บทที่ 83 เผยธาตุแท้
ชิงอวี่หรี่ตาลง งอนิ้วเล็กน้อย ลมสายหนึ่งพุ่งไปปะทะแขนของบ่าวสาว ในเวลาเดียวกันเยี่ยนซีเฉิงเองก็ขยับเข้าไปห้ามบ่าวสาวด้วยความรวดเร็วเช่นเดียวกัน
ชิงอวี่เดินไปตรงหน้าบ่าวสาว จากนั้นหันไปยิ้มขอบคุณเยี่ยนซีเฉิง แล้วหันมองบ่าวสาวที่นั่งหลับนิ่ง “อะไรกัน? เจ้าทนแสดงต่อไม่ไม่ไหว อยากใช้ความตายมาเพื่อหวังเป็นอิสระเลยหรือ?”
“หรือว่า…..” ใบหน้าเย้ายวนของนางก้มลงมาใกล้ ลมหายใจแผ่วเบาพัดผ่านใบหน้าบ่าวสาว “มีใครข่มขู่เจ้าให้ทำเช่นนี้?”
สีหน้าบ่าวสาวกลายเป็นตกตะลึง ขนตานางสั้นเล็กน้อย ก่อนที่พริบตาต่อมาใบหน้านางจะซีดขาวยิ่งกว่าเดิม
ไม่ต้องบอกก็รู้คำตอบได้ หากแต่ชิงอวี่จะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องจบลงเพียงเท่านี้ เช่นนั้นจะเป็นการปล่อยตัวการอย่างโม่หานเยียนง่ายไป
นางหัวเราะเสียงเย็นออกมา นัยน์ตาตวัดมองไปทางโม่หานเยียน ส่งความหมายโดยนัยไป ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่าง นัยน์ตาของเด็กคนนั้น….. ดูแปลก ๆ…..
สายตาเยี่ยนซู่จดจ้องอยู่บนตัวเด็กสาวอยู่ตลอดเหมือนกัน กระทั่งแววที่กลางหว่างคิ้วของทั้งสองคนก็ยังเหมือนกัน ยังน่ามองเหมือนคนผู้นั้น ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดหรือเวลาไหนก็ทำให้ผู้คนอยากส่งสายตาชื่นชมภาพนางเสมอ
เด็กสาวพลันหันมามองเขา เยี่ยนซู่ชะงักไป น้ำเสียงที่นางเปล่งออกมากลับแผ่วเบาอ่อนโยนนัก ทั้งยังเจือความเศร้าเบาบางไว้ “ข้านึกว่าแม้ท่านพ่อจะเป็นท่านอ๋อง แต่ก็ยังเป็นท่านพ่อที่เหมือนกับตระกูลอื่น ๆ ที่รักลูกของตนเอง”
“เป็นเพราะท่านแม่ไม่อยู่แล้วหรือเจ้าคะ? ขาทั้งสองของน้องชายข้าพิการ ไม่อาจเดินเหินได้ ไม่อาจเป็นเช่นคนปกติได้ เหตุใดท่านพ่อจึงยังปฏิบัติกับเขาเช่นนี้? เขาเป็นเพียงเด็กที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น” จากนั้นดวงตาของเด็กสาวก็หลบลงเล็กน้อย มือของนางลูบไล้แก้มซีดขาวของเด็กหนุ่มบนเก้าอี้เข็น
นัยน์ตาคู่ที่สูญเสียประกายไปในพลันคู่นั้นบีบหัวใจเยี่ยนซู่นัก “ชิงอวี่ …..”
“ท่านพ่อสัญญากับท่านแม่ไว้ว่าจะดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ข้าจึงคิดว่าแม้พวกข้าไม่อาจเป็นได้อย่างท่านพี่หญิงและพี่ชาย ใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุขสบาย ได้รับความรักเต็มเปี่ยม อย่างน้อยพวกเราก็สามารถใช้ชีวิตอย่างรู้สึกปลอดภัยไร้กังวลได้ เพราะที่จวนแห่งนี้คือบ้าน ไม่ต้องหลับไปพร้อมกับความหวาดกลัวทุกคืนว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาลอบสังหาร”
เยี่ยนซู่เบิกตากว้างราวกับไม่เคยรู้ว่าก่อนว่าเด็กแฝดต้องอาศัยอยู่ในจวนแห่งนี้ด้วยความรู้สึกเช่นนั้นมาโดยตลอด
อีกทั้ง….. มีคนต้องการสังหารทั้งสองคนด้วยงั้นหรือ?
