ้างเลื่อนลอยเช่นนี้ได้ ท่านต้องรู้ว่าบางครั้งสิ่งที่ตาเห็น ก็อาจไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด ท่านพ่อ ท่าน….. ทำให้ข้าผิดหวังมาก”

นางยืนอยู่ด้านหน้าสุด ยืดหลังตรง เอ่ยคำพูดบาดใจออกมาเช่นนี้ ด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม นัยน์ตาหงส์ยังเจือแววขบขัน ราวกับว่าผู้ใดก็ไม่อาจล่วงรู้ความเป็นไปในจิตใจนางได้

สายตาเช่นนั้น…..

ชั่วพริบตาหนึ่ง เยี่ยนซู่ราวกับจะเห็นภาพสตรีเมื่อหลายปีก่อนผู้นั้นมาปรากฏขึ้นตรงหน้า นางเอ่ยคำพูดเช่นเดียวกันออกมา

นางบอกว่า “เยี่ยนซู่ ข้าผิดหวังในตัวท่าน”

เขาดึงตนออกจากภวังค์ในพลัน พยายามปลอบใจตนเองเงียบ ๆ จากนั้นปัดความรู้สึกแปลกประหลาดออกจากใจตน “เว้นเสียแต่ว่าเจ้าสามารถหาหลักฐานมาหักล้างได้ หากเรื่องนี้หลุดออกไป จวนหย่งอันอ๋องคงได้เสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นแน่!”

ชิงอวี่ยกยิ้มเยาะ “ข้อกล่าวหาเช่นนี้ไม่มีทางหาข้ออธิบายได้หรอกเจ้าค่ะ ฮะ ๆ แต่หากท่านพ่อต้องการหลักฐาน….. “ จู่ ๆ นางพลันหยุดพูดลง ส่งสายตาดุดันไปทางโม่หานเยียนที่นั่งอยู่อีกด้าน “หากวันนี้ข้าไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะลากตัวผู้อยู่เบื้องหลังออกมา”

โม่หานเยียนเห็นสายตาที่ตวัดมามองนางโดยพลันก็ตกใจ จนนางต้องรีบสำรวมกิริยาไว้ใต้ใบหน้านางเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง

ฮึ่ม! ข้าอยากเห็นนักว่าเด็กนอกคอกสองคนนี้จะล้างคำครหาอย่างไร

มีความสามารถแล้วอย่างไร? อย่างไรพวกมันก็ต้องอยู่ต่ำใต้เท้าหนิงเอ๋อร์ไปตลอดชีวิต ไม่อาจลุกขึ้นผงาดได้ ข้าจะไม่ปล่อยให้ลูกของนางนั่นมีโอกาสเป็นภัยต่อหนิงเอ๋อร์เด็ดขาด!

ชิงเป่ยมองไปยังเด็กสาวที่ยืนหลังตรง ไม่ก้าวร้าวแต่ก็ไม่อ่อนแอ นางพยายามปกป้องเขาอยู่ ในใจพลันรู้สึกซาบซึ้งเหลือหลาย สวรรค์คงเห็นว่าเขาลำบากมามาก ดังนั้นจึงส่งชิงอวี่ลงมาเพื่อปกป้องเขากระมัง

ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ ชิงอวี่จะเป็นเหมือนปราสาทใหญ่ที่มั่นคงแข็งแรง คอยปกป้องคุ้มครองภัยอันตรายให้เขาเสมอ ไม่ยอมให้ผู้ใดมารังแกเขาได้

มือภายใต้แขนเสื้อเขากำแน่น พยายามซ่อนแรงสะเทือนไว้ ใต้หล้านี้มีเพียงคนผู้เดียวที่รักและใส่ใจเขาอย่างแท้จริง เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว จากนี้ต่อไปเขาจะไม่โลภอยากได้สิ่งที่ไม่ใช่ของตนตั้งแต่แรกอีก!

แต่สถานการณ์ในตอนนี้ เขาต้องห้ามเปิดเผยตัวตนก่อนเวลาอันควร ไม่เช่นนั้นอุบายของชิงอวี่จะพังไม่เป็นท่า

อีกด้านหนึ่ง ชิงอวี่ก้มตัวลงมองบ่าวสาวที่นั่งสะอื้นไห้เสียงเบา มุมปากนางยกขึ้นเล็กน้อย “ไหน เจ้าบอกข้าสิ คุณชายรองล่วงเกินเจ้าอย่างโหดร้ายทารุณอย่างไรบ้าง?”

คำพูดตรงไปตรงมาประโยคนั้นที่ถูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือรอยยิ้มส่งผลให้ทุกคนในห้องโถงเกิดความสงสัย นางกำลังจะเล่นอะไรกันแน่?

บ่าวสาวน้อยตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด ราวกับกำลังนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์น่าสะเทือนใจ ครู่หนึ่งจึงเปิดปากพูด “เมื่อคืน บ่าวนำยาไปให้คุณชายรอง…..”

