บทที่ 71 ไตรวิสุทธิกำราบภูมิ ใครจะทำลายการป้องกันข้าได้

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 71 ไตรวิสุทธิกำราบภูมิ ใครจะทำลายการป้องกันข้าได้
“เหตุใดถึงเป็นมรรคกระบี่หมื่นบรรพกาลไปได้” หวงจี๋เฮ่าเอ่ยปากถาม

สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นกระบี่ทั้งสำนักโบยบินขึ้นสู่ท้องนภา น้อมคำนับไปในทิศทางเดียวกัน

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…

ทิศทางที่กระบี่เหล่านี้ชี้ไป…

เป็นต้าเยี่ยน!

ในสมองของหวงจี๋เฮ่าผุดการคาดเดาขึ้นมาอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีทางเป็นไปไม่ได้เลย

บุรุษอาภรณ์น้ำเงินสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวว่า “มรรคกระบี่หมื่นบรรพกาลเป็นขอบเขตพลังอย่างหนึ่งของพลังวิเศษมรรคกระบี่ หรือกล่าวง่ายๆ นี่ก็คือพลังวิเศษแห่งมรรคกระบี่ที่ยากจะพบในหนึ่งหมื่นปี!”

“คิดไม่ถึงเลยว่ายามนี้ยังมีบุตรแห่งสวรรค์มรรคกระบี่ระดับนี้อยู่…”

พลังวิเศษแห่งมรรคกระบี่ที่ยากจะพบเจอได้ในรอบหนึ่งหมื่นปี!

หวงจี๋เฮ่าตกตะลึงจนร่างสั่นสะท้าน

ในสมองของเขาพลันปรากฏใบหน้างามสง่าเหนือกว่าผู้ใดขึ้นมาใบหน้าหนึ่ง

หรือว่าจะเป็น…

หวงจี๋เฮ่ากัดฟันเอ่ยถามออกไป “หากข้าเข้าร่วมกับลัทธิสัจจะยุทธ์ ข้าจะสามารถบรรลุพลังวิเศษระดับนี้หรือไม่ ”

บุรุษอาภรณ์น้ำเงินนิ่งเงียบ

ท่าทางของเขาทำให้หวงจี๋เฮ่ายิ่งเกิดความสับสนมากขึ้นไปอีก

……

หานเจวี๋ยใช้เวลาหนึ่งเดือนถึงได้บรรลุพลังวิเศษแห่งมรรคกระบี่นี้

และในที่สุดก็สำเร็จ

เหล่าผู้ฝึกสายกระบี่เองก็บ้าคลั่งขึ้นมาแล้ว

ทว่าหานเจวี๋ยวยังไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

ปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในลัทธิสัจจะยุทธ์นี้ก็ได้เกิดขึ้นในสำนักต่างๆ ของแดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนด้วย ซึ่งรวมถึงสำนักหยุกพิสุทธิ์

ในสำหนักหยกพิสุทธ์มีกระบี่จำนวนมากมายลอยทะยานเหนือท้องนภา กระบี่เหล่านั้นล้วนสั่นสะท้านส่งเสียงกึกก้อง ปลายกระบี่พุ่งชี้ไปที่เขาเพียรบำเพ็ญเซียน

ไก่คุกรัตติกาลมองเห็นฉากเบื้องหน้านี้ ก็ตกใจจนร่างกายพลันสั่นเทิ้มไม่หยุด!

หานเจวี๋ยได้ยินเสียงกระบี่กึกก้องที่ลอยเข้ามาจากนอกถ้ำ ก็พลันลืมตาขึ้นอย่างอดไม่ได้

เขาส่งพลังจิตออกไปสำรวจที่ด้านนอกถ้ำ ก็พลันมองเห็นกระบี่เหล่านั้นที่ลอยขึ้นสูงเหนือท้องฟ้า

เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

ปรากฏการณ์นี้เขาก็เป็นคนสร้างขึ้นอย่างนั้นหรือ

เขาก้มหน้าลงมองเงากระบี่ที่อยู่กลางฝ่ามือ มือขวากำเข้าหากันแน่น ชั่วพริบตาเงากระบี่ก็เลือนหานไป