เหล่าทหารในจวนหย่งอันอ๋องตายกันไปหมดแล้วหรือไร?!
เยี่ยนซีเฉิงที่อยู่ด้านข้างดูท่าทางไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ส่งสายตาไปมองโม่หานเยียนโดยไม่ทันรู้ตัว
มือสังหารเหล่านั้น….. เกี่ยวพันกับท่านแม่หรือไม่…..
โม่หานเยียนย่อมสัมผัสได้ถึงสายตาของเยี่ยนซู่ นัยน์ตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของเยี่ยนซู่ส่งผลให้นางตัวชาวาบ นางเปิดปากหยุดชิงอวี่ไม่ให้พูดต่อในทันที “หึ! เป็นเรื่องเป็นราวยิ่งนัก หากมีนักฆ่าต้องการสังหารเจ้าจริง เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองคนจะรอดมาจนถึงวันนี้หรือ? ไร้สาระยิ่งนัก!”
“พระชายาคงจะลืมไปแล้วว่าข้าเคยบอกท่านมาก่อน ว่าข้าได้พบปรมาจารย์ท่านหนึ่งและได้เป็นศิษย์ของเขา” ชิงอวี่พูด เหยียดริมฝีปากออกเล็กน้อย เกิดเป็นรอยยิ้มหนึ่งส่งให้โม่หานเยียนที่เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข พยายามทำทุกอย่างเพื่อปกปิดความผิดตน “อาจารย์ข้าเมตตาข้านัก ดังนั้นแม้จะลำบากยากเย็น แต่ก็ทำทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้ เปลี่ยนคนไร้ค่าเช่นข้าให้กลายเป็นข้าในวันนี้ เขากระทั่งสอนวิชาแพทย์ให้ข้าเผื่อวันหนึ่งจะถูกพิษแล้วไม่รู้ตัวเข้า”
“แล้วอย่างไรเล่า!?” โม่หานเยียนขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเด็กสาวหมายความว่าอย่างไร
“ดังนั้นพระชายาว่าหากเรื่องเป็นดั่งที่บ่าวสาวพูดจริง ว่าเสี่ยวเป่ยมีความคิดวิปลาสทำตัวบ้าคลั่งในตอนนั้น ร่างนางบอบบางเช่นนั้น แต่ถูกทรมานหนักมากทั้งคืนกลับยังสามารถหลบหนีออกมาได้ ข้าจึงอดสงสัยเจตนาของนางไม่ได้”
ชิงอวี่เอ่ยออกมาพร้อมใบหน้ายิ้ม มองบ่าวสาวที่นั่งหน้าซีดอยู่กับพื้น “อาจเพราะเจ้าไม่ได้ฝึกวิทยายุทธ์ ดังนั้นจึงไม่รู้จักผู้ที่มีธาตุสายฟ้ามากนัก ยามผู้ถือธาตุสายฟ้าเสียสติหรือบ้าคลั่งขึ้นมา สิ่งมีชีวิตรอบตัวจะถูกสายฟ้าฟาดจนสิ้น แต่แน่นอนว่ายังมีข้อยกเว้น หากเจ้ามีวิทยายุทธ์สูงส่งกว่าย่อมจะไม่เป็นอะไร”
เรื่องที่เยี่ยนซู่เชิญฉินฟาง อดีตผู้อาวุโสแห่งสำนักละอองหมอกมาให้คำชี้แนะกับเด็ก ๆ ในจวนที่อายุเหมาะสมแล้วนั้นทุกคนต่างรู้เรื่องดี และในเด็กทั้งหมด ชิงเป่ยคือผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุด ถือครองธาตุสายฟ้าอันทรงพลัง ฉินฟางเองยังบอกว่าเด็กคนนี้มีความสามารถมาก อนาคตไกล สอนสิ่งใดก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วอีกทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม
หากเรื่องเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดบ่าวสาวถึงไม่เพียงแต่จะยังมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้ได้กันเล่า? หรือนางจะเป็นสายสืบที่ซ่อนตัวเข้ามาในจวน? หากเป็นเช่นนั้นจริงก็คงมีฝีมือกว่าที่เห็นมากนัก!