“เป็นยาประเภทใด?” ชิงอวี่เลิกคิ้วถาม

“เป็นยาที่ท่านอ๋องให้บ่าวนำไปส่ง มันเป็นยาที่ช่วยบำรุงร่างกายคุณชายได้” บ่าวสาวเอ่ยเสียงเบา

เยี่ยนซู่พยักหน้า “ข้าสั่งให้คนนำยาไปส่งเอง”

ชิงอวี่เงยหน้าขึ้น “เจ้าว่าต่อได้”

บ่าวสาวเหลือบมองเก้าอี้บนพื้นต่างระดับ จากนั้นลดสายตาลงต่ำอีกครา “หลังจากคุณชายรองรับยาไปแล้ว บ่าวก็กำลังจะออกไป เป็นตอนนั้นเองที่คุณชายรองจับตัวบ่าวไว้และเริ่มฉีกกระชากเสื้อบ่าว จากนั้นเขาก็พูดว่า….. เขาชอบบ่าว…..”

นัยน์ตาชิงเป่ยสะท้อนแววเยือกเย็น เต็มไปด้วยความดูถูก

ตาเขาบอดหรือไร?

นางคิดว่านางน่าดูชมมากกระนั้นหรือ นางเอาแต่คอยติดตามอยู่รอบกายเขาตลอด ราวกับต้องการยั่วยวนเขาให้เขาต้องตาต้องใจ ทว่าชื่อนางเขายังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ!

แล้วบอกว่าข้าชอบเจ้าหรือ? ฝันไปเถอะ!

เขายอมเลือกใครสักคนในตลาดมายังจะดีกว่าชอบนาง!!

ชิงอวี่มองเห็นใบหน้าระบายคำปรามาสและความโกรธของเด็กหนุ่มแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ จากนั้นนางก็หันไปส่งสายตาลึกล้ำให้สตรีบนที่สูงที่มีท่าทางสำรวมมาตลอด

หึ โม่หานเยียนคงอยู่ดี ๆ ไม่ได้กระมัง นางไม่กลับเรือนเพียงคืนหนึ่ง สตรีผู้นั้นกลับไม่อาจรีรอ ลงมือกับเสี่ยวเป่ยโดยพลันเช่นนี้

ยามนางกลับมา กลิ่นของดอกเมามายยังไม่จางหายไปแม้เวลาจะผ่านไปแล้วคืนหนึ่ง ไม่รู้ว่าใช้ดอกไม้นี่ไปมากเท่าไหร่ โชคดีที่ดอกเมามายออกฤทธิ์เพียงทำให้ประสาทสัมผัสด้านชาจนไม่อาจเอ่ยคำใดได้เป็นการชั่วคราว เมื่อพิษจางลงจะไม่ทำร้ายร่างกายมากนัก

แม้เด็กหนุ่มจะดูอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ยังดูมีสติและรับรู้สถานการณ์ได้ดี

บ่าวสาวยังคงร้องไห้ท่าทางน่าสงสาร “คุณชายรองเป็นเจ้านายบ่าว บ่าวเป็นเพียงข้ารับใช้ต่ำต้อย หากเจ้านายต้องการสิ่งใด บ่าวก็ไม่อาจขัด แต่คุณชายรอง….. มีจิตวิปริต….. ทรมานบ่าวจนบ่าวเกือบสิ้นใจ…..”

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าพยายามดิ้นหนีสุดแรง ไม่ยอมแพ้โดยง่ายไม่ใช่หรือ? แล้วตอนนี้กลับบอกว่าเจ้านายสั่งคำใดย่อมต้องทำตาม?” คนที่เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาคือเยี่ยนซีเฉิง

บ่าวสาวไม่คิดว่าจะมีใครพูดโต้คำตน ดังนั้นนางจึงชะงักค้างไปชั่วขณะ

โม่หานเยียนเองก็ไม่คิดว่าจู่ ๆ เยี่ยนซีเฉิงจะเอ่ยเช่นนี้ขึ้นมา ดวงตานางของนางพลันฉายแววไม่พอใจ “เฉิงเอ๋อร์ เจ้าจะรู้อะไร? อย่าทำให้เรื่องวุ่นวายไปมากกว่านี้เลย!”

“ท่านแม่ กับบ่าวเพียงคนเดียวเช่นนี้ พวกเราต้องมานั่งฟังนางกล่าวหาชิงเป่ยเช่นนี้หรือ? ข้าคิดว่านางเห็นว่าช่วงนี้ท่านพ่อโปรดปรานชิงเป่ยมาก ดังนั้นจึงแอบใส่ยาบางอย่างลงไปในยา เมื่อเรื่องเกิดแล้ว อย่างเลวร้ายสุดนางก็ยังได้เป็นนางบำเรอ” เยี่ยนซีเฉิงเอ่ยพร้อเสียงหัวเราะถากถาง มองไปยังบ่าวสาวที่ตะลึงไป “ข้ามองชิงเป่ยแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากพูด แต่เขาพูดไม่ได้ต่างหาก”

พูดจบ ใบหน้าโม่หานเยียนและบ่าวสาวก็เปลี่ยนสีในพลัน

บ่าวสาวหน้าซีดเซียว สีหน้าเศร้าโศกโศกา “ซื่อจื่อเจ้าคะ แม้บ่าวจะมีชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่ก็มาจากครอบครัวสุจริตไร้คำครหา ท่านกล่าวเช่นนั้นกับบ่าว บ่าวอับอายนักจนไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ คงได้แต่ใช้ความตายมาลบล้างคำครหานี้!”

น้ำเสียงนางยังไม่ทันจบ นัยน์ตานางก็ส่องประกายเย็นยะเยือก ราวกับในที่สุดนางก็ได้เป็นอิสระเสียที ก่อนที่นางจะยกมือขึ้นซัดลงตรงกลางหว่างกระหม่อมตน