กระบี่ที่ลอยเหนืออากาศทั่วทั้งใต้หล้าต่างร่วงหล่นลงมาตามๆ กัน

สวินฉางอันมองไปยังหานเจวี๋ยอย่างนิ่งอึ้งราวกับท่อนไม้

ในขณะที่หานเจวี๋ยบรรลุพลังวิเศษนี้ ที่หว่างคิ้วของเขาก็ปรากฏแสงกระบี่พวยพุ่ง ลมพายุพัดหมุนวนรอบกาย หลอมรวมเข้ากับสมบัติวิญญาณบนร่าง ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้สวินฉางอันอึ้งตะลึงจนแทนหยุดหายใจ

สวินฉางอันเองก็ได้ยินเสียงร้องกึกก้องของกระบี่ แต่เมื่อหานเจวี๋ยประกบมือเข้าหากัน เสียงร้องของกระบี่ด้านนอกก็หายวับไป ก่อนกระบี่ที่ลอยอยู่เหนืออากาศจะพากันร่วงหล่นลงมา

นี่หมายความว่าอย่างไรกัน

ปรากฏการณ์แปลกประหลาดด้านนอกก็เกิดมาจากหานเจวี๋ยอย่างไรเล่า!

[ยินดีด้วย ท่านบรรลุพลังพิเศษมรรคกระบี่หมื่นบรรพกาล กรุณาตั้งชื่อ]

เมื่อหานเจวี๋ยอ่านอักขระที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้น ก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย

ระดับหมื่นบรรพกาลหรือ

พลังวิเศษยังมีการแบ่งระดับด้วยหรือนี่

เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ในใจพึมพำขึ้นมาเงียบๆ “ไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิ”

[ตั้งชื่อสำเร็จ เนื่องด้วยท่านบรรลุพลังวิเศษครั้งแรก ดวงชะตายกระดับ ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง ประกาศตัวทันที ทำให้ไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิเกริกก้องทั่วหล้า จะได้รับสมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น]

[สอง ถ่อมตนฝึกฝน พัฒนาให้แข็งแกร่งต่อไป กระทั่งทั่วทั้งโลกาไร้พ่าย จะได้รับสมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น]

ล้วนได้รับสมบัติวิญญาณ!

หาได้ยากนัก!

หานเจวี๋ยเลือกข้อที่สองอย่างเงียบๆ

[ท่านเลือกถ่อมตนฝึกฝน ยินดีด้วย ท่านได้รับสมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น]

[ท่านได้รับสมบัติวิญญาณระดับสาม–ภูษาเทพพสุธาต้านวิญญาณ]

[ภูษาเทพพสุธาต้านวิญญาณ: สมบัติวิญญาณการป้องกันระดับสาม สามารถต้านทานการโจมตีที่จะสร้างความเสียหายแก่เจ้าของอัตโนมัติ]

สมบัติวิญญาณสายป้องกันอีกแล้ว!

ทั้งยังเป็นระดับสามอีกด้วย!

ดีเลย!

ใครจะทำอันตรายข้าได้อีก

ใครจะทำลายการป้องกันข้า

หานเจวี๋ยคิดอย่างปีติยินดี

ทันใดนั้นเขาพลันเกิดความคิดที่อาจหาญขึ้นมาอย่างหนึ่ง

หากจู่ๆ เขาออกไปกระทำการโอ้อวดตอนนี้ ระบบจะยึดสมบัติวิญญาณกลับคืนไปหรือไม่นะ

ช่างเถอะ

เดิมทีเขาก็คิดอยากจะเก็บตัวฝึกเงียบๆ อยู่แล้ว

ระบบเองก็ให้ตัวเลือกตามความชอบของเขาแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะไปลองดี

หานเจวี๋ยนำภูษาเทพพสุธาต้านวิญญาณอกมา

เป็นผ้ายาวผืนหนึ่ง ลักษณะคล้ายกับผ้าไหม สีเหลืองทองอร่ามทั่วทั้งผืน ยามโบกสะบัดดูราวกับเมฆสีรุ่งอรุณกำลังเต้นระบำ งดงามเป็นอย่างมาก

ให้ผู้ชายอกสามศอกเช่นข้าใส่ผ้าไหมเช่นนี้จะดีหรือ

หานเจวี๋ยลอบพึมพำกับตัวเอง ขณะเดียวกันก็เริ่มหยดโลหิตแสดงความเป็นเจ้าของ

ดูเหมือนสิ่งของของสตรี หากแต่เขาเองก็ไม่สามารถมอบสมบัติชิ้นนี้ให้ใครได้

ไม่ว่าจะเป็นสิงหงเสวียนหรือเซียนซีเสวียน สมบัติวิญญาณระดับนี้จะสร้างปัญหาให้กับพวกนางในภายหลัง