บ่าวสาวไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ ใบหน้านางซีดขาวไร้สีเลือด กระทั่งโม่หานเยียนยังไม่คิดว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ นางจิกเล็บลงบนฝ่ามือตนเองแน่น คิ้วงามฉายแววทะมึนเบาบางออกมา
เยี่ยนซีเฉิงเองก็เห็นสีหน้าบ่าวสาวและโม่หานเยียนอย่างชัดเจน ใบหน้าหล่อเหลาเผยแววผิดหวังออกมา
เหตุใดท่านแม่จึงปล่อยวางไม่ได้? ต้องให้พวกเขาหายไปจนสิ้นเลยหรือไรถึงจะพอใจ?
ผู้คนในนั้นต่างแสดงสีหน้าหลากหลายออกมา หากแต่เรื่องยังไม่จบเท่านั้น บ่าวสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นมานานกลับทรุดตัวลงไปอย่างอ่อนแรง ด้วยจิตใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ขมับทั้งสองข้างมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นเป็นเม็ดๆ
ชิงอวี่เลิกคิ้วคมขึ้น จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาสบาย “และ….. พวกท่านลืมสิ่งหนึ่งไปหรือไม่?”
“กล่าวกันว่าสำนักละอองหมอกเป็นสถานที่ที่เซียนอาศัยอยู่ ทั้งสูงส่งและบริสุทธิ์ วิชายุทธ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในสำนักต่างต้องงดจากสุราและต้องไร้คู่ครอง ดังนั้นสำนักจึงไม่รับคนเมามายในสุราและนารี ด้วยเหตุนั้นชายหนุ่มหญิงสาวทั้งหลายที่รับเข้าสำนักไปจึงยังสะอาดบริสุทธิ์ ยังคงเป็นผู้ครองพรหมจารี เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นคนมีครอบครัวและมีลูกแล้ว พระชายาช่วยข้าอธิบายได้หรือไม่ว่าบ่าวหญิงผู้นี้มีเสน่ห์อันใดที่สามารถทำให้ชิงเป่ยยอมทิ้งโอกาสเข้าสำนักละอองหมอก เลือกที่จะกระทำการล่วงเกินนางเช่นนี้ได้?”
เมื่อนางพูดจบก็ราวกับทุกคนได้ตื่นขึ้นจากภาพลวงทั้งหมด ราวกับทุกคนเพิ่งนึกได้ว่าต่างลืมจุดสำคัญข้อนี้ไปเสียสนิท
หนึ่งในบททดสอบเข้าสำนักละอองหมอก คือการทดสอบว่าเหล่าชายหนุ่มและหญิงสาวยังบริสุทธิ์อยู่หรือไม่ ดังนั้นคุณชายระเริงรักทั้งหลายจึงฝันสลาย ไม่อาจมีโอกาสเข้าสำนักไปได้แม้แต่น้อย
ดังนั้นจึงมีคำร่ำลือนักว่าสำนักละอองหมอกนั้นมีแต่ผู้คนไม่ธรรมดา แม้แต่อาหารยังกินไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป
โม่หานเยียนไม่อาจเอ่ยอันใดออก ไม่อาจคิดหาคำใดมาโต้กลับเด็กสาวได้
หรือก็คือไม่ว่าจะหาเหตุผลใดมาค้านก็ดูไร้เหตุผลทั้งสิ้น จะมีผู้ใดยอมทิ้งโอกาสเข้า สำนักละอองหมอกเพื่อความสุขชั่วประเดี๋ยว แล้วยอมทำลายความบริสุทธิ์บนร่างตนเองกัน?
เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นเป็นคนขลาดเขลาอย่างที่สุด
เยี่ยนซู่เริ่มรู้สึกว่ามีเรื่องบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาตบที่วางแขนดังลั่น เป็นเพราะใส่แรงมากเกินไปบนที่วางแขนจึงเกิดรอยร้าว น้ำเสียงที่เปล่งออกมาทั้งดุดัน และเจือไปด้วยแรงกดดันมหาศาล “บ่าวชั้นต่ำ! กล้าใส่ร้ายเจ้านายตน! บอกความจริงกับข้ามาเดี๋ยวนี้! ใครส่งเจ้ามาเป็นสายสอดแนมที่จวนข้า และใครที่บงการเจ้าอยู่? หากวันนี้เจ้าไม่ยอมปริปากบอก ข้ามีวิธีง้างปากนักโทษทางทหารมากมายนัก เกรงว่าสตรีบอบบางเช่นเจ้าจะไม่อาจทนได้!”
หลายปีมานี้เยี่ยนซู่รบมาหลายต่อหลายครั้ง แรงกดดันป่าเถื่อนที่แผ่ออกจากร่างของเขาย่อมไม่ธรรมดา เขาขึ้นเสียงด้วยความโกรธเพียงครั้งหนึ่งส่งผลให้จิตใจบ่าวสาวที่ใกล้จะแตกสลายลงด้วยความหวาดกลัวถูกทำลายจนสิ้น
“ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต….. บ่าว….. เป็นความเพ้อฝันของบ่าวเอง บ่าวถูกความโลภบังตา ไม่อาจพอใจกับการเป็นบ่าวชั้นต่ำไปชั่วชีวิต ดังนั้น….. บ่าวจึงแอบนำบางอย่างใส่ลงในยาของคุณชายรอง…..”
นางกล่าวคำออกมาราวกับต้องการรับความผิดทั้งหมดไว้ ไม่รู้ว่าโม่หานเยียนมีสิ่งใด บ่าวสาวจึงไม่กล้าปริปากบอกตัวการเบื้องหลัง แม้จะหวาดกลัวน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของเยี่ยนซู่มากก็ตามที
ฮ่า ๆ….. จะให้โม่หานเยียนรอดพ้นไปได้ง่าย ๆ เช่นนี้….. ไม่มีทางเสียหรอก
รอยยิ้มในดวงตาชิงอวี่ลึกขึ้น จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความชื่นชม “ดูท่าบ่าวคนนี้จะทั้งมีความสามารถและรู้เรื่องแพทย์เสียด้วย ไม่เช่นนั้นนางจะรู้จักเอาดอกเมามายมาผสมกับยาที่ทำให้เกิดภาพหลอนได้อย่างไร เป็นยาที่ทำให้คนเสียสติและปลุกอารมณ์เป็นอย่างมาก”
นางเอ่ยขึ้น หันไปมองโม่หานเยียน นางค่อย ๆ พูดและเน้นย้ำทีละคำ ไม่สนใจสายตาดุร้ายที่จ้องนางกลับมาดั่งคมมีด “ข้าได้ยินว่าพระชายาชื่นชอบดอกไม้มาก ที่สวนหลังเรือนยังมีดอกเมามายปลูกอยู่หลายกระถาง ทั้งยังงดงามแม้แต่กลิ่นของดอกไม้ชนิดนี้เตะจมูกยิ่ง ทว่าแม้ดอกเมามายจะงดงามและมีเสน่ห์ยิ่ง แต่เมื่อสูดดมเข้าไปนานๆจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ขอพระชายาโปรดอย่าลืมรักษาสุขภาพตนด้วย”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้ากล่าวหาว่าพระชายาผู้นี้คือคนที่สั่งให้บ่าวน้อยผู้นี้ไปทำร้ายผู้อื่นงั้นหรือ?!” โม่หานเยียนทำท่าทางราวกับตนถูกใส่ร้ายเต็มที่ จ้องหน้านางด้วยความเดือดดาล
คำของพระชายาทำให้เยี่ยนซู่ประหลาดใจนัก โม่หานเยียนดูจะดูร้อนตัวมากไปเล็กน้อย
“พระชายา ชิงอวี่เพียงเดาส่งเดชไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดสงสัยพระชายาแม้แต่น้อย อย่าได้คิดมากเลย” อาจเพราะชิงอวี่ดูเหมือนคนผู้นั้นมาก เยี่ยนซู่เอ่ยปกป้องนางขึ้นมาอย่าไม่ทันรู้ตัว
โม่หานเยียนได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ใบหน้าที่คงความงามราวหญิงสาวไว้เจือความขื่นขมน้อย ๆ ทั้งยังดูซีดขาว นัยน์ตางามของนางเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา “ท่านอ๋องกำลังโทษข้าหรือ? หรือท่านจะเชื่อคำของเด็กคนนั้นและคิดว่าข้าเป็นนางแม่มดไร้ยางอายผู้ชั่วร้ายที่กล้าลงมือกับทุกอย่างโดยไม่สนอันใดอย่างงั้นหรือ?”
โม่หานเยียนเป็นธิดาคนเล็กที่แม่ทัพชางรักที่สุด นางทั้งเฉลียวฉลาดและงดงามโดดเด่น มองหน้านางในตอนนี้ คนมองย่อมต้องพอนึกภาพออกว่าสมัยนางยังสาวคงจะงดงามมีเสน่ห์ไม่น้อย
นางแต่งงานกับเยี่ยนซู่ตอนอายุได้สิบสี่ ให้กำเนิดบุตรและธิดาแก่เขา เด็กทั้งสองคนโดดเด่นทั้งหน้าตาและความสามารถ เป็นลูกที่เยี่ยนซู่ภูมิใจมากมาโดยตลอด ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาที่ยาวนานกว่ายี่สิบปี ลึก ๆ ในใจ เยี่ยนซู่ก็ยังคงรักนางไม่เสื่อมคลาย หากเขาไม่พบสตรีผู้นั้น ใจเขาก็คงไม่มีวันแปรเปลี่ยน
เท่าที่เขาจำได้ นางเป็นภรรยาที่อ่อนโยนและทำหน้าที่ภรรยาที่ดีมาโดยตลอด ไม่เคยเอะอะโวยวาย จะมีก็แต่ตอนนั้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เป็นเพราะเขานำสตรีผู้นั้นกลับมา นางในตอนนั้นโวยวายยกใหญ่ เขายังจำได้ดีว่านางเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร เป็นครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นนางก็ย้ายออกจากเรือนใหญ่ ท่าทางเปลี่ยนไปจนเขาไม่อาจทำความเข้าใจได้
หากแต่นางที่มีสีหน้าราวกับกล้ำกลืนฝืนทน เก็บความทุกข์ทั้งหลายไว้ภายในมานานหลายปี ตอนนี้ไม่อาจกลั้นไว้ได้อีก น้ำตาแทบจะไหลอยู่รอมร่อ เห็นภาพเช่นนี้ทำให้ใจเขาอ่อนยวบลงอีกครา เขารู้สึกว่าหลายปีที่ผ่านมาเขาเองก็ติดค้างนางอยู่เช่นกัน
เยี่ยนซู่ถอนหายใจแผ่วเบา “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้เรียบง่ายดั่งที่เห็น”
“เช่นนั้นท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร?” โม่หานเยียนเอ่ยถาม มองไปยังเด็กสาวเบื้องล่างด้วยสายตาเย็นเยียบ “นางกล่าวหากำกวมเช่นนี้ ไม่ใช่หมายความว่าพระชายาผู้นี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังหรอกหรือ?”
“ข้าย่อมไม่กล่าวหาคนเลื่อนลอย และย่อมไม่ปล่อยผู้อยู่เบื้องหลังไปโดยง่าย” เยี่ยนซู่เอ่ยเสียงอ่อนโยน พยายามกล่อมนางให้สงบลงแล้วดันตัวนางนั่งลงดังเดิม