ก่อนหน้านี้ชัดเจนว่าเว่ยหยวนจำสมบัติวิญญาณบนตัวของเขาได้ เพราะอย่างนั้นถึงได้ตกตะลึงเช่นนั้น

ใช้เวลาครู่หนึ่ง หานเจวี๋ยก็ทำให้ภูษาเทพพสุธาต้านวิญญาณยอมรับเจ้าของสำเร็จ

เขาครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนจะถอดมงกุฎแก้วเจ้าเหมันต์จากศีรษะ หลังจากนั้นก็นำภูษาเทพพสุธาต้านวิญญาณมาผูกบนมงกุฎแก้วเจ้าเหมันต์

ภูษาเทพพสุธาต้านวิญญาณมีความยาวถึงหนึ่งจั้งกว่า หลังจากมัดไว้กับมงกุฎแก้วเจ้าเหมันต์แล้ว มันก็โบกพลิ้วปลิวไสวขึ้นมาทันที

ช่างเถอะ!

หลังจากที่หานเจวี๋ยสวมมงกุฎแก้วเจ้าเหมันต์กลับเข้าไปอีกครั้ง ก็ดูหล่อเหลาสง่างามดุจดั่งเทพเซียนยิ่งขึ้นอย่างชัดเจน

สวินฉางอันได้แต่มองจนตาค้าง

หรืออาจารย์จะเป็นเทพเซียนกลับชาติมาเกิด

ภูษาเทพพสุธาต้านวิญญาณโบกสะบัดอยู่ล้อมรอบกายของหานเจวี๋ย เปล่งรัศมีเจิดจรัสถึงที่สุด

หานเจวี๋ยพอใจเป็นอย่างมาก

หล่อเหลาเอาการสุดๆ ไปเลย!

เวลานั้นเอง หลี่ชิงจื่อก็เดินทางมาเยี่ยมเยียนพอดี

ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเมื่อครู่สร้างความเคลื่อนไหวขึ้นไม่น้อย เขาคิดว่ามีศัตรูบุกเข้ามา

หานเจวี๋ยจึงเอ่ยตอบว่าศัตรูหลบหนีไปเรียบร้อยแล้ว

หลี่ชิงจื่อถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก รีบร้อนคาราวะหานเจวี๋ยทันที

คิดไม่ถึงว่าต้าเยี่ยนในยามนี้กลับยังมีศัตรูกล้าบุกเข้ามาโจมตีสำนักยกพิสุทธิ์อีก!

ดูท่ายังคงมีผู้แข็งแกร่งหลบซ่อนอยู่อีกไม่น้อย

หลังจากนี้หากจะทำการใดต้องระมัดระวัง ห้ามประมาทเด็ดขาด

หลี่ชิงจื่อครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

เขาก็ไม่อยากถูกโจมตีอีกแล้ว!

……

เขตแก่นประจิม

สำนักเก้ามังกร

หวงจุนเทียน หรือก็คือเว่ยหยวนกำลังฝึกฝนอยู่ในอารามเต๋า

ภายในอารามไม่นับว่าใหญ่นัก การตกแต่งเรียบง่าย ด้านหลังของหวงจุนเทียนมีกระถางสำริดสามขาขนาดใหญ่กระถางหนึ่ง ปักด้วยธูปหอมขนาดใหญ่สามเล่ม เต็มไปด้วยควันคละคลุ้ง

หวงจุนเทียนลืมตาขึ้น

เห็นเพียงนักพรตชราผู้หนึ่งเดินเข้ามาในอาราม

เขาเดินมานั่งลงที่ด้านหน้าของหวงจุนเทียน เอ่ยพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย “ศิษย์น้องเว่ย ข้ามีเรื่องที่อยากจะปรึกษาเจ้า”

หวงจุนเทียนเอ่ยถาม “เรื่องใดหรือ”

ในใจของเขาประหม่า

ใบหน้าพรายยิ้มของจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ หรือเขาจะค้นพบสถานะที่แท้จริงของตนแล้ว

นักพรตชราเอ่ยปากกล่าวว่า “สำนักของเราและลัทธิสัจจะยุทธ์ต่อสู้กันมาเนิ่นนาน ทรัพยากรต่างๆ ในเขตแก่นประจิมก็ถูกยึดไปไม่น้อย ข้าอยากให้ศิษย์ของสำนักเราเข้าไปในแดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยน แดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนอ่อนแอและมีกำลังน้อย ดวงชะตาราชวงศ์กำลังถดถอย เหมาะสำหรับให้พวกเราเข้าไปควบคุม หลังจากยึดครองต้าเยี่ยนได้แล้ว พวกเราจะสามารถเคลื่อนกำลังไปยังต้าเว่ยได้ต่อ อย่างไรเสียสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตก็ประกาศวาจาว่าจะบุกต้าเยี่ยน และทำให้ยอมสยบต่อแก่นประจิมอยู่แล้ว”

“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยไปยังต้าเยี่ยนมาก่อน ย่อมคุ้นเคยดี คงสามารถนำศิษย์ชั้นยอดกลุ่มนี้เดินทางไปยังต้าเยี่ยนได้”

หวงจุนเทียนได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

ยกทัพบุกต้าเยี่ยน

นี่เบื่อชีวิตกันแล้วหรืออย่างไร!

กว่าจะกลับมามีชีวิตใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย หวงจุนเทียนก็ไม่อยากที่จะล่วงเกินหานเจวี๋ยอีก

นักพรตชรายิ้มเอ่ย “หากเรื่องนี้สำเร็จ หลังจากนี้ตำแหน่งเจ้าสำนักย่อมตกเป็นของเจ้าแน่ อาจารย์ปิดด่านมาร่วมร้อยปีแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับระดับรวมกายาได้หรือไม่ พวกเราไม่อาจมานั่งนิ่งรอความตายได้เช่นนี้ จำต้องคิดหาโอกาสแล้ว”

หวงจุนเทียนกล่าวอย่างลังเล “ไม่ไปต้าเยี่ยนได้หรือไม่ พวกเราสามารถไปยังแดนบำเพ็ญพรตอื่นๆ ได้ ใต้หล้านี้กว้างใหญ่ ผลประโยชน์ที่เราจะได้จากต้าเยี่ยนเองก็ไม่มากพอ”

นักพรตชราส่ายหน้าเอ่ย “เป็นเพราะต้าเยี่ยนอ่อนแอพวกเราถึงลงมือ เรื่องนี้ก็เอาเช่นนี้แล้ว เจ้าไปเตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะไปคัดเลือกลูกศิษย์ก่อน”

กล่าวพลาง นักพรตชราก็หยัดกายขึ้น

เมื่อมองแผ่นหลังของเขาแล้ว หวงจุนเทียนอยากเอ่ยปากแต่จำต้องหยุดลง

ไอ้จิ้งจอกเฒ่า!

นี่เรียกว่าปรึกษาหรืออย่างไร

มารดาเจ้าสิ!

นี่เจ้ากำลังบีบบังคับข้าต่างหาก!

ดูท่าข้าต้องแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักมาจากเจ้าเสียแล้ว!

สายตาของหวงจุนเทียนวาบประกาย ในใจลอบคิดแผนการร้ายขึ้น

ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข มุ่งหวังจะปิดด่านฝึกฝน แต่สุดท้ายเจ้าหมอนี่กลับสร้างเรื่องให้เขาได้

แม้หวงจุนเทียนจะขลาดกลัว แต่ชีวิตของเขาก็อยู่ในกำมือของหานเจวี๋ย จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด เขาจึงจำเป็นต้องลงมือ

เพราะอย่างนั้น

หวงจุนเทียนเริ่มครุ่นคิดว่าจะช่วงชิงตำแหน่งอย่างไร

แม้นักพรตชราผู้นั้นจะแข็งแกร่งกว่าเขา อีกทั้งยังแข็งแกร่งกว่ามาก แต่เขากลับไม่กังวล

เมื่อพันปีก่อน หลังจากเจ้าลัทธิคนก่อนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณตกต่ำลง หวงจุนเทียนก็ไม่ใช่ตัวเลือกแรกของผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าลัทธิ

ตัวเลือกแรกคือศิษย์พี่ของเขา เป็นคนหัวรุนแรง คิดอยากแก้แค้น ตบะแข็งแกร่งกว่าหวงจุนเทียนเป็นอย่างมาก

เพื่อความอยู่รอดปลอดภัย หวงจุนเทียนจึงวางแผนที่จะยึดตำแหน่ง

“ปะทะกันตรงๆ คงไม่มีทางแน่ จำต้องใช้อุบายเข้าช่วย”

…………………………………………………